px

เรื่อง : War Sovereign Soaring The Heavens
บทที่ 149 ยอมรับคำท้าของซูหลี่


"ดี ... ดีนัก!! เช่นนั้นก็รอดูกันไป" ถึงแม้ว่าชายหนุ่มผู้นำของกลุ่มรุ่นพี่จะไม่พอใจเด็กใหม่และอยากตบปากสั่งสอนมันเสียตรงนี้ แต่เขาเองก็กริ่งเกรงกฎระเบียบจึงไมกล้าทำอะไรผลีผลามในเขตโรงอาหาร

โรงอาหารนี้เป็นธุรกิจของท่านรองผู้อำนวยการแห่งสถาบันบ่มเพาะขุนพลนี้ อีกทั้งเหล่าพนักงานลูกจ้างทั้งหลายเอง ก็ล้วนเป็นคนของท่านที่คอยเป็นหูเป็นตาให้ท่านทั้งสิ้น เช่นนี้แล้วหากเข้ากล้าละเมิดกฎลงมือกับรุ่นน้องหรือทำร้ายผู้คนในโรงอาหาร ถึงแม้จะไม่ได้รับโทษถึงขั้นต้องตายแต่มันก็หนักหนาไม่น้อย! แม้กระทั่งมันอาจทำให้เขาถูกขับไล่ออกจากสถาบันบ่มเพาะขุนพลแห่งนี้ ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้!

ส่วนผู้อำนวยการสถาบันบ่มเพาะขุนพลนี้ไม่ค่อยมีผู้ใดเคยเห็นหน้าค่าตาของเขามากนัก แม้กระทั้งในหมู่นักศึกษาชั้นปีที่ 6 อันเป็นรุ่นพี่สูงสุดของสถาบันแห่งนี้ยังไม่เคยพบเห็นผู้อำนวยการมาก่อน ส่วนมากจะเป็นรองผู้อำนวยการที่กระทำหน้าที่ต่างๆแทน... เช่นนั้นหมายความว่ารองผู้อำนวยการคนนี้มีอำนาจสั่งการไม่น้อยแน่นอน!

เหล่ารุ่นพี่นักศึกษาทั้ง 4 คนได้แต่รามือจากโต๊ะของต้วนหลิงเทียนไปก่อน และหาโต๊ะใกล้ๆกันแถวนั้นดื่มกิน แน่นอนพวกมันใช้อำนาจบาตรใหญ่ขับไล่และให้นักศึกษาทิ้งเหรียญเงินเอาไว้เช่นเดียวกับที่คิดจะกระทำกับโต๊ะของหลิงเทียน และพวกมันก็เฝ้ามองมายังโต๊ะของหลิงเทียนเป็นระยะๆ ... ราวกับว่าพวกมันกลัวกลุ่มของต้วนหลิงเทียนจะหายไปอย่างไรอย่างนั้น

แน่นอนว่ากลุ่มของต้วนหลิงเทียนทั้ง 5 คนไม่ได้แยแสหรือสนใจอะไรพวกมันแม้แต่น้อย พวกเขายังคงกินอาหารกันอย่างอิ่มหนำสำราญเต็มไปด้วยความสุข

"ข้าอิ่มแล้ว" หลังจากนั้นต้วนหลิงเทียนที่กินอาหารอย่างสนุกปากก็อิ่มเสียที ก่อนจะหันไปยิ้มให้กับคนอื่นๆ... เซี่ยวหยูกับคนอื่นๆนั้นวางตะเกียบรอมันอยู่สักครู่แล้ว...

