บทที่ 270 : เป็นเขา!!
ชายสวมชุดคลุมลมดำแบกโลงศพศิลาชโลมไปด้วยโลหิต แลไปคล้ายกับเงาภูตผี มันค่อยๆลอยเข้ามาใกล้อย่างช้าๆ ท้องฟ้าเองก็ยังคงมืดครึ้มแปรปรวน ส่งเสียงลั่นอยู่ตลอดเวลา ราวกับมันกำลังถักทอตาข่ายฟ้า เพื่อสะกดมารร้ายตนนี้
“มันเป็นตัวอันใดกันแน่? ช่างมีกลิ่นอายที่ชั่วร้ายอะไรเยี่ยงนี้” ผู้อาวุโสของนิกายซื่อไซ่กล่าวออกมาพร้อมขมวดคิ้ว ทันใดนั้นเองดวงตาทั้งคู่ที่จับจ้องมองไปยังมารร้ายของมัน ก็บังเกิดแสงสีทองเรืองรอง ปลดปล่อยลำแสงส่องสว่างเจิดจ้าออกไป แต่ทว่า...ไม่ถึงเสี้ยวลมหายใจ เสียงกรีดร้องเจ็บปวดดั่งโศกนาฏกรรมพลันดังขึ้น
“อ๊าคคคคคคคคคคคค!!”
มันก้มหัว กุมมือไปที่ดวงตาทั้ง 2 ข้าง... ที่ยามนี้บังเกิดสายโลหิตหลั่งไหลออกมา "ดวงตาของข้า…!"
ทุกคนที่มองไปยังผู้อาวุโสเหอ จากนิกายซื่อไซ่ก็ถึงกับต้องตกตะลึง เพราะเมื่อครู่ผู้อาวุโสเหอได้ใช้ออกด้วยวิชา “เนตรส่องทะลวงสวรรค์!” ซึ่งวิชาเนตรนี้สามารถมองทะลุได้ถึงภาพลวงตาและไอปีศาจทั้งหลายเพื่อ ค้นหาตัวตนที่แท้จริงของมารร้ายได้ แต่ไม่คิดเลยว่ายามนี้ดวงตาทั้ง 2 ข้างกลับต้องถูกพลังสะท้อน จนต้องมืดบอดไปเสียเองเช่นนี้ .!
ทุกคนอยู่ในอาการตกตะลึง เรื่องราวที่บังเกิดขึ้นตอนนี้ทุกอย่างมันเหนือความเข้าใจของพวกมันอย่างสิ้นเชิง
"มัน...มันเป็นมารร้าย ... !"อาวุโสเหอกรีดร้องออกมาราวกับคนคุ้มคลั่ง เห็นได้ชัดว่าตัวมันไม่เคยประสบเหตุการณ์ร้ายแรงเช่นนี้ เนตรส่องทะลวงสวรรค์นี้เป็นวิชาเนตรอันล้ำลึกสูงส่ง ซึ่งสามารถมองทะลุภาพลวงและตัวตนที่แท้จริงของเงาร่างสีดำนั้นได้ ...แต่ผลสะท้อนที่เกิดขึ้นกลับร้ายแรง มันน่ากลัวเกินไป
หลินฟ่านที่ลอยตัวอยู่เผยใบหน้าจริงจังออกมา เขารีบตบไปที่ชิคกี้เบาๆ เพื่อส่งมันไปอยู่ในมิติเก็บของ ดูท่าเรื่องราวที่ตรงหน้าจะไม่ธรรมดาซะแล้ว
ทั้นใดนั้นภาพเหตุการณ์น่าตื่นตระหนกพลันบังเกิดขึ้น
ทั้งร่างลึกลับและโลงศพทมิฬนั้นยังคงลอยอยู่บนฟ้า แต่ตอนนี้ร่างลึกลับคนนั้นกลับเอื้อมไปจับโซ่ที่อยู่บนโลงศิลาเอาไว้อย่างแน่นหนา ตัวโลงศิลายามนี้ก็แผ่กลิ่นอายลึกลับ ไม่นานไอปีศาจสีดำก็เริ่มแผ่ซ่านออกมาอย่างน่าหวาดกลัว
ท้องฟ้าเริ่มเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นมืดดำ สายฟ้าสีม่วงทรงพลังเริ่มฟาดแลบลั่นลงมา สายฟ้าสีม่วงนั้นดูเหมือนกำลังจะก่อเกิดขึ้นมาเพื่อฟาดทำลายทั้งร่างลึกลับและโลงศิลา
