px

เรื่อง : War Sovereign Soaring The Heavens
บทที่ 261 : กฏแห่งป่า


บทที่ 261 : กฏแห่งป่า

 

 

เมื่อได้ฟัง ต้วนหลิงเทียนก็พอจะเข้าใจได้ทันที ว่าบางทีเรื่องนี้คงไม่พ้นการแข่งขันอะไรสักอย่างระหว่างขุนเขา

และในไม่ช้าคำกล่าวต่อมาของผู้อาวุโสหลู่ ก็พิสูจน์ได้ว่าการคาดเดาของต้วนหลิงเทียนนั้นถูกต้อง

หลู่ชิวค่อยๆกล่าวออกมาอย่างช้าๆว่า  "ภายในนิกายกระบี่ 7 ดาวของเรานั้น ทุกๆปีจะมีการแข่งขันประลองฝีมือศิษย์สายนอก ซึ่งการแข่งขันจะแบ่งออกเป็น 2 ขั้น...ขั้นตอนแรกก็คือคัดเลือกศิษย์สายนอกที่เก่งกล้า ฝีมือสูงที่สุด 10 ลำดับแรกของแต่ละขุนเขา”

"และ 10 คนนี้จะได้ไปแข่งขันประลองยุทธ์ต่อในขั้นที่ 2 ของการประลองศิษย์สายนอก ! ในขั้นที่ 2 นั้นจะเป็นการแข่งขันระหว่างขุนเขาทั้ง 6!  ศิษย์สายนอกที่โดดเด่นทั้ง 60 คน จะทำการประลองแข่งขันกัน เพื่อช่วงชิงความเป็นที่หนึ่ง!"

และเมื่อกล่าวจบมุมปากของหลู่ชิวเองก็ปรากฏรอยยิ้มขื่นขมออกมา

เพราะมันเป็นเวลาที่กล่าวได้ว่า เนินนานมาแล้ว ...ที่ขุนเขาเทียนเฉวียนได้รับอันดับที่ 1

"การประลองของศิษย์สายนอกเช่นนั้นหรือ?" หลายคนเมื่อได้ฟังก็ตาเป็นประกาย บางคนก็ส่ายศีรษะ

"พวกเราพึ่งเข้าร่วมนิกายกระบี่ 7 ดาว หากพวกเราเข้าร่วมการประลองศิษย์สายนอก มิแคล้วคงได้ถูกผู้อื่นทุบตี ขายขี้หน้าเท่านั้น "

"กว่าที่พวกเราจะเข้าร่วมการประลองเช่นนี้ได้เกรงว่าต้องรอให้เวลาผ่านไปสัก 2-3 ปีเสียก่อน"

...

เหล่าศิษย์ที่ส่ายหน้าล้วนจับกลุ่มคุยกัน

"ฮึ่ม!" หลู่ชิวแค่นเสียงสบถเย็นชาออกมาเมื่อได้ยินเสียงคนกลุ่มนี้คุยกัน "พวกเจ้าทั้งหมดฟังคำข้าเอาไว้ให้ดี มิใช่ว่าศิษย์สายนอกทุกคนจักสามารถเข้าร่วมการประลองแข่งขันศิษย์สายนี้ได้!  อีกทั้งผู้ใดที่เป็นศิษย์สายนอกเกินกว่า 3  ปีแล้วย่อมหมดสิทธิ์เข้าร่วมการแข่งขันประลองศิษย์สายนอก! "

เป็นศิษย์สายนอกเกิน 3 ปีแล้วหมดสิทธิ์?