"เอาล่ะ พวกเราไปเดินเล่นให้อาหารย่อยกันดีกว่า" ต้วนหลิงเทียนยืนขึ้นและเป็นผู้นำทั้งกลุ่มเดินออกจากโรงอาหารไปอย่างช้าๆ

และก็เป็นดั่งที่คาดการณ์เอาไว้ กลุ่มรุ่นพี่ปี 2 ที่เห็นพวกต้วนหลิงเทียนเดินออกจากโรงอาหารไปแล้ว พวกมันก็รีบเดินออกจากโรงอาหาร แล้วรุดมาดักหน้าทันที ต้วนหลิงเทียนที่เห็นพวกมันเดินมาดักและล้อมกรอบเช่นนี้ ก็ไม่ได้แปลกใจอะไรสักเท่าไร เขาเพียงแย้มยิ้มออกมาเท่านั้น

"เอาล่ะ ในเมื่อพวกเจ้ารุ่นน้องไม่รู้จักว่าผู้ใดเป็นรุ่นพี่ พวกเราจะทำการสั่งให้พวกเจ้ารู้กฎระเบียบข้อนี้เอง!!"ชายหนุ่มรุนพี่ปี 2 ที่เป็นผู้นำ กล่าวออกมาพร้อมใบหน้าเย็นชาแผ่กลิ่นอายหนาวเหน็บออกมา ส่วนชายหนุ่มอีก 3 คนก็จับจ้องไปยังกลุ่มของต้วนหลิงเทียนทั้ง 5 ด้วยแววตาเอาเรื่อง

ซูหลี่กระชับกระบี่ขึ้นมากอดไว้ในอ้อมแขน ก่อนที่จะกล่าวออกมาในขณะที่จ้องตาพวกมัน “ไสหัวไปให้พ้น!” เขากล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชาไม่แยแส แผ่กลิ่นอายหนาวเหน็บราวกับอยู่ในธารน้ำแข็งออกมา ทั้งน้ำเสียงของเขายังฟังก้าวร้าวไม่ไว้หน้าอย่างแท้จริง

ชายหนุ่มทั้ง 4 เองก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง ใบหน้าของพวกมันเริ่มหมองคล้ำ เต็มไปด้วยโทสะ!

พวกเขาเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 2 แห่งสถาบันบ่มเพาะขุนพล แต่ตอนนี้พวกเขากลับถูก เด็กปี 1ตะคอกใส่ หากข่าวเรื่องนี้แพร่ออกไป พวกเขาจะยังมีหน้าอยู่ในสถาบันบ่มเพาะขุนพลแห่งนี้อีกหรือ?

"เด็กบัดซบ เจ้ารนหาที่เองนะ!"ใบหน้าของชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าซูหลี่ดิ่งลง ก่อนที่มันจะระเบิดโทสะ พุ่งร่างวูบวาบไปยังซูหลี่ เหนือศีรษะของมันฉายเงาร่างช้างแมมมอธราณออกมา 8 ตัว!

"ระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 6 เท่านั้นรึ?" ต้วนหลิงเทียนส่ายหัว เขารู้ได้ทันทีว่าตอนนี้ไอหนุ่มรุ่นพี่นั้นกำลังจะประสบเคราะห์กรรมแล้ว

ฟู่มมม!!

ในขณะที่ชายหนุ่มรุ่นพี่ฟาดฝ่ามือออกไปนั้น พลังงานต้นกำเนิดของเขาก็พวยพุ่งออกจากฝ่ามือ ก่อนที่มันจะแปรสภาพเป็นเปลวเพลิงส่องประกายออกมา เตรียมทำร้ายซูหลี่

"ฝ่ามือเปลวเพลิงของเห่าจี้ นั้นเป็นถึงวิชาระดับห้วงมหรรณพขั้นสูง ทั้งมันยังฝึกฝนจนมีความสำเร็จในขั้นตอนแก่นแท้เช่นนี้ พลังงานต้นกำเนิดของมันแทบจะแปรสภาพเป็นเปลวเพลิงที่แท้จริงอยู่แล้ว ... "

"เฮอะ! เป็นแค่เด็กน้อยปี 1 กลับกล้ากำแหงต่อหน้าของพวกเรา ซ้ำยังอวดดีทำใจเย็นไม่รู้ร้อนรู้หนาวเช่นนี้อีก”

รุ่นพี่ปี 2 อีก 2 คนที่ยืนเฝ้ากลุ่มต้วนหลิงเทียนเอาไว้กล่าวออกมาพร้อมเสียงหัวเราะเย้ยหยัน แต่ทว่าเมื่อเห็นเรื่องราวตรงหน้าที่เกิดขึ้นในเวลาต่อมาพวกมันพลันแข็งค้างทันที

สึบบ!