แต่ทว่าอากาศที่ว่างเปล่ารอบตัวร่างสีดำและโลงศิลากลับค่อยๆบิดเบี้ยว ไม่นานวังวนทมิฬพลันก่อเกิดขึ้น มันหมุนวนด้วยความเร็วสูงสกัดกั้นอย่างแข็งขัน ยากที่ใครจะทำอะไรผู้ที่อยู่ด้านในได้
"นั่นมันอันใดกัน?!" ตอนนี้ผู้คนทั้งหมดยิ่งมองยิ่งครั่นคร้าม เมื่อมองไปยังร่างเงาลึกลับกับโลงศพศิลา ทุกสิ่งที่อย่างรวมถึงมวลอารมณ์พวกมันพลันถูกสั่นคลอนจนแหลก พวกมันเป็นถึงผู้อาวุโสของนิกายใหญ่ที่โลดแล่นบนทวีปนี้มานาน แน่นอนว่าพวกมันย่อมล่วงรู้ใดๆในหล้ามากมายเหนือผู้คนธรรมดา แต่อะไรก็ตามที่บังเกิดขึ้นตอนนี้ เป็นครั้งแรกในชีวิตพวกมันที่ได้ประจักษ์
หลินฟ่านนั้นบังเกิดความกระวนกระวายใจเล็กน้อยเมื่อมองภาพตรงหน้า ... ‘เดี๋ยวนะไอโลงนั่นมั่น ... เชี่ย! ไม่ใช่ว่าแม่งทรงเดียวกันกับโลงของไอแขนเปรตที่เราเจอในทะเลปีศาจชีพมลายรึไง?!?
‘หรือว่า...จะเป็นแบบนั้น?’
มือขวาของหลินฟ่านยามนี้เริ่มสั่นสะท้านขึ้นมา จนเขาต้องกำกางเกงเอาไว้ให้มันหยุดสั่น ...อาการของแขนข้างนี้ของเขา ราวกับว่ามันกำลังพบเจอบางสิ่งที่คุ้นเคย
“ชายลึกลับในชุดคลุมลมดำผู้นี้ เป็นผู้ใดกัน! แล้วในโลงหินนั่น มีอันใดอยู่?” เย่าเทียนกล่าวออกมาด้วยความหวาดหวั่น มันค่อยๆถอยร่างไปด้านหลังหลายก้าวใหญ่
วังวนทมิฬที่บังเกิดขึ้นตรงหน้า ทำให้ผู้คนรู้สึกบังเกิดความไม่สบายใจขึ้นมา สังหรณ์อันตรายของผู้คนทั้งหมดร้องเตือนกึกก้องในห้วงจิต
"ไป…!" ผู้อาวุโสนิกายเฉวียนเชียนเก๋อตะโกนออกมา ถึงแม้ตัวมันจะอยากรู้เรื่องราวตรงหน้าและโลงลึกลับนั่นมากแค่ไหน แต่ลางสังหรณ์ของมันร้องเตือนดังยิ่งกว่าครั้งใด ...อาวุโสคนอื่นเมื่อได้ฟังก็หายจากอาการตะลึง พวกมันรีบหันกลับไปสั่งการเหล่าศิษย์ให้รีบถอนตัวทันที
สิ่งนี้มันแลดูชั่วร้าย! น่าหวาดกลัวเกินไป!
โดยเฉพาะอย่างยิ่งชายในชุดคลุมลมดำนั่น พวกเขาไม่อาจบอกออกมาได้ด้วยซ้ำ! ว่าระดับบ่มเพาะของมันอยู่ขีดขั้นได้!!
ผู้อาวุโสทั้ง 5 ไม่รีรออะไร มันสะบัดแขนฉีกแยกอากาศเบื้องหน้า จนบังเกิดรอยแยกมิติออกมา พวกมันหันไปมองร่างเงาลึกลับกับโลงศิลาอีกครั้งก่อนที่จะเดินหายไปในรอยแยกมิติ ส่วนเหล่าศิษย์ของพวกมันทั้งหลาย...ก็แล้วแต่ชะตาของพวกมันที่สวรรค์ลิขิตก็แล้วกัน...
