px

เรื่อง : War Sovereign Soaring The Heavens
บทที่ 150 พลังวิญญาณทะลวงไปอีกขั้น!!


ฟุ่บ! ฟุ่บ!

ร่างทั้งสองทะยานเข้าหากันราวกับเส้นสายอัสนี เงากระบี่ส่องประกาวิบวับ ...มุมองศาอีกทั้งท่วงท่าการชักกระบี่ของทั้งสองนับว่าไม่ต่างอะไรกับส่องกระจกเงา เส้นแสง 2 เส้นพลันเรืองวูบออกมาพร้อมกัน

ทั้งยังพร้อมเพรียงราวกับเป็นเวลาเดียวกันไม่ผิดเพี้ยน

เคร๊ง!!

เสียงปะทะกันดังสนั่นของกระบี่บังเกิดขึ้น ประกายไฟพุ่งแลบแปลบปลาบก่อนที่ทั้งสองร่างจะสวนกันไปยืนสลับตำแหน่ง เมื่อยืนอย่างมั่นคงทั้งคู่ก็หันกลับมาจ้องหน้ากันอีกครั้ง

การปะทะกันครั้งแรกของพวกเขา เสมอ!

เมื่อเห็นฉากตรงหน้าอดไม่ได้ที่เทียนหูจะกล่าวออกมา "บัดซบ! ตัวประหลาดทั้งคู่!" แม้กระทั่งเซี่ยวหยูกับเซี่ยวฉวินยังอดไม่ได้ที่จะพยักหน้า

เซี่ยวหยูนั้นไม่คาดคิดเลยว่าความแข็งแกร่งของต้วนหลิงเทียนจะมาถึงระดับนี้แล้ว ส่วนทางด้านเซี่ยวฉวินนั้นตกตะลึงอย่างถึงขีดสุด กวาดตามองทั่วตระกูลเซี่ยวของเขา บอกกล่าวได้เลยเหล่ารุ่นเยาว์ที่มีระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 7 หาได้มีผู้ใดทัดเทียมกับทั้งคู่ได้แม้แต่คนเดียว

กระบี่ของพวกเขาว่องไวเกินไป!

ทั้งหมดที่เซี่ยวฉวินเห็นนั้นมีเพียงประกายแสง 1 แดง 1 ม่วงเรืองวูบขึ้นมาในชั่วพริบตา ก่อนที่จะบังเกิดเสียงดังเคร๊ง! แล้วทุกอย่างก็หายไป

ต้วนหลิงเทียนหันไปจับจ้องซูหลี่ก่อนที่จะกล่าวถามออกมาอย่างสงสัย "ซูหลี่ อาวุธเจ้าก็เป็นอาวุธวิญญาณนี่ เหตุใดเจ้าไม่ใช้ความสามารถขยายพลังของมันเล่า?"

"ไม่ใช่ว่าเจ้าเองก็ไม่ได้ใช้หรอกหรือ?" ซูหลี่กล่าวย้อนออกมา พร้อมยิ้ม

ประกายตาของต้วนหลิงเทียนเรืองวูบขึ้นมาเล็กน้อย "ข้าอยากเห็นขีดสุดความแข็งแกร่งของเจ้า!"

"ข้าเข้าใจแล้ว" ซูหลี่พยักหน้า ก่อนที่ขาของเขาจะกระทืบพื้นจนฝุ่นดินถูกตะกุยฟุ้งกระจาย...ร่างกายของเขาพวยพุ่งออกมาด้วยพลังงานต้นกำเนิด พุ่งทะยานไปราวกระบี่คมกล้าอีกครา

เส้นสายสีแดงเรืองวูบขึ้นมาอีกครั้ง มันแลบขึ้นมาราวกับเงาไปตรงหน้าหลิงเทียน

ในพริบตาเงาร่างช้างแมมมอธโบราณเหนือศีรษะซูหลี่พลันกลับกลายเป็น 11 ตัว แน่นอนว่ายามนี้ผลขยายพลังของอาวุธวิญญาณระดับ 9 ในมือซูหลี่ถูกใช้งานแล้ว

วิชาท่าร่างวิญญาณอสรพิษเคลื่อนกาย!