พวกเขาไม่ทันเห็นว่าซูหลี่นั้นลงมือด้วยกระบวนท่าอะไร มันมีเพียงประกายแสงของกระบี่ที่ชักออกอย่างว่องไวเรืองวูบขึ้นมาเท่านั้น ก่อนที่มันจะกลับคืนฝักในชั่วพริบตา

ทันใดนั้นเอง

"อ๊าคคคค!" ชายหนุ่มรุ่นพี่ปี 2 ที่ฟาดฝ่ามือเปลวเพลิงไปหมายทำร้ายซูหลี่พลันกรีดร้องโหยหวนออกมาอย่างสยดสยอง

พรูดด!!

สายโลหิตฉีดพุ่งออกมาจากมือของมันราวกับน้ำพุ เปลวเพลิงและพลังงานต้นกำเนิดบนฝ่ามือของมันค่อยๆสลายหายไป ก่อนที่ร่างของมันจะโซเซไปข้างหน้าจากแรงพุ่งตัว สุดท้ายก็ล้มลงบนพื้นแสดงสีหน้าเสียใจออกมา

ชายหนุ่มรุ่นพี่ปี 2 อีก 3 คนพลันผงะก้าวถอยหลังออกไปอย่างหวาดกลัว ท่าทางของมันตอนนี้ฉายชัดออกมาถึงความหวั่นวิตก

"10 ... ความแข็งแกร่งระดับ 10 ช้างแมมมอธโบราณ! ระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 7!" ความหวาดกลัวค่อยๆยชัดออกมาจากใบหน้าของพวกมัน ดวงตาของมันสั่นสะท้านเต็มไปด้วยความเสียใจ ในขณะที่มองเห็นภาพเงาร่างช้างแมมมอธโบราณเหนือศีรษะของซูหลี่ที่ค่อยๆจางหายไป...พวกมันพลันรู้สึกหนาวสะท้านขึ้นมาทันที

ตอนนี้พวกเขารู้สึกราวกับว่ากำลังเดินบนเส้นทางแห่งวิบากกรรม จำนวนนักศึกษาชั้นปีที่ 1 ที่มีระดับสูงถึงระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 7 ที่มีเพียงหยิบมือเดียว...ดันเป็นพวกเขาที่ต้องมาพบเจอเข้าซะได้!

ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเป็นนักศึกษาปีที่ 2 แห่งสถาบันบ่มเพาะขุนพล แต่ก็กล่าวได้ว่าเป็นพวกระดับล่างๆ ไร้ราคาให้โอ้อวด พวกเขานั้นอยู่ที่สถาบันบ่มเพาะขุนพลแห่งนี้มาปีกว่าแล้ว แต่พวกเขาก็ยังติดแหง็กอยู่ที่ระดับ ก่อกำเนิดขั้นที่ 6 ไม่อาจทลายคอขวดตัดผ่านไปยัง ระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 7 ได้เสียที ...

นักศึกษาหลายคนที่ติดตามพวกเขาออกมาจากโรงอาหารเพื่อมาชมดูเหตุการณ์ ไม่ว่าจะเป็นนักศึกษาใหม่หรือเก่า พวกเขาต่างตะลึงค้างราวกับตัวโง่งม

ผู้ฝึกยุทธ์ระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 7 ! และยังเป็นนักศึกษาใหม่!