เพราะการฉีกห้วงมิติเพื่อเดินทางข้ามผ่านกาลอวกาศในเสี้ยวพริบตาดั่งการเคลื่อนย้ายมวลสาร เช่นนี้ เป็นพลังอำนาจที่สามารถกระทำได้เมื่อบ่มเพาะถึงระดับสวรรค์อมตะขึ้นไป ตอนนี้ในหมู่ของพวกมันแทบไม่มีใครสามารถรักษาห้วงมิติและความผันผวนของพลังงานให้เสถียรได้ ดั่งมีพลังอำนาจบางอย่างที่รบกวนอยู่ นั่นทำให้พวกมันสามารถเปิดช่องว่างมิติได้แค่เพียงครู่เดียวเท่านั้น แต่จะอย่างไรก็ตาม เพียงเปิดได้แค่ครู่เดียว พวกมันก็สามารถเคลื่อนย้ายหลบหนีห่างออกมาหลายพันลี้ ...ตอนนี้พวกมันทำได้เพียงเอาตัวรอดก่อนเท่านั้น
ในที่สุดเหล่าผู้อาวุโสทั้งหลายก็ก้าวเดินออกมาจากห้วงมิติอีกครั้ง แม้ห้วงมิติและพลังงานจะแปรปรวน แต่อย่างน้อยๆพวกมันก็สามารถเดินทางได้ปลอดภัย ส่วนเหล่าศิษย์ของพวกมันนั้น ...
ทว่าทันใดนั้นเองเมื่อพวกมัน มองสำรวจไปรอบๆ พวกมันก็ตกตะลึงค้าง ในใจเต็มไปด้วยความไม่ยินยอม
เรื่องเช่นนี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร ... !
พวกมันได้ฉีกห้วงมิติ เพื่อสร้างช่องทางเคลื่อนย้าย และพวกมันก็ก้าวเข้าไปในมิติเพื่อหลบหนีแล้ว แต่ทำไม ... !
...สถานที่ผู้อาวุโสทั้ง 5 ปรากฏตัวนั้น กลับเป็นสถานที่ๆใกล้ๆกับวังวนทมิฬของร่างลึกลับและโลงศิลา!!
อาวุโสทั้ง 5สับสนตะลึงงัน พวกมันรู้สึกเคว้งคว้างจับต้นชนปลายไม่ถูก
'หนี…!'
ทันใดนั้นเหล่าผู้อาวุโสพลันทำตามสัญชาตญาณ ทั้งหมดเหาะหนีสุดกำลัง อย่างไรก็ตาม เสมือนมีแรงดึงดูดลึกลับประการหนึ่ง ดึงดูดพวกมันให้เข้าไปหาโลงศิลา
"อ๊าคคคค... ช่วยด้วย ... !" ทั้งหมดทำได้เพียงกรีดร้องออกมาด้วยความหวาดกลัวเป็นครั้งสุดท้าย และผ่านไปเพียงพริบตาร่างของผู้อาวุโสทั้ง 5 ก็กลับกลายเป็นแห้งเหี่ยว
โลหิตทั่วร่างของพวกมันถูกดูดออกไปจนไม่เหลือสักหยด และเรื่องราวมันบังเกิดขึ้นรวดเร็วอย่างทันทีทันใด เร็วจนสมองทุกคนไม่อาจประมวลภาพน่าหวาดหวั่นตรงหน้าได้และไม่ทันได้รู้สึกกลัวด้วยซ้ำ
"ผู้อาวุโส... !" เหล่าศิษย์ของนิกายต่างๆล้วนร้องตะโกนออกมาด้วยความหวาดกลัว พวกมันเองก็ตั้งใจที่จะหนีออกจากสถานที่น่ากลัวนี่เช่นกัน แต่เมื่อมองไปยังเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับเหล่าผู้อาวุโส โลหิตทั่วร่างของพวกมันพลันหนาวสะท้านขึ้นมา ไม่กล้าเคลื่อนย้ายไปไหนสุ่มสี่สุ่มห้า ทำได้เพียงยืนขาตาย...มีบ้างที่ถึงกับฉี่ราดออกมา