บางส่วนของศิษย์สายนอกที่ได้ฟังคำกล่าวของผู้อาวุโสหลู่พลันกล่าวออกมาอย่างแบ่งรับแบ่งสู้ "ถึงจะเป็นเช่นนั้นก็เถอะ เกรงว่าในการประลองย่อมไม่ขาดศิษย์ที่ตัดผ่านระดับบ่มเพาะ กำเนิดแก่นแท้ขั้นที่ 5 กระทั่งขั้นที่ 6 ขั้นที่ 7 เองก็น่าจักมี"

"เฮ่อ สำหรับพวกเราตอนนี้จักพบเจอผู้ฝึกยุทธ์ระดับกำเนิดแก่นแท้ขั้นที่ 5 หรือขั้นที่ 6 มันก็หาได้ต่างอันใดกับระดับกำเนิดแก่นแท้ขั้นที่ 7 ไม่ เพราะจะอย่างไรก็มิมีหนทางชนะ"

"ก็นั่นน่ะสิ แต่ด้วยวิธีนี้ อีก 2 ปีข้างหน้าพวกเราสมควรได้เวลาแสดงความสามารถกันอยู่บ้าง"

"เจ้ากล่าวถูก"

...

เหล่าศิษย์สายนอกบางส่วนก็คิดว่ารอให้ตัวปีกกล้าขาแข็ง และแข็งแกร่งที่สุดก่อนค่อยลงประลอง บ้างก็เริ่มเผยสีหน้าเพ้อฝันราวกับกำลังจินตนาการถึงความสำเร็จในการประลองศิษย์สายนอก

"ผู้อาวุโสหลู่ แล้วตอนนี้ยังเหลือเวลาอีกเท่าไรหรือ การประลองศิษย์สายนอกถึงจะเริ่มอีกครั้ง?" ต้วนหลิงเทียนมองไปยังผู้อาวุโสหลู่ชิวด้วยแววตาลึกซึ้งก่อนที่จะกล่าวถามออกมา

แน่นอนว่าตัวเขาย่อมสนใจการประลองของศิษย์สายนอกนี่ไม่น้อย  ในฐานะที่นิกายกระบี่ 7 ดาวเป็นถึงนิกายระดับสูงสุดแห่งอาณาจักรพนาคราม  สมควรที่พวกมันจะไม่ขี้เหนียวของรางวัลกระมัง?

ใบหน้าของหลู่ชิวที่หมองลงหลังจากได้ยินคำกล่าวราวคนใจเสาะของศิษย์สายนอกเข้าใหม่ ทว่าเมื่อได้ยินคำถามของต้วนหลิงเทียนสองตาพลันเบิกกว้างเป็นประกาย  สีหน้าเองก็เริ่มดีขึ้นฉับพลัน ก่อนที่จะหันตามเสียงไปมองต้วนหลิงเทียน "การประลองแข่งขันของศิษย์สายนอก จะมีขึ้นในอีก 6 เดือนหลังจากนี้"

ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับคำ

เมื่อกล่าวจบหลู่ชิวเองก็ถอนสายตาที่มองต้วนหลิงเทียนกลับมาพร้อมส่ายหน้า เขาคิดว่าคนที่กล่าวถามคำถามนี้จะเป็นคนที่มีความมั่นใจในตัวเองและคิดว่ามีฝีมือสูงพอที่จะเข้าร่วมการประลองในอีก 6 เดือนหลังจากนี้

แต่เมื่อเขาเห็นอายุต้วนหลิงเทียน เขาก็ล้มเลิกความคิดนี้ทันที

ตราบที่เขากังวลไม่ว่าพรสวรรค์ของต้วนหลิงเทียนจะสูงส่งมากมายถึงขนาดไหน แต่อายุของเขาสมควรไม่เกิน 20 ปี  เช่นนี้เต็มที่ก็คงเป็นได้แค่ผู้ฝึกยุทธ์ระดับกำเนิดแก่นแท้ขั้นที่ 1 ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหลังจากผ่านไป 6 เดือนแล้วจะสามารถตัดผ่านไปยังระดับกำเนิดแก่นแท้ขั้นที่ 2 ได้แล้วหรือยัง...