สายตาของทั้งหมดจับจ้องไปยังร่าเย็นชาที่ยืนถือกระบี่เอาไว้ในอก

"เพลงกระบี่ของซูหลี่ ว่องไวขึ้นไปอีกขั้นแล้ว" ต้วนหลิงเทียนเองยังประหลาดใจเล็กน้อย กระบี่คล้ายวิชาอิไอที่ใช้ออกเมื่อครู่ของซูหลี่นับได้ว่าไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าวิชาวาดกระบี่ของตัวเขาแม้แต่น้อย และเมื่อเพลงกระบี่ชุดนี้ถูกใช้ออกด้วยผู้ฝึกยุทธ์ระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 7 มันก็ตวัดได้รวดเร็วดั่งเส้นสายอัสนี!

นอกจากเทียนหูที่เคยเจอมากับตัวจนไม่ได้แปลกใจอะไรแล้ว ทางด้านเซี่ยวหยูและเซี่ยวฉวินกลับแสดงความประหลาดใจออกมาอย่างเห็นได้ชัดบนใบหน้า พวกเขาไม่คาดคิดว่าซูหลี่จะน่าเกรงขามถึงขั้นนี้

จากการลงกระบี่เมื่อครู่ของซูหลี่ ความแข็งแกร่งของซูหลี่นั้นกล่าวได้ว่าอยู่ในระดับต้นๆ ของผู้ฝึกยุทธ์ระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 7 เช่นเดียวกันอย่างแน่นอน

"ฮ่าๆ เอ้า! ไหนว่าพวกเจ้าจะสั่งสอนพวกเราให้รู้กฎระเบียบมิใช่หรือไร ใยพวกเจ้าทั้ง 3 กลับถอยหางจุกตูดไปเช่นนั้นกันเล่า หรือว่าพวกเจ้าหวาดกลัวกัน?" เทียนหูหัวเราะเย้ยหยันออกมาในขณะที่มองเห็นชายหนุ่มรุ่นพี่ปี 2 ทั้ง 3 คน ค่อยๆก้าวถอยหลังออกไป

ตอนนี้ใบหน้าของชายหนุ่มทั้ง 3 นั้นบิดเบี้ยวอย่างถึงขีดสุดเท่าที่มันจะบิดเบี้ยวได้ พวกมันก้มหัวลงต่ำด้วยความอับอายก่อนที่จะรีบไปช่วยเหลือสหายที่นอนบาดเจ็บอยู่แล้วรีบจากไปด้วยความเสียใจ

เทียนหูมองซูหลี่ที่กำลังเดินกลับมาก่อนที่จะกล่าววาจาพร้อมกับส่ายหน้า "ซูหลี่เจ้าเองก็ปล่อยพวกเขาไปง่ายดายเกินไป ตอนแรกข้าคิดว่าเจ้าจะตัดข้อมือของพวกมันออกมาเสียอีก อะไรแค่เรียกเลือดเพียงเท่านี้ ... ไม่สมกับเป็นเจ้าเลย "

"ฮึ่ม!" ซูหลี่เพียงแค่นเสียงออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย ก่อจะเดินจากไปอย่างช้าๆไม่สนใจเทียนหู

ต้วนหลิงเทียนพลันหัวเราะออกมาพร้อมส่ายหน้าเช่นกัน "เทียนหู หากว่าเส้นเอ็นเจ้าโดนตัดขาดออกจนหมดสิ้น นั่นยังนับว่าแค่เรียกเลือดอีกรึไง?"

กระบี่ไวที่ใช้ออกเมื่อครู่ของซูหลี่ เห็นได้ชัดว่าสะบั้นเอ็นข้อมือของรุ่นพี่ขาดออกจนหมดสิ้น เรียกได้ว่า ต่อจากนี้ไปมันต้องกลายเป็นคนพิการอย่างแท้จริง

"อะไร ตัดเส้นเอ็นหมดเลยรึ?" เมื่อเทียนหูได้ฟังพลันตกตะลึงทันที เซี่ยวหยูกับเซี่ยวฉวินเองก็ตกใจมากสีหน้าของพวกมันแฝงความเวทนาไม่น้อย สำหรับผู้ฝึกยุทธ์แล้ว หากถูกตัดเส้นเอ็นมิสู้ตัดแขนทิ้งไปดีกว่า!