ตัวหลินฟ่านเองก็รู้สึกไม่ค่อยดีเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน หลังจากที่เขาหลอมร่วมกับแขนผู้อมตะแล้ว เขาก็สัมผัสได้ว่า แขนข้างนี้มันไม่ได้มีเพียงแต่มันเท่านั้น
หากคิดไม่ผิด ภายในโลงหินนั่น ต้องมีชิ้นส่วนอื่นๆ ของร่างกายเจ้าของแขนอยู่อีกแน่
ในขณะที่หลินฟ่านกำลังครุ่นคิดเรื่องนี้ ชายลึกลับในชุดคลุมลมดำก็พลันลงมือเคลื่อนไหวกระทำบางสิ่ง วังวนทมิฬที่ปกคลุมร่างเอาไว้เริ่มหายไป มันวางโซ่ลงปล่อยให้โลงศิลาลอยอยู่ข้างๆ ก่อนที่จะเริ่ม ขยับมือก่อสร้างตราประทับบางอย่างมากมาย ราวกับกำลังทำพิธีเสกคาถาอาคม
"โอ ผู้อมตะหนึ่งเดียวอันเป็นนิรันดร์ ข้ารับใช้ของท่านอยู่ที่นี่เพื่อรอต้อนรับนายเหนือหัวอันเป็นที่สุด โปรดท่านจงหวนคืนสู่ชีวิตใหม่ ปลดเปลื้องพันธนาการทั้งหลาย และคลายผนึกออกมาด้วยเทอญ!" ทันใดนั้นเอง ชายชุดคลุมลมดำก็สะบัดแขน ก่อนที่จะบังเกิดโลหิตมากมายหลั่งไหลออกมาจากแขนเสื้อ 2 สายราวกับน้ำตก พวกมันไหลเชี่ยวลงสู่ทะเลปีศาจชีพมลาย
กลิ่นคาวโลหิตคละคุ้งทำให้หลินฟ่านขมวดคิ้ว ... กลิ่นนี้มันเป็นโลหิตของมนุษย์ ‘บัดซบ ต้องใช้ผู้บริสุทธิ์กี่คนวะ ถึงจะได้เลือดมามากมายขนาดนี้?’
โลหิตเริ่มหลั่งไหล จมจ่อมลงสู่ทะเลปีศาจชีพมลาย
เมื่อมองไปยังภาพตรงหน้าหลินฟ่านก็เข้าใจทันที ชายชุดคลุมลมดำผู้นี้คงรู้ว่า แขนผู้อมตะถูกผนึกเอาไว้ที่นี่ จุดประสงค์ของมันที่ทำแบบนี้ คงไม่แคล้วต้องการคลายผนึกแขนนั่น
แต่สิ่งที่อีกฝ่ายไม่รู้เลยก็คือ แขนผู้อมตะนั่น ได้หลอมรวมเข้ากับแขนขวาของหลินฟ่านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ด่านล่างทะเลปีศาจชีพมลาย ไม่มีสิ่งใดอยู่อีกต่อไป
“หื้ม?”... “ไม่มมมมมมมมมมมมมม”
เมื่อเวลาผ่านไปเนินนานชายในชุดคลุมสีดำก็เริ่มเอะใจ มันก้มลงไปมองทะเลปีศาจชีพมลายอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะแหงนหน้ามองฟ้ากู่ก้องร้องคำรามออกมา เมื่อมันตระหนักว่าสิ่งที่มันตามหา ไม่อยู่อีกแล้ว
และตอนนี้เอง หลินฟ่านก็ได้เห็นใบหน้าของมันชัดถนัดตา และเมื่อได้เห็นหลินฟ่านก็อดไม่ได้ที่จะลมหายใจติดขัด เขาไม่อยากจะเชื่อสองตาของเขาและเรื่องนี้
'ละ ... เหลียงอี้ชู!'