และมันย่อมเป็นไปไม่ได้ที่บุคคลระดับนี้จะได้รับผลเลิศล้ำอะไรในการแข่งขันประลองศิษย์สายนอก  แม้กระทั่งเรื่องที่จะติดอันดับผู้เข้มแข็ง 1 ใน 10 ของขุนเขาเทียนเฉวียนนี้ยังเป็นเรื่องเพ้อฝันด้วยซ้ำ

"การที่มีความมั่นใจในตัวเองมันก็ดี  แต่หากมากมายเกินไปนั่นจักเรียกยโสโอหัง" ฮั่วชินอดไม่ได้ที่จะตะลึงงันเมื่อได้ยินต้วนหลิงเทียนกล่าวถามคำถามนี้ต่อผู้อาวุโส  และเมื่อเขาหายจากการตะลึงเขาก็เริ่มหัวเราะเยาะต้วนหลิงเทียนออกมา

แต่ต้วนหลิงเทียนนั้นไม่แยแสและไม่สนใจอะไรที่ฮั่วชินกล่าวมาสักนิด  ราวกับเขาไม่ได้ฟังมันอยู่ด้วยซ้ำ

อีกครึ่งปี?

ตอนนั้นตัวเขาสมควรตัดผ่านไปยังระดับกำเนิดแก่นแท้ขั้นที่ 5!

ต้วนหลิงเทียนและคนอื่นๆที่เดินตามหลังผู้อาวุโสหลู่ชิวมานั้น ในที่สุดก็เดินมาถึง ลานหินที่ยกระดับขึ้นมาของขุนเขาเทียนชู

ลานหินที่ยกระดับขึ้นมานี้ แลดูเล็กและแคบเกินกว่าที่จะให้คน 20 คนมายืนรวมกัน

ทว่าเลยลานหินยกระดับนี้ไปกลับเป็นสะพานโซ่ ที่เกิดมาจากการถักโซ่ร้อยควั่นไว้ด้วยกัน  มันนำไปสู่ขุนเขากระบี่ทางด้านทิศใต้

"เช่นนั้น นั่นก็คงเป็นขุนเขาเทียนเฉวียน?" ต้วนหลิงเทียนมองไปยังขุนเขาสูงชัน ที่ถูกปกคลุมด้วยเมฆหมอกที่อยู่ห่างไกล ประกายตาของเขาก็เรืองวูบขึ้นมาเล็กน้อย

ขุนเขานี้มันตั้งตระหง่านมั่นคง แลดูไปคล้ายกระบี่แหลมคมเล่มหนึ่งที่ห้าวหาญทะลวงชั้นฟ้า ให้ความรู้สึกเข้มแข็งดุดัน ไร้ผู้ต้านและน่าหลงใหลนัก

"ตามข้ามา!" หลู่ชิวเริ่มก้าวนำเหล่าศิษย์สายนอกทั้งหลายก้าวผ่านสะพานโซ่นี้ไป

เมื่อมีผู้คนก้าวเดิน ตัวสะพานโซ่ก็เริ่มสั่นไหวระริก

"ช่างสูงยิ่งนัก!"

"สวรรค์ช่วย หากพวกเราพลัดตกลงไปเกรงว่าแม้แต่ซากก็คงจะมิเหลือ!"

"เพ้ย! ยังจะกล่าววาจาเหลวไหลอันใด! เรื่องเช่นนั้นมันย่อมแน่นอนอยู่แล้ว!"

...

ตอนนี้เองเหล่าศิษย์สายนอกคนใหม่ของนิกายกระบี่ 7 ดาวทุกคนยกเว้นต้วนหลิงเทียนก็เริ่มบังเกิดความประหวั่น และส่งเสียงโห่ร้องออกมาด้วยความตกตะลึง กระทั่งคนที่แลดูจะหวาดกลัวก็ยังมี แต่เป็นจำนวนเล็กน้อย

"หืม? โลกนี้ยังจะมีคนกลัวความสูงด้วยงั้นรึ?" ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวเล็กน้อย ก่อนที่จะทอดสายตามองไปยังภาพทิวทัศน์ขุนเขาอันสวยงาม ที่อยู่อีกฟากฝั่งของสะพานโซ่ ...