ต้วนหลิงเทียนจับจ้องไปยังร่างซูหลี่ตาเขม็งสองขาเขาพลันขยับโยกย้ายวูบไหวร่าง ราวกับอสรพิษตัวหนึ่งพุ่งไปยังซูหลี่ เงาร่างช้างแมมมอธโบราณฉายออกมา 10 ตัว!

และในขณะที่เขาชักกระบี่ออกมาเตรียมปะทะกับซูหลี่นั้น เงาร่างช้างแมมมอธโบราณเหนือหัวของต้วนหลิงเทียนพลันเปลี่ยนไปเป็น 11 ตัวเชนกัน!

เคร๊ง!!

กระบี่ของพวกเขาทั้งคู่ปะทะกัน

พรึ่บ!

ทันใดนั้นเองมือข้างหนึ่งที่ไม่ได้ถือกระบี่ของซูหลี่พลันควบแน่นพลังงานต้นกำเนิดออกมาอย่างน่าหวาดหวั่น ก่อนที่จะซัดมายังร่างของต้วนหลิงเทียน

ฝ่ามือนี้กลับกลายเป็น วิชายุทธ์จู่โจมระดับห้วงมหรรณพขั้นสูงที่มีความสำเร็จในขั้นตอนแก่นแท้อีกวิชาหนึ่ง!!

พลังเคลื่อนย้ายจักรวาล!

ต้วนหลิงเทียนไม่รีรออะไร เขารีบเร่งเร้าพลังงานต้นกำเนิดโคจรหมุนวนตามแนวทางพลังเคลื่อนย้ายจักรวาลทันที เขาคาดไม่ถึงจริงๆ ว่าซูหลี่จะสามารถฝึกฝนวิชายุทธ์ฝ่ามือ จนบรรลุขั้นสูงเช่นนี้เอาไว้อีกวิชา

ฝ่ามือของซูหลี่พลันฟาดปะทะกับเกราะพลังงานต้นกำเนิดของต้วนหลิงเทียน

เกราะพลังงานต้นกำเนิดของหลิงเทียนสั่นสะท้านราวระรอกคลื่น มันดูดซับพลังทำลายของซูหลี่ก่อนที่จะหมุนวนสะท้อนกลับไปยังฝ่ามือของซูหลี่ในพริบตา จนฝ่ามือเขาสั่นสะท้านชาระริก ...ซัดหอกมาหอกนั้นคืนสนอง !

และเมื่อบรรลุผลเกราะพลังงานต้นกำเนิดของต้วนหลิงเทียนพลันสลายไปทันที!

ฟุ่บ!

และทันใดนั้นแขนข้างที่ไม่ได้จับกระบี่ของหลิงเทียนพลันแกว่งออกมาอย่างน่าเกรงขามราวกับงูเหลือมตวัดหาง!

ปงงง!!

ฝ่ามือและอวัยวะภายในของซูหลี่นั้นยังไม่หายจากอาการสั่นสะท้าน เพราะผลพลังงานที่ต้วนหลิงเทียนสะท้อนกลับมาด้วยวิชาป้องกันพลังเคลื่อนย้ายจักรวาล ทั้งกระบี่ในมือขวายังถูกหยุดเอาไว้ด้วยกระบี่ของต้วนหลิงเทียน ยามนี้เขาไม่อาจหลบหรือป้องกันแขนที่แกว่งออกมาอย่างพรั่นพรึงของต้วนหลิงเทียนได้ สุดท้ายเขาจึงถูกซัดอย่างจัง

โชคดีที่ต้วนหลิงเทียนนั้นสามารถควบคุมพลังงานได้อย่างแยบคาย สามารถลดพลังทำลายลงได้อย่างทันท่วงที เขาจึงไม่ได้รับบาดเจ็บหนักแต่อย่างใด