ชายลึกลับในชุดคลุมลมดำ กลับกลายเป็นผู้อาวุโสของนิกาย 9 สวรรค์ อาจารย์ของสหายใหม่มัน เหลี้ยงอี้ชู! เรื่องนี้มันเป็นไปได้ยังไง
อีกทั้งชายชราที่เคยร่าเริงคนนั้น มาตอนนี้กลับมีสีหน้าซีดเซียวขอบตาคล้ำ ดวงตาดำสนิททั้งดวง ซ้ำเส้นผมบนหัวยังหลุดหายจนแทบไม่มีไม่เหลือ! เขากลายเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร?!
การประลองชี้แนะของศิษย์อัจฉริยะระหว่างนิกายพึ่งจบไปเพียงไมกี่เดือนเท่านั้น ! นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่!?
"ผู้อาวุโสเหลียง!" หลินฟ่านตะโกนออกมา
เหลียงอี้ชูที่ตะโกนกู่ร้องอยู่บนฟ้าพลันหยุดลง ก่อนที่จะก้มลงมามองหลินฟ่าน ทันใดนั้นไอปีศาจสีดำมากมายก็พวยพุ่งออกมาทั่วร่าง ไอปีศาจค่อยๆรวมตัวกันรอบๆ แลไปคล้ายใบหน้ามารร้าย
ระดับบ่มเพาะ สวรรค์อมตะ ขั้นสูงสุด
ทันใดนั้นเหลียงอี้ชูพลันตบฟาดฝ่ามือที่เต็มไปด้วยพลังสะท้านโลกาใส่หลินฟ่านทันที พลังงานมหาศาลพวยพุ่งออกมา ตอนนี้กระแสพลังงานมากมายผุดออกมาจากอากาศที่ว่างเปล่า ก่อนที่จะเรียงร้อยถักทอหมุนวนรอบพลังฝ่ามือ ตบฟาดมายังหลินฟ่านหวังให้แหลกเป็นจุล
หลินฟ่านพลันยกมือขวาขึ้นมา คว้าจับไปยังฝ่ามือของเหลียงอี้ชูที่จู่โจมตบฟาดในทันใด
“เปรี๊ยงงงงงงง ครืนนนนนนน”... แรงปะทะมหาศาลอัดกระแทกไปรอบๆ คลื่นน้ำทะเลปั่นป่วน พลังงานที่กดทับในบรรยากาศมหาศาลน่าพรั่นพรึง
"ผู้อาวุโสเหลียง! นี่ข้าเอง! เกิดอะไรขึ้นกับท่านกันแน่!" หลินฟ่านร้องออกมาด้วยใจคอไม่ค่อยจะสู้ดี สภาพของผู้อาวุโสเหลียงยามนี้ มันย้ำเตือนให้หลินฟ่านหวนนึกไปถึงความทรงจำ ที่บังเกิดขึ้นในศาลเจ้าเทพธรณี
“ฮรอรรรรรร!”
เสียงคำรามดั่งสัตว์อสูรดังออกจากปากของอาวุโสเหลียง ในขณะที่เขาเริ่มเคลื่อนไหวดึงฝ่ามือที่ตบฟาดมากลับไป ...ผู้อาวุโสเหลียงที่อยู่ด้านหน้าหลินฟ่าน กำลังขยับมือเคลื่อนไหวอย่างว่องทำอะไรบางอย่าง
ยามนี้กระแสพลังงานพลันปรากฏแผ่พลังอำนาจมหาศาลน่าพรั่นพรึงออกมา ราวกับว่าเจตจำนงแห่งพลังอำนาจของสวรรค์และโลกทั้งหมดกำลังจะโถมทับทำลายร่างหลินฟ่าน
และนี่เป็นพลังอำนาจที่มีเพียงผู้ฝึกตนระดับสวรรค์อมตะสามารถใช้ออกได้เท่านั้น เมื่อเยื้องย่างเข้าสู่ระดับนี้ ผู้ฝึกตนนั้นจะมีความสามารถในการทำความเข้าใจวิถีแห่งพลัง รวมถึงกระแสพลังของสวรรค์และโลก และเมื่อเข้าใจแล้ว ก็เสมือนมีพลังสวรรค์และโลกคอยช่วยเหลือเกื้อกูลยามต่อกรกับศัตรู
ตอนนี้หลินฟ่านกำลังทนทานแบกรับพลังอำนาจมากมายเหล่านี้เอาไว้อย่างเต็มกลืน ด้วยร่างเนื้ออันแข็งแกร่ง "ผู้อาวุโส ... เหลียง! ได้สติที! ขะ...ข้ารับ ..ไม่ไหวแล้ว !"