จากสายตาสะพานโซ่นี้สมควรมีความยาว 3-400 เมตร  การที่จะเชื่อมต่อโซ่ระหว่างขุนเขาเทียนชู และขุนเขาเทียนเฉวียนนี่ไม่ต้องบอกก็รู้ ว่าเป็นงานที่หนักหนานัก

‘สะพานโซ่นี้สมควรถูกสร้างขึ้นด้วยฝีมือผู้ฝึกยุทธ์ระดับแรกสัมผัสธรรมชาติขึ้นไปเท่านั้น’ ต้วนหลิงเทียนคิดในใจ ก่อนที่จะเหม่อมองไปมาระหว่าง 2 ขุนเขา ราวกับว่ากำลังจินตนาการภาพผู้ฝึกยุทธ์ระดับแรกสัมผัสธรรมชาติเหินบินไปมาโดยมีโซ่เหล็กถือไว้ในมือ เพื่อทำการสร้างสะพานนี้

คนรุ่นก่อนหมั่นเพียรเพาะปลูกต้นกล้า เวลาเลยผ่านรุ่นหลังอิงแอบไม้ใหญ่อาศัยร่มเงา

ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมา

หลู่ชิวที่เฝ้าจับตาดูเหล่าศิษย์สายนอกทั้งหมดอยู่ พลันเบนสายตามาหยุดไว้ที่ชายหนุ่มในชุดสีม่วง ก่อนที่จะค้างไว้

ในบรรดาศิษย์สายนอกที่รับเข้าขุนเขามาทั้ง 20 คนชายหนุ่มในชุดสีม่วงนี้ย่อมมีอายุที่เยาว์วัยที่สุด  แต่ทว่ายามที่อยู่บนสะพานโซ่นี้ คนที่สามารถสงบสติอารมณ์และก้าวเดินอย่างไม่หวั่นไหวมีเพียงชายหนุ่มวัยเยาว์คนนี้เท่านั้น

หากชายหนุ่มในชุดสีม่วงนี่เป็นศิษย์ของนิกายกระบี่ 7 ดาวอยู่ก่อนแล้ว ยังสามารถสงบสติและเผยท่วงท่าสบายๆเช่นนี้ได้ก็คงจะไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

แต่ทว่าชายหนุ่มในชุดสีม่วงนี่พึ่งก้าวขึ้นมาบนสะพานโซ่เช่นนี้ครั้งแรก แต่ทว่าท่วงท่าอิริยาบถกลับเป็นธรรมชาติ  ร่างกายบังเกิดความสมดุลอย่างถึงขีดสุด แทบไม่ต่างอันใดจากการเดินบนพื้นราบเช่นนี้...

และจะอย่างไรด้านล่างโซ่นี้ก็เป็นหุบเหวลึกไม่เห็นก้น!

แม้กระทั่งตัวเขาเองยามที่เข้ามายังนิกายกระบี่ 7 ดาวครั้งแรก และได้มีโอกาสเดินก้าวข้ามสะพานโซ่นี้ครั้งแรกเมื่อหลายปีที่ผ่านมานั้น  ยังอดไม่ได้ที่จะบังเกิดอาการใจสั่น เมื่อต้องก้าวเดินข้ามสะพานโซ่

ในที่สุดหลู่ชิวก็ไม่อาจละเลยต้วนหลิงเทียนไปได้ รีบกล่าวถามชื่อออกมาทันที "เด็กน้อย เจ้าเรียกว่าอะไรรึ?"