ใบหน้าเฉยชาของซูหลี่พลันแปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกระหายในการต่อสู้ทันทีหลังจากได้ยินวาจาของต้วนหลิงเทียน เขาไม่คิดเลยว่ากระบี่เมื่อครู่ของเขา จะถูกต้วนหลิงเทียนมองออกทะลุปรุโปร่งเช่นนี้!

ก็อย่างที่เขาคาดไว้ ความแข็งแกร่งของต้วนหลิงเทียนเองก็เพิ่มพูนขึ้นไม่น้อย ...

ไม่นานกลุ่มของต้วนหลิงเทียนก็เดินจากไป ทิ้งเหล่านักศึกษาเก่าใหม่เอาไว้พร้อมอารมณ์ที่คุกรุ่นสะท้าน..ผู้คนต่างหันมองหน้ากันเองด้วยความหวาดกลัวที่อยู่ในสายตา

"ข้าไม่คิดเลยว่า นักศึกษาใหม่ปีนี้ จะมีคนที่น่าเกรงขามเช่นนั้นโผล่ออกมา!"

"พวกเราต้องจดจำกลุ่มคนเหล่านี้เอาไว้ให้ดี อย่าได้พลาดไปหาเรื่องพวกเขาเข้าล่ะ!"

เห็นได้ชัดว่าพวกเขาหวาดกลัวไม่น้อย

ตอนนี้เองมีร่างหญิงสาวสวมชุดสีแดงท่าทางหยิ่งยโส แถมเต็มไปด้วยความโอหังไม่เห็นหัวผู้ใด ก้าวเดินออกมาจากโรงอาหาร "พวกเจ้าทั้งหมดยืนทำอะไรกัน?" เมื่อนางออกมานางก็ถามผู้คนหน้าโรงอาหารทันที ด้วยท่าทางโอหังไม่เห็นหัวผู้ใด

แน่นอนว่านักศึกษาที่สามารถเข้าสถาบันบ่มเพาะขุนพลได้คือ เหล่าอัจฉริยะทีมีความทะนงตนเองและมีความภาคภูมิใจรวมทั้งหยิ่งอยู่ไม่น้อย เช่นนั้นจึงไม่มีใครคิดจะแยแสสตรีชุดแดงนางนี้

ท่าทางของสตรีชุดแดงดุร้ายขึ้นในทันใด

"เฮ่ พวกเจ้า! พี่หญิงลี่กล่าวถามพวกเจ้า พวกเจ้ายังกล้าเงียบไม่กล่าววาจางั้นหรือ พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าพี่หญิงลี่เป็นผู้ใด?" เสียงสตรีสวมชุดคลุมสีน้ำตาลที่ยืนอยู่ด้านหลังของสตรีชุดแดงดังขึ้น พร้อมจ้องมองไปยังนักศึกษาโดยรอบ "ข้าขอบอกกล่าวพวกเจ้าเอาไว้เลย พี่หญิงลี่เป็นหลานสาวของนางสนมองค์ราชา ซ้ำยังเป็นลูกพี่ลูกน้องขององค์ชาย 5 แห่งเมืองหลวง!"

ลูกพี่ลูกน้องขององค์ชาย 5?

นักศึกษาชายเมื่อครู่เริ่มเปลี่ยนท่าทีเป็นฮือฮาขึ้นมา เมื่อพวกเขาหันไปจับจ้องสตรีชุดแดงอีกครั้ง คราวนี้ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความเกรงใจ ทุกคนยามนี้ราวกับแปรเปลี่ยนเป็นคนละคนต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง

"ที่แท้คือแม่นางถงลี่นี่เอง ข้าได้ยินเสียงร่ำลือถึงความงามเฉิดฉายของท่านมานานแล้ว แต่มิเคยได้พบเห็น วันนี้ได้พบแม่นางแล้ว ท่านช่างคู่ควรกับคำชมเชยเหล่านั้นนัก!" นักศึกษาชายกล่าวออกมาด้วยสีหน้าประจบประแจง

"ถูกแล้ว แม่นางลี่ช่างงดงามหาใดเปรียบได้อย่างแท้จริง!"

“อาในที่สุดวันนี้เมื่อได้พบกับแม่นางลี่ข้าก็ได้รู้ว่าคำกล่าวโบราณนั้นไม่ได้ไร้ความจริงเสียทีเดียว แม่นางช่างงดงามจนมัจฉายังต้องจมวารี...ปักษีถึงขั้นตกนภา...ดวงจันทร์คงต้องอายจนต้องหลบโฉมสุดา..มวลผกาเองยังต้องละอายแม่นาง อย่างแท้จริง”

...

เหล่านักศึกษาชายที่ไม่แยแสถงลี่เมื่อครู่ ตอนนี้พวกมันทำตัวตื่นเต้นราวกับวัวตัวผู้ติดสัด พบเจอตัวเมียอย่างไรอย่างนั้น นี่เพราะพวกมันอยากใช้ถงลี่เป็นสะพานไปสานสัมพันธ์กับองค์ชาย 5 เพื่อความมั่งคั่งและผลประโยชน์ในอนาคต!

ถงลี่กล่าวถามออกมาอีกครั้งด้วยใบหน้าไม่สบอารมณ์ "นายหญิงน้อยผู้นี้กล่าวถามพวกเจ้าว่า มันเกิดอะไรขึ้น รอยเลือดนี่ยังไม่แห้งดี เหมือนพึ่งจะมีเรื่องราวเมื่อครู่? "

คราวนี้เหล่านักศึกษาชายต่างพยายามเล่าเรื่องราวและลำดับเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างละเอียดให้ถงลี่ฟัง ...

ระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 7? ทาทางของถงลี่จริงจังขึ้นเล็กน้อยก่อนที่แววตาขอนางจะทอประกายเรืองวูบ...

อันที่จริงแล้วด้วยพรสวรรค์ที่มีมาแต่กำเนิดของนาง คงไม่มีวันที่จะสามารถผ่านการทดสอบใดๆ ของทั้ง 18 มณฑลจนเข้ามาร่ำเรียนในสถาบันบ่มเพาะขุนพลแห่งนี้ได้ เหตุผลเดียวที่นางสามารถเข้ามาเรียนในสถาบันบ่มเพาะขุนพลแห่งนี้ได้ คือการอาศัยความสัมพันธ์ระหว่างนางกับองค์ชาย 5 เพื่อขอสิทธิ์ในการเข้าเรียนนั่นเอง

ที่สำคัญจุดประสงค์หลักในการเข้ามาเรียนยังสถาบันบ่มเพาะขุนพลครั้งนี้ของนางก็คือ การหาบุรุษที่จะมาเป็นคู่ครองของนาง! นางนั้นตีค่าตัวเองไว้สูงส่ง และบุรุษที่นางต้องการนั้นย่อมต้องเป็นอัจฉริยะไร้ผู้ต้าน ที่หาตัวจับยาก ตอนนี้นางได้ยินเรื่องราวของบุรุษผู้ที่มีเพลงกระบี่ล้ำเลิศคนนั้น ถึงแม้ว่านางจะยังไม่เคยเห็นเขาด้วยสองตา แต่ตัวนางเองก็เริ่มสนใจและอยากรู้จักบุรุษหนุ่มผู้นี้ขึ้นมา

ทว่า...ยามนี้ บุรุษผู้นั้นที่ถงลี่อยากพบเจอ หรือซูหลี่..ได้เดินทางมายังป่าไผ่หลังสถาบันบ่มเพาะขุนพล พร้อมกับกลุ่มสหาย

นี่เพราะครานี้ที่ซูหลี่ขอท้าประลองอีกครั้ง ต้วนหลิงเทียนไม่ได้ปฏิเสธ!

ทางด้านตัวต้วนหลิงเทียน เขาไม่ได้คิดเปิดเผยความสามารถและความแข็งแกร่งทั้งหมด เพื่อไม่ให้ซูหลี่ต้องรอ...วันที่อาจจะไม่มีทางมาถึงอีกต่อไป...เขาจงใจที่จะจำกัดขีดความแข็งแกร่งของตัวเองเอาไว้ให้เท่าเทียมกับซูหลี่เสียดีกว่า

อีกทั้งวิชากระบี่ของซูหลี่ได้ไปกระตุ้นความกระหายในการเอาชนะของเขาขึ้นมาด้วยเช่นกัน!

ในป่าไผ่ที่เงียบสงบมีเพียงเสียงลมพัดใบไม้หวีดหวิด เทียนหู เซี่ยวหยู และเซี่ยวฉวินต่างเฝ้ามองอย่างใจจดจ่อ ทำตัวเป็นผู้ชมที่ดี

ต้วนหลิงเทียนกับซูหลี่ยืนประจันหน้ากัน

ต้วนหลิงเทียนนั้นจับจ้องไปยังซูหลี่อย่างไม่วางตา สำหรับเขา ตอนนี้ซูหลี่สามารถชักกระบี่และตวัดฟันมาด้วยความเร็วสูงได้ทุกเมื่อ!

หากเทียบกับปีที่แล้วไม่เพียงแต่ระดับบ่มเพาะของซูหลี่จะพุ่งทะยานไปไกล แต่ความเข้าใจในวิชายุทธ์ยังสูงขึ้นอีกไม่น้อย

"ต้วนหลิงเทียน รับมือ" ซูหลี่กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา และพริบตาต่อมาร่างของเขาก็พุ่งทะยานไปอย่างน่าพรั่นพรึงประดุจกระบี่คมกล้าเล่มหนึ่งไปหาต้วนหลิงเทียนด้วยความเร็วราวกับดาวตก

เหนือศีรษะของซูหลี่ปรากฏภาพเงาร่างช้างแมมมอธโบราณ 10 ตัว!

"มาได้ดี!" ต้วนหลิเทียนจ้องมองตาไม่กระพริบก่อนที่จะเริ่มเคลื่อนที่

วิชาท่าร่าง วิญญาณอสรพิษเคลื่อนกาย!

ร่างของต้วนหลิงเทียนพลันแปรเปลี่ยนเป็นไร้กระดูก เคลื่อนไหวลี้ลับอัศจรรย์ด้วยความแข็งแกร่ง 10 ช้างแมมมอธโบราณวูบไหวไปปะทะกับซูหลี่ราวกับอสรพิษปราดเปรียวตัวหนึ่ง

ในแง่ของความเร็ว ทั้งคู่นั้นนับว่าบรรลุวิชาท่าร่างระดับห้วงมหรรณพขั้นสูง ซ้ำยังมีความสำเร็จในขั้นตอนแก่นแท้ด้วยกันทั้งคู ความเร็วจึงคู่คี่สูสี ไม่มีผู้ใดด้อยกว่ากัน

เซี่ยวฉวินตอนนี้เองพลันตื่นตระหนกขึ้นมา แววตาของเขาฉายชัดออกมาถึงความประหลาดใจ ถึงแม้เขาจะเคยได้ยินมาว่าความแข็งแกร่งของต้วนหลิงเทียนนั้นสูงส่งไม่ธรรมดา แต่เมื่อเขาได้เห็นมันด้วยสองตา เขาก็รู้แล้วว่าวาจานั้นไม่ได้เกินจริงแม้แต่ครึ่งคำ

รีวิวผู้อ่าน