ซูหลี่ปล่อยร่างปลิวกระเด็นลอยออกไปตามแรงปะทะไม่ฝืนหักโหม ก่อนที่เขาจะประคองร่างตัวเองลงพื้นอย่างทุลักทุเล โลหิตของเขาเหมือนหมุนวนอย่างบ้าคลั่งในร่างจนแทบกระอักออกมา เขาไม่คิดรั้งรออะไรรีบหยิบโอสถทองประสานกายระดับ 9 ออกมากลืนลงไปทันที...หลังจากนั้นชั่วครู่อาการของเขาก็เริ่มดีขึ้น

"ต้วนหลิงเทียน ชนะ?" เทียนหูไร้คำจะกล่าว

ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าอย่างเก่งต้วหลิงเทียนก็คงทำได้เพียงแค่เสมอกับซูหลี่ได้เท่านั้น และเมื่อเขาเห็นว่าซูหลี่ใช้ฝ่ามือฟาดไปยังต้วนหลิงเทียน เขาก็คิดว่าต้วนหลิงเทียนคงต้องปราชัยแน่แล้ว... เขาคาดไม่ถึงจริงๆว่าซูหลี่ยังซ่อนไพ่ลับใบนี้เอาไว้และเลือกที่จะปิดบังความแข็งแกร่งเอาไว้ส่วนหนึ่งมาตลอดเวลา นอกจากวิชากระบี่ไวเลิศล้ำ ซูหลี่กลับฝึกวิชาฝ่ามือที่น่าตกตะลึงเชนนี้!!

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาต่อมา ทำให้เทียนหูสั่นสะท้าน ราวกับเกวียนที่ทะยานขึ้นเนินแล้วลงเนินอย่างรวดเร็ว ต้วนหลิงเทียนกลับใช้วิชาป้องกันอันประเสริฐได้ในเสี้ยวพริบตา หยุดยั้งฝ่ามือของซูหลี่ ก่อนที่เขาจะเหวี่ยงแขนออกไปอย่างลี้ลับซัดซูหลี่กระเด็นออกมาเช่นนี้

และตอนนี้เมื่อเขาเห็นสภาพร่างกายและอาการของซูหลี่ เขารู้ได้ทันทีว่า ซูหลี่พ่ายแพ้แล้ว!

เซี่ยวหยูและเซี่ยวฉวินพลันหันมามองหน้ากันเอง ทั้งคู่เห็นสายตาที่แฝงความหวาดกลัวเอาไว้ในดวงตาของกันและกันได้ชัดเจน ...

ความแข็งแกร่งของต้วนหลิงเทียนเป็นเรื่องที่น่าพรั่นพรึงอย่างแท้จริง อดไม่ได้ที่เซี่ยวฉวินจะถอนหายใจออกมาด้วยความชื่นชม

“ข้าไม่อยากจะเชื่อเลย เพียงเวลาแค่ 1 ปีเท่านั้นหลังจากที่ข้าเห็นเขาครั้งสุดท้าย แต่ความแข็งแกร่งของเขากลับเพิ่มพูนถึงเพียงนี้” ยามนี้สายตาของเซี่ยวหยูที่ใช้จับจ้องไปยังหลิงเทียนนั้นเต็มไปด้วยความซับซ้อน ภาพวันเก่ายามที่ต้วนหลิงเทียนแข็งแกร่งขึ้นทีละขั้นพลันฉายวนออกมาอีกครั้ง

ตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกัน ต้วนหลิงเทียนก็โดดเด่นขึ้นมา ในงานชุมนุมของเหล่าอัจฉริยะ และสุดท้ายก็สามารถเอาชนะตัวเขาได้และกลายเป็นอันดับ 1 ในงานชุมนุมมังกรซ่อน หลังจากนั้นต้วนหลิงเทียนก็ไปส่องประกายอย่างยิ่งใหญ่ในค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะ ซ้ำยังก่อปาฏิหาริย์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนทำให้ตัวเขาเองตกตะลึงจนไม่รู้จะตกตะลึงอย่างไรแล้ว!

ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ชายหนุ่มที่เคยมีความแข็งแกร่งเท่าเทียมกับเขา ได้ทิ้งห่างเขาไปไกลโขจนถึงเพียงนี้..

"ต้วนหลิงเทียน ข้าไม่คิดจริงๆว่าหลังจากการฝึกหนักมาถึง 1 ปีเต็ม ข้ายังเอาชนะเจ้าไม่ได้" ซูหลี่กล่าวออกมาพร้อมถอนหายใจ แต่เขาหาได้หดหู่ไม่ อีกทั้งประกายตาของเขายังฉายชัดออกมาถึงความมุ่งมั่น และความกระหายในการต่อสู้ก็ไม่ได้ลดลง "แต่ข้าจะยกเจ้าเป็นเป้าหมายของข้า... และสักวันข้าจะเอาชนะเจ้าให้ได้!"

"ข้าจะรอวัน ที่ได้ประมือกับเจ้าอีก!" ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับเบาๆ

ซูหลี่นั้นเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่จิตใจเด็ดเดี่ยวและมั่นคงในหนทางแห่งวิถียุทธ์มากที่สุดคนหนึ่งในชีวิต ..เขาไม่บังเกิดความท้อแท้เพียงเพราะล้มเหลวแม้แต่เพียงนิด เขาลุกขึ้นมาอย่างกล้าหาญและพร้อมที่จะทำการต่อสู้อีกครั้ง!

และแน่นอนว่าตัวตนเช่นนี้ในความทรงจำของจักรพรรดิกลับชาติมาเกิดเองก็มีไม่น้อย และตัวตนเหล่านั้นทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นผู้ยิ่งใหญ่ และเป็นตำนานบทหนึ่งของโลกใบนี้ทั้งสิ้น! พวกเขากลายเป็นตัวตนที่ยิ่งใหญ่ เรื่องระบือลือนามจนผู้คนทั้งแผ่นดินล้วนรู้จัก!

ต้วนหลิงเทียนมั่นใจว่าตราบใดที่หัวใจของซูหลี่ยังคงตั้งมั่นและแน่วแน่ในวิถียุทธ์ อนาคตของเขานั้นคงต้องเป็นตัวตนที่ยิ่งใหญ่ และมีชื่อเสียงเรียงนามเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่แข็งแกร่งจนสามารถสร้างตำนานของตนจนระบือลือลั่นได้อย่างแน่นอน!

หลังจากสอดกระบี่อ่อนดาราม่วงคืนฝัก ต้วนหลิงเทียนก็หันไปมองซูหลี่และเทียนหูก่อนที่จะกล่าวถามออกมาว่า "เฮ่ ฝ่ายดาวขุนพลของพวกเจ้า ช่วงบ่ายต้องทำอะไรบ้างหรือ?"

เทียนหูคิดเล็กน้อยก่อนที่จะกล่าวตอบออกมาช้าๆ "หนิวหมังกล่าวว่าให้มาเข้าห้องเรียนให้ตรงเวลา แต่จะทำอะไรนี่ข้าเองก็ไม่รู้ ... แล้วของพวกเจ้าล่ะ?"

"พวกเรามีเวลาว่างตลอดทั้งบ่ายจะทำอะไรก็ได้ แต่ต้องอยู่ที่สนามฝึกซ้อม เมื่อถึงเวลาแล้วก็สามารถออกจากสถาบันและกลับบ้านได้"เซี่ยวหยูกล่าวออกมาก่อนที่จะหัวเราะ

"อา ฝ่ายดาวกุนซือของพวกเจ้าช่างดีนัก" ใบหน้าของเทียนหูนั้นเต็มไปด้วยความอิจฉา แต่น่าเสียดายที่เขาก็ทำอะไรไม่ได้

คิ้วของหลิงเทียนยกขึ้นเล็กน้อย "เอาล่ะ พวกเราไปกันเถอะ... ได้เวลาแล้ว"

หลังจากเดินออกจากป่าไผ่แล้ว เซี่ยวหยู,เซี่ยวฉวินและตวนหลิงเทียนก็มุ่งหน้าไปยังลานฝึกซ้อม ส่วนซูหลี่กับเทียนหูนั้นแน่นอนว่าย่อมต้องไปห้องเรียนของฝ่ายดาวขุนพล

เมื่อมาถึงสนามฝึกซ้อมหลิงเทียนก็พบว่าในสนามไม่ได้มีผู้คนมากมายอะไร นอกเหนือจากนักศึกษาของฝ่ายดาวกุนซือปีที่ 1 แล้ว ก็มีเพียงคนของฝ่ายดาวกุนซือชั้นปีอื่นๆเท่านั้น...

สำหรับตลอดช่วงบ่าย เซี่ยวหยูกับเซี่ยวฉวินเองก็ไปประลองชี้แนะกับคนอื่นๆ ส่วนต้วนหลิงเทียนนั้นนอนบนต้นไม้ขนาดใหญ่ที่อยู่นอกเขตลานฝึกซ้อมไปเล็กน้อย และดูเหมือนจะหลับสบายไม่น้อย

เมื่อเขาตื่นขึ้นมาเขาก็สังเกตเห็นว่าคนอื่นๆ ได้ออกจากลานฝึกซ้อมกลับกันไปหมดแล้ว

"ต้วนหลิงเทียน เจ้านี่ก็สบายจริงนะเล่นหลับทั้งบ่ายเช่นนี้ ... ไปหาอะไรดื่มกันไหม?" เซี่ยวหยูที่ไม่รู้เดินมาถึงใต้ต้นไม้เมื่อไหร่ เงยหน้าขึ้นไปกล่าวถามต้วนหลิงเทียน

"เอาไว้วันอื่นเถอะ วันนี้ดูท่าที่บ้านข้าคงเป็นห่วงแย่แล้ว" ต้วนหลิงเทียนปฏิเสธคำชวนจากเซี่ยวหยู ก่อนหน้าที่เขาจะออกมาวันนี้ เขาไม่รู้ว่าสถาบันบ่มเพาะขุนพลจะไม่อนุญาตให้นักศึกษาออกไปนอกสถาบันในตอนเที่ยง และต้องอยู่รับประทานอาหารกลางวันที่สถาบันเช่นนี้ ...ป่านนี้ไม่รู้ว่าสาวน้อยที่งดงามทั้งสองกับมารดาของเขาจะเป็นห่วงถึงขนาดไหนแล้ว

"ย่อมได้" เซี่ยวหยูไม่ได้รบเร้าอะไร เขากับเซี่ยวฉวินจึงเดินออกจากสถาบันบ่มเพาะขุนพลไปด้วยกันและกลับเขตที่พักตระกูลเซี่ยว

ต้วนหลิงเทียนเองก็เร่งรีบกลับบ้านเขาทันที และเมื่อมาถึงก็เป็นอย่างที่เขาคิดเอาไว้ไม่มีผิด สตรีทั้ง 3 ในบ้านล้วนเป็นกังวลและห่วงใยเขามาก และเมื่อพวกนางเห็นเขากลับมาก็เริ่มยิงคำถามมากมายทันที ตั้งแต่ยังไม่เข้าบ้าน...

และหลังจากที่เขาอธิบายเหตุผลออกไป สตรีทั้ง 3 ก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

ค่ำคืนนั้นหลังจากที่รับประทานอาหารค่ำเสร็จ ต้วนหลิงเทียนก็ยังคงบ่มเพาะพลังตามวิชา 9 มังกรจักรพรรดิสงคราม เขารู้สึกได้ว่าเขาใกล้ที่จะตัดผ่านระดับไปได้แล้ว แต่ดูเหมือนมันจะขาดอะไรที่สำคัญสักอย่าง

“ช่างมันเถอะ ข้าค่อยๆบ่มเพาะไปเรื่อยๆก็ได้ บางทีมันอาจจะเป็นเพราะเหตุผลทางด้านอารมณ์!”

หลังจากที่หลับสนิทอย่าสบายตัว เช้าตื่นขึ้นมาหลิงเทียนก็เริ่มบ่มเพาะช่วงเช้าตามปกติ แต่ทว่ายามนี้ในหัวใจของเขากลับไม่รู้สึกติดขัดอะไรแม้แต่น้อย และทันใดนั้นเอง ใบหน้าของต้วนหลิงเทียนก็ค่อยๆเผยร่องรอยแห่งความยินดีออกมา!

ปัง

พลังงานต้นกำเนิดของเขาทะลวงผ่านคอขวดได้อย่างง่ายดาย ราวกับได้รับการช่วยเหลือจากเทพเซียน...ระดับบ่มเพาะของเขาพลันตัดผ่านไปอยู่ที่ระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 5 ทันที

"หืมนี่มัน จริงหรือเนี่ย?" ถึงขนาดที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกมาเช่นนี้ แน่นอนว่าต้องเป็นเรื่องสำคัญ

ตอนนี้เองต้วนหลิงเทียนพลันสัมผัสได้ว่า พลังวิญญาณของเขามีการเปลี่ยนแปลง เนื่องมาจากการตัดผ่านระดับเมื่อครู่ และตอนนี้ดูเหมือนประสาทสัมผัสรอบด้านเขาจะคมชัดมากขึ้น

"นี่มัน พลังวิญญาณระดับเดียวกันกับพลังวิญญาณของผู้ฝึกยุทธ์ระดับวิญญาณแรกก่อตั้ง?" ดวงตาของต้วนหลิงเทียนพลันเบิกกว้างขึ้น

"นายน้อยเจ้าคะได้เวลาทานอาหารเช้าแล้วเจ้าค่ะ" น้ำเสียงของเค่อเอ๋อดังออกมาจากด้านนอก

"เค่อเอ๋อ เจ้ากินก่อนได้เลย เดี๋ยวข้าแต่งตัวเสร็จแล้วจะตามออกไป"ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนแต่งตัวความทรงจำของจักรพรรดิกลับชาติมาเกิดก็ถูกเขาค้นหาอย่างบ้าคลั่ง ตอนนี้สิ่งที่เขากำลังทำก็คือการค้นหา อาคมจารึก จากความทรงจำที่มากมายราวกับไร้ที่สิ้นสุดของจักรพรรดิกลับชาติมาเกิด และอาคมจารึกที่เขาค้นหาก็เป็นอาคมจารึกสำหรับผู้จารึกระดับวิญญาณแรกก่อตั้ง

มีอาคมจารึกมากมายอยู่ระดับนี้ และที่เขามองหาก็เอาเฉพาะแต่อาคมจารึกที่มีไว้โจมตีเท่านั้น สำหรับอาคมจารึกสายอื่นๆ ตอนนี้หลิงเทียนยังไม่คิดที่จะศึกษาและจารึกพวกมันตอนนี้ เนื่องจากยามนี้ทุนทรัพย์ที่เขามีอยู่ มันเพียงพอให้ซื้อวัตถุดิบสำหรับจารึกอาคม ที่สามารถฆ่าผู้ฝึกยุทธ์ระดับวิญญาณแรกก่อตั้งได้แค่ 3 ชุดเท่านั้น

เขาจะไม่ใช้เงินของเขาไปกับการจารึกอาคมรูปแบบอื่นๆ !

มีเพียงอาคมจารึกสายจู่โจมเท่านั้น ที่เหมาะสมที่สุดในการรักษาชีวิต!

หลังจากที่แต่งตัวเสร็จต้วนหลิงเทียนก็เดินออกมาลานด้านหลังบ้าน ...ปกติแม่ของเขาและสองสาวชอบที่จะมานั่งกินอาหารกันที่นี่

ในฐานะเจ้าของบ้านแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ออกกฎไว้ข้อหนึ่งว่า นอกเหนือจากสมาชิกในครอบครัวของเขาแล้ว อนุญาตให้เพียงฉงเฉวียนและ ชิ่งหรูเท่านั้นที่สามารถเข้ามาภายในลานบ้านด้านหลังได้

ลี่หลัวสังเกตเห็นใบหน้าอารมณ์ดีของหลิงเทียน "ลูกเทียน อะไรทำให้เจ้าแลดูหน้าระรื่นเช่นนี้กัน?"

“ไม่มีอะไรหรอกท่านแม่ พอดีระดับบ่มเพาะของข้าก้าวหน้าขึ้นเท่านั้นเอง” ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกมาอย่างลวกๆ

ตอนนี้สิ่งที่เขาให้ความสำคัญมากที่สุดไม่ใช่ระดับบ่มเพาะ แต่เป็นพลังวิญญาณของเขา ตอนนี้ความก้าวหน้าของระดับบ่มเพาะ 1 ระดับ นั่นก็เพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่เขาเพียง ช้างแมมมอธโบราณ 1 -2 ตัวเท่านั้น หากไปเทียบกับพวกระดับกำเนิดแก่นแท้ขึ้นไปนี่ไม่ได้เป็นอะไรเลย แต่ความก้าวหน้าในด้านพลังวิญญาณนั้นมันต่างกัน ตอนนี้ความสามารถของเขาสูงพอที่จะจารึกอาคม ที่สามารถใช้สังหารเหล่าผู้ฝึกยุทธ์ในระดับวิญญาณแรกก่อตั้งได้แล้ว!

"ตัวเลวร้าย ข้าได้ยินฉงเฉวียนกล่าวว่า ตอนนี้ข่าวใหญ่ในเมืองที่กำลังพูดถึงกันไปทั่วทั้งเมือง นั้นบอกว่าเมื่อสองเดือนที่ผ่านมา มีผู้หลอมโอสถระดับ 9 อายุ 18 ปีปรากฏตัวขึ้นมาที่สมาคมผู้หลอมโอสถ คนๆนั้นเป็นเจ้าใช่ไหม? " ลี่เฟยมองไปที่ต้วนหลิงเทียนด้วยรอยยิ้มล้อเลียน

นางจำได้ว่าเมื่อ 2 เดือนก่อน ต้วนหลิงเทียนได้ปลอมตัวออกจากบ้านไปครั้งหนึ่ง ... และดูเหมือนว่าเรื่องราวในสมาคมผู้หลอมโอสถก็เกิดขึ้นวันนั้นพอดีด้วย

"อะไรกันเล่า ในเมื่อเจ้าเองก็เดาได้แล้วจะถามทำไม หืม?" ต้วนหลิงเทียนหันกลับไปจ้องตาของลี่เฟย ก่อนที่จะไล่สายตาลงมาอยู่ที่เนินอกที่แสนงดงามอวบอิ่มของลี่เฟย และตอนนี้เองหลิงเทียนน้อยพลันร้อนระอุขึ้นมาและเริ่มตอบสนองต่อเพลิงอารมณ์ในใจ

อันที่จริง...มันก็เป็นเวลานานแล้วที่เขาไม่ได้มีช่วงเวลาทำรักกับสาวน้อยคนนี้ ...

เมื่อลี่เฟยสังเกตเห็นแววตาถวิลหาของต้วนหลิงเทียน พวงแก้มเนียนสวยของนางพลันเจือสีแดงระเรื่อขึ้นมา ก่อนที่จะมองไปยังหลิงเทียนด้วยแววตาลึกซึ้ง...

รีวิวผู้อ่าน