ชายหนุ่มผู้นี้ให้ความรู้สึกยากหยั่งถึงยามที่เขามอง  ตัวเขาเองก็อยู่ในนิกายกระบี่ 7 ดาวมาหลายปี  แต่ชายหนุ่มที่สร้างความรู้สึกเช่นนี้ให้แก่เขา มีชายหนุ่มในขุดสีม่วงคนนี้เป็นคนแรก

"ผู้อาวุโสหลู่ ท่านถามถึงชื่อข้าหรือ?" ต้วนหลิงเทียนแปลกใจเล็กน้อยก่อนที่จะหันไปมองผู้อาวุโสหลู่ เมื่อเห็นผู้อาวุโสหลู่พยักหน้าเขาก็กล่าวตอบออกมา "ข้ามีนามว่า ต้วนหลิงเทียน!"

"ต้วนหลิงเทียน?  หลิงเทียน งั้นรึ นามเจ้าช่างโอหังฟังดูยิ่งใหญ่นัก!" ใบหน้าของอาวุโสหลู่พลันเผยรอยยิ้ม ที่หาดูได้ยากออกมา 

"อาวุโสหลู่ท่านล้อข้าเล่นแล้ว " ต้วนหลิงเทียนเพียงยิ้มรับบางๆ แลดูไม่หยิ่งหรือนอบน้อมจนเกินไป

"ฮึ่ม!" เมื่อฮั่วชินเห็นผู้อาวุโสหลู่เริ่มสนใจต้วนหลิงเทียนมันก็สบถออกมา  ความเกลียดชังและความไม่พอใจ ระคนไปด้วยความอิจฉา เริ่มทอออกมาในแววตาของมันอย่างปิดไม่มิด  ขนาดตัวมันเป็นศิษย์สายนอกที่เข้าร่วมนิกายกระบี่ 7 ดาวมาตั้งแต่ 2 ปีก่อน แต่หลู่ชิวยังไม่เคยกล่าวกับมันอย่างเป็นมิตรเช่นนี้มาก่อนเลย

"ข้าสังเกตเห็นว่าเจ้าแลคล้ายมีความคิดประการหนึ่งยามข้ามสะพานโซ่  เจ้าจักช่วยบอกข้าได้หรือไม่ว่ากำลังคิดอ่านอันใดอยู่?" หลู่ชิวมองไปยังต้วนหลิงเทียนด้วยแววตาลึกซึ้ง กล่าวถามออกมาพร้อมลูบเคราแพะของตัว

สายตาของต้วนหลิงเทียนพลันเบนลงไปมองสะพานโซ่อีกครั้ง เมื่อได้ยินคำกล่าวถามของผู้อาวุโสหลู่ "จริงๆแล้วก็ไม่ได้มีอะไรมากมายนัก ...ข้าแค่คิดว่าสะพานโซ่นี้สมควรมีความยาว 300-400 เมตร  การที่จะเชื่อมต่อโซ่ระหว่างขุนเขาเทียนชู และขุนเขาเทียนเฉวียนนี่  สมควรถูกสร้างขึ้นด้วยฝีมือผู้ฝึกยุทธ์ระดับแรกสัมผัสธรรมชาติขึ้นไป มิฉะนั้นคงเป็นไปไม่ได้ที่จะสร้างออกมาได้สมบูรณ์แบบเช่นนี้ นับว่าเป็นงานที่ยากเย็นไม่น้อย"

"อุฟ ฮ่าๆๆ!" หลู่ชิวนั้นไม่ได้กล่าวอะไร ทว่าฮั่วชินที่อยู่ด้านหน้าพลันหัวเราะเย้ยหยันออกมา "สะพานเชื่อมทั้ง 7 ขุนเขาของนิกายกระบี่ 7 ดาว เป็นสิ่งที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วทั้งอาณาจักรพนาคราม ... ยังจะมีผู้ใดไม่ทราบอีกว่าสะพานโซ่ของพวกเรา มันถูกสร้างขึ้นมาด้วยกลุ่มผู้เชี่ยวชาญแรกสัมผัสธรรมชาติ?"

คนอื่นๆ ตอนนี้เองก็หันมามองที่ต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาดูแคลนเล็กน้อย

ทว่าต้วนหลิงเทียนหาได้แยแสอะไรเพียงแย้มยิ้มออกมาเท่านั้น

ทว่ามีเพียงหลู่ชิวที่จับจ้องไปยังต้วนหลิงเทียนด้วยแววตาลึกซึ้งก่อนที่จะกล่าวถามออกมาว่า  "เด็กน้อย เจ้ายังดมิเคยล่วงรู้เรื่องสะพานโซ่ของนิกายเรามาก่อนใช่หรือไม่"

ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวออกมา "แน่นอนว่าข้าย่อมไม่รู้  เอาเป็นว่าข้าขอบอกท่านผู้อาวุโสหลู่ตรงๆเลยแล้วกัน  ตัวข้านั้นหาใช่คนที่มาจากอาณาจักรพนาครามไม่  ข้าเป็นแค่คนที่มาจากอาณาจักรที่อยู่ภายใต้การปกครองของอาณาจักรพนาครามอีกที ... และก่อนหน้านี้ตัวข้าเองก็ไม่เคยได้ยินเรื่องราวสะพานโซ่อันยิ่งใหญ่ของนิกาย 7 ดาวนี่มาก่อน"

"หากเป็นเช่นนี้จริงๆ นับว่าความสามารถในการสังเกตการณ์ของเจ้า มีไม่น้อยเลยทีเดียว" หลู่ชิวพยักหน้าอย่างเรียบๆ ทว่าในใจเขาสะท้านราวถูกคลื่นซัดสาด

ชายหนุ่มที่อายุไม่ถึง 20 ปี คนนี้มาจากอาณาจักรที่อยู่ภายใต้การปกครองของอาณาจักรพนาครามเช่นนั้นหรือ?

ตั้งแต่เมื่อใดกัน ที่อาณาจักรเล็กๆ จักให้กำเนิดผู้ฝึกยุทธ์อัจฉริยะเช่นนี้ออกมาได้?

‘เฮอะ! ที่แท้เจ้าก็เป็นพวกบ้านนอก โผล่มาจากอาณาจักรเล็กกระจ้อย’ มุมปากของฮั่วชินแสยะยิ้มออกมาอย่างดูแคลน พร้อมเหยียดหยามต้วนหลิงเทียนอยู่ในใจ

ต่อให้เขาจะกังวลมากไปสักหน่อย  แต่ความสามารถของผู้ฝึกยุทธ์จากอาณาจักรเกระจ้อยร่อยจะมีสักเท่าไรเชียว?

ต้วนหลิงเทียนแน่นอนว่าย่อมสังเกตเห็น สายตาและรอยยิ้มดูแคลนจากฮั่วชิว  แต่เขาเองก็ยังเฉยๆ เพราะเขาไม่ได้คิดจะแยแสอะไรสุนัขข้างทางอยู่แล้ว

ส่วนทางด้านฮั่วชิน ยิ่งมายิ่งได้ใจบังเกิดความคึกคักอักโข  เมื่อสังเกตเห็นว่าต้วนหลิงเทียนเบนสีหน้าออกไปมองทางอื่นไม่กล้าสบตา มันก็คิดว่าต้วนหลิงเทียนทำไปเพราะกลัวตัวมัน!

ไม่นานกลุ่มคนทั้งหมดก็เดินข้ามสะพานโซ่มาจนถึงขุนเขาเทียนเฉวียน

หลังจากที่ข้ามสะพานโซ่มาได้ สิ่งที่อยู่ตรงหน้าของพวกเขาก็คือลานหินที่กว้างใหญ่  ซ้ำด้านหน้ายังมีอาคารที่ก่อตั้งอยู่บนลานหินแห่งนี้

หลังจากที่ได้ยินคำอธิบายของหลู่ชิว ต้วนหลิงเทียนก็เข้าใจได้ในทันที  ที่แท้อาคารแห่งนี้คือสถานที่ๆ เหล่าศิษย์ของนิกายเทียนเฉวียนมักมาแลกเปลี่ยนซื้อขาย โอสถสมุนไพรและอาวุธวิญญาณ

ที่นี่มีไว้ให้ผู้ที่จับจ่ายใช้เงินทองซื้อโอสถสมุนไพร หรืออาวุธวิญญาณ  อีกทั้งหากไม่มีเงินก็สามารถใช้สิ่งของต่างๆที่มีคุณค่ามาแลกเปลี่ยนกันก็ได้ แล้วแต่ความพอใจทั้งสองฝ่าย

ส่วนทางตอนเหนือของนิกายกระบี่ 7 ดาวนั้น จะมีป่าโบราณที่น่าจะคงอยู่มาตั้งแต่สมัยยุคดึกดำบรรพ์แรกเริ่ม ขนาดกว้างใหญ่สุดไพศาล ด้านในจะมีสมุนไพรล้ำค่า และแร่ธาตุต่างๆมากมายที่ยังไม่ถูกผู้คนค้นพบ ...

เหล่าศิษย์ที่ไม่ได้เกิดหรือมาจากครอบครัวหรือตระกูลที่ร่ำรวยอะไรก็มักจะพึ่งพาการเข้าไปในป่านี้ เพื่อค้นหาสมุนไพรล้ำค่า เอาไว้แลกกับโอสถหรืออาวุธวิญญาณต่างๆ ช่วยเหลือในการฝึกฝนบ่มเพาะ เสริมสร้างความแข็งแกร่งของตัว

แน่นอนว่าภายในป่าใหญ่แห่งนี้ย่อมเต็มไปด้วยสัตว์อสูรดุร้ายมากมาย

อีกทั้งยังมีคำร่ำลือกันว่า ในป่าแห่งนี้ยังมีสัตว์อสูรปีศาจปกครองอยู่จำนวนหนึ่ง!

ดังนั้นป่าโบราณจากยุคแรกเริ่มนี้จึงกลายเป็นสถานที่เหล่าศิษย์ของนิกายกระบี่ 7 ดาวมักจะเข้าไปฝึกฝน และค้นหาประสบการณ์ต่างๆ

"เอาล่ะ พวกเจ้าทุกคนสามารถใช้ตราประทับประจำตัวของขุนเขาเทียนเฉวียน เข้าไปรับชุดเครื่องแต่งกายของศิษย์สายนอกนิกายได้ ... และหลังจากที่เจ้าได้รับชุดเครื่องแต่งกายแล้ว แต่ละคนสามารถค้นหาสถานที่ส่วนตัวเพื่อใช้ในการฝึกฝนบ่มเพาะพลังรอบขุนเขาเทียนเฉวียนนี่ได้ตามใจชอบ และหากสถานที่ๆเจ้าต้องตาพึงใจมีผู้อยู่อาศัยอยู่ก่อนแล้ว เจ้าก็สามารถท้าประลองแย่งชิงได้  แต่จำไว้อย่าได้สังหารผู้อื่นเด็ดขาด!" เมื่อกล่าวใกล้จบน้ำเสียงของหลู่ชิวก็แปรเปลี่ยนเป็นดุร้ายและจริงจัง

"อะไร ยังสามารถแย่งชิงสถานที่ฝึกฝนบ่มเพาะของผู้อื่นได้?"

เหล่าศิษย์สายนอกหน้าใหม่ต่างตกตะลึง

"ดูเหมือนว่านิกายกระบี่ 7 ดาวนี้จะส่งเสริมให้ศิษย์ในนิกายเติบโตด้วยการแข่งขันสินะ... " ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาด้วยอารมณ์  สภาพแวดล้อมของนิกายกระบี่ 7 ดาวแห่งนี้กล่าวไปกลับละม้ายคล้ายกฎแห่งป่าไม่น้อย เข้มแข็งคงอยู่อ่อนแอก็แพ้ไป!

 

รีวิวผู้อ่าน