"กำราบ ... !'
หลินฟ่านที่ต้านรับพลังอย่างเต็มกลืนทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาพลันตะโกนออกมาก่อนที่จะตบฟาดฝ่ามือขวาลงเบื้องล่าง... ทว่ามันกลับปรากฏฝ่ามือขนาดมหึมาพุ่งจากผืนฟ้าตบฟาดร่างผู้อาวุโสเหลียงอี้ชู กำราบคลื่นพลังมหาศาลทั้งหมดจนพินาศ!!
เปรี๊ยงงงงงง!!!
ผู้อาวุโสเหลียงอี้ชูถูกตบฟาดลงไปด้านล่าง ผืนน้ำสาดกระจายพวยพุ่งออกมาบังเกิดเป็นหลุมลึกราวกับหลุมอุกกาบาต เสื้อคลุมลมดำถูกเผาผลาญจนกล้าเป็นขี้เถ้า ลมหายใจแผ่วเบา สภาวะนี้บ่งบอกว่าไฟแห่งชีวิตกำลังมอดดับลงแล้ว แต่ทันใดนั้นเอง...ดวงตาดำทมิฬของเหลียงอี้ชูพลันแปรเปลี่ยนกลับกลายเป็นผ่องใส ราวกับได้สติขึ้นมา!
"ระ ...รีบไป ... นิกาย...9 สวรรค์ ... !"
'ติ๊ง!! ... ขอแสดงความยินดีในการสังหาร ผู้ฝึกตนระดับสวรรค์อมตะขั้นสูงสุด เหลียงอี้ชู'
'ติ๊ง!!... EXP+2,000,000,000'
'ติ๊ง!! ... ขอแสดงความยินดีในการ เลื่อนระดับ'
'ติ๊ง!! ... ระดับศักดิ์สิทธิ์ขั้นกลาง'
'ติ๊ง!! ... ระดับศักดิ์สิทธิ์ขั้นสูง'
'ติ๊ง!! ... ระดับศักดิ์สิทธิ์ขั้นสูงสุด'
...
ถึงแม้ว่า Lv ของหลินฟ่านจะพุ่งพรวดราวกับจรวด แต่เขาไม่บังเกิดความยินดีสักนิด ตอนนี้ภายในใจของเขามีเพียงความเจ็บปวด
"มารร้ายนั่น! มัน ... ตายแล้วหรือ!" ตอนนี้เองเหล่าศิษย์สาวกของนิกายทั้ง 6 ที่ไร้กำลังหลบหนีกล่าวถามออกมาเสียงดังลั่นด้วยความตื่นเต้น ตอนแรกนั้นพวกมันคิดว่า...วันนี้ต้องเป็นวันตายของพวกมันแน่แล้ว แต่ไม่คิดเลยว่าบุรุษผู้นี้จักแข็งแกร่งถึงขีดขั้นนี้!!
แม้กระทั่งเย่าเทียนก็บังเกิดความตะลึงอย่างยากเหลือเชื่อ มันดีใจอย่างถึงขีดสุดที่พบพานเหตุการณ์รุนแรงเช่นนี้แล้วยังรอดชีวิตอยู่ได้...
"หุบปาก!" ใจของหลินฟ่านรู้สึกหนักอึ้ง
หลินฟ่านค่อยๆลอยตัวขึ้นไปบนฟ้าอย่างเงียบงัน เหล่าศิษย์สาวกของนิกายทั้งหมดเองก็ไม่กล้าสงเสียงดัง
หลินฟ่านไม่รู้ว่าคำพูดสุดท้ายของผู้อาวุโสเหลียงอี้ชูหมายความว่าอย่างไร แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับ นิกาย 9 สวรรค์กันแน่!
ผู้ที่กล่าวได้ว่าเป็นสหายเพียงคนเดียวในชีวิตของเขาอยู่ที่นิกาย 9 สวรรค์! หากว่ามันมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับนิกายสวรรค์แล้วละก็...??
หลินฟ่านมองไปยังโลงศพศิลา ที่ลอยอยู่ตรงหน้าด้วยโทสะ
"ไสหัวออกมา!!"