px

เรื่อง : War Sovereign Soaring The Heavens
บทที่ 176 สองแม่ทัพ!


ชายวัยกลางคนทั้ง 2 รู้สึกขนพองสยองเกล้าโดยพลัน เหงื่อเม็ดเขื่องเริ่มผุดออกมาจากหว่างคิ้ว พวกมันหันกลับมามองด้านหลังด้วยความหวาดกลัว

และเมื่อหันกลับมาพบ ชายหนุ่มชุดสีม่วง ที่พวกมันได้สะกดรอยตามมาก่อนหน้านี้ สีหน้าพวกมันฉายชัดออกมาถึงความเหลือเชื่อ

ชายหนุ่มคนนี้ วกกลับมาตลบหลังพวกมันตั้งแต่เมื่อไหร่?

เหตุใดพวกมันไม่อาจจับสัมผัสได้แม้แต่น้อย

ชายวัยกลางคนทั้งสองต่างหันหน้ามองกันเองอย่างไม่รู้ตัว ต่างฝ่ายเห็นเพียงแววตาที่เต็มไปด้วยความหวาดหวั่นของอีกฝ่าย

และในขณะที่ชายวัยกลางคนทั้งสองคนหันกลับมา ต้วนหลิงเทียนก็มองหน้าพวกมันอยู่เช่นกัน ทั้งยามนี้มุมปากของต้วนหลิงเทียนยังแสยะยิ้มออกมาอย่างเย็นชา

"ผู้ใดเป็นคนส่งพวกเจ้าทั้ง 2 คนมา?" ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบๆ แต่ทว่ามันแฝงความหงุดหงิดเอาไว้ไม่น้อย

ครืนน!

ทันใดนั้นจิตสังหารน่าพรั่นพรึง เต็มไปด้วยความกระหายเลือดแผ่ซ่านล้นทะลักออกจากร่างกายต้วนหลิงเทียน และกดทับไปยังชายวัยกลางคนทั้ง 2 อย่างไม่อ่อนข้อ ...

ใบหน้าของชายวัยกลางคนทั้ง 2 แปรเปลี่ยนเป็นซีดเผือด

มันเป็นเรื่องเหนือจินตนาการของพวกมันไปไกลโข ที่ชายหนุ่มอายุราวๆ 18 ปี จะมีจิตสังหารที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้

ทันใดนั้นชายวัยกลางคนทั้ง 2 ทำได้เพียงแผ่จิตสังหารออกมาต้านทานจิตสังหารที่น่าหวาดหวั่นของต้วนหลิงเทียนเท่านั้น

แม้นทั้ง 2 คนจะใช้แผ่จิตสังหารออกมารุมต้านทานจิตสังหารของต้วนหลิงเทียน แต่ทว่าจิตสังหารของพวกมันทำได้เพียงฝืนรั้งจิตสังหารของต้วนหลิงเทียนไว้ได้แค่นิดเดียวทั้งนั้น ไม่อาจต้านทานได้ไหวเกินครึ่งลมหายใจ

"หืม?" คิ้วของต้วนหลิงเทียนขมวดขึ้นเล็กน้อย เมื่อสัมผัสถึงจิตสังหารจากชายวัยกลางคนทั้ง 2 ...อยู่ๆ สีหน้าเย็นชาของเขาพลันเริ่มละลายกลับกลายเป็นปกติ ทั้งยังรั้งจิตสังหารกลับมาทันที

ชายวัยกลางคนทั้ง 2 ทำได้เพียงระบายลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก สีหน้าของพวกมันยังเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

พวกมันแม้นอนหลับฝันยังไม่เคยคิดเลยว่า ชายหนุ่มที่มีระดับบ่มเพาะเพียงระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 9 จะสามารถใช้จิตสังหารกดดันพวกมันจนย่ำแย่ถึงเพียงนี้ได้

นี่ถ้าหากว่าตรงหน้าไม่แสดงรูปลักษณ์เป็นชายหนุ่มอายุราวๆ 18 ปีอยู่ล่ะก็ พวกมันคงคิดว่า คนตรงหน้าต้องเป็นขุนพลที่แข็งแกร่งน่าพรั่นพรึงคร่าชีวิตมนุษย์ในสนามรบมาแล้วเป็นหมื่นๆ อย่างแน่นอน ....

"พวกเจ้ากลับไปบอกท่านลุงนี่เหวี่ยเถอะ ว่าความหวังดีครั้งนี้ข้าขอรับเอาไว้ด้วยใจก็พอ" หลังจากที่กล่าววาจาจบสิ้นต้วนหลิงเทียนก็เดินผ่านชายทั้ง 2 และมุ่งหน้ากลับบ้านอย่างปกติ

"ทะ ... ท่านรู้ว่าพวกเราเป็นใคร?" ชายวัยกลางคนทั้ง 2 คนประหลาดใจไม่น้อย

"ฮึ่ม! จิตสังหารอันเป็นเอกลักษณ์ ที่มีกลิ่นอายฆ่าฟันในสนามรบเช่นนี้ นอกจากแม่ทัพนายกองที่ผ่านสมรภูมิรบมาแล้ว จะมีใครครอบครองมันได้อีกกันเล่า" ร่างของต้วนหลิงเทียนค่อยๆจางหายเพราะเดินจากไปไกล ทว่าวาจาที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวทิ้งท้ายเอาไว้ก่อนจากทำให้สีหน้าของพวกมันบิดเบี้ยวเหมือนท่ารกเจอยาขม

จิตสังหาร ของผู้ที่ผ่านสมรภูมิรบมาแล้วเช่นนั้นหรือ?

พวกมันรู้สึกอับอายเล็กน้อย ยามที่อยู่ต่อหน้าชายหนุ่ม...แล้วประกาศตัวว่าเป็นทหารที่ผ่านสมรภูมิรบมาแล้ว

"ดูเหมือนท่านพระยาจะประเมินหลานชายคนนี้ของท่านต่ำเกินไปเสียแล้ว" ชายวัยกลางคน กล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้มขื่นขม

"ในเมื่อเรื่องราวมันลงเอยเช่นนี้..พวกเราก็กลับไปรายงานท่านพระยากันก่อนเถอะ ..นอกจากนี้ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ต้องไปคุ้มครองนายน้อยเลย เกรงว่าในตระกูลซูคงมีไม่กี่คนที่สามารถสร้างปัญหานายน้อยได้" ชายวัยกลางคนอีกคนก็กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆเช่นกัน

จวนเจ้าพระยาเรืองฤทธิ์

เมื่อมองไปยังแม่ทัพคนสนิททั้ง 2 คนที่กำลังยืนทำหน้าหงอยเหงาแลดูหดหู่ซ้ำยังมีท่าทางไร้ความเหี้ยมหาญอย่างที่เคยตรงหน้า อดไม่ได้ที่ใบหน้าของพระยาเรืองฤทธิ์นี่เหวี่ยจะเต็มไปด้วยความสงสัยและประหลาดใจไม่น้อย “ข้าไม่ได้สั่งให้พวกเจ้าทั้งสองคนไปลอบติดตามหลานชายข้า และคอยคุ้มกันเขาเอาไว้ให้ดีหรอกหรือ? เหตุใดพวกเจ้าจึงกลับมาเช่นนี้เล่า?”

"ท่านพระยา...ท่านอย่าล้อพวกเราเล่นเลย คงจะเหมาะกว่าหากท่านบอกให้หลานชายของท่านมาลอบติดตามและคุ้มกันพวกเรา..." ชายวัยกลางคน คนหนึ่งได้แต่กล่าวออกมาพร้อมส่ายหัว เขารู้สึกละอายใจทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องราวก่อนหน้า ...

จนถึงตอนนี้พวกมันยังขบคิดไม่ออก จนหัวแทบระเบิดอยู่แล้ว ว่าชายหนุ่มชุดสีม่วงและมีระดับบ่มเพาะเพียงระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 9 นั้นทำอย่างไรกันแน่ถึงสัมผัสการคงอยู่ของพวกมันได้ ทั้งยังสลัดพวกมันได้ง่ายดายเช่นนี้ และที่น่าตื่นตระหนกที่สุดก็คือเขาสามารถลอบวกกลับมาตลบหลังพวกมันได้โดยที่พวกมันไม่ทันรู้ตัวสักนิด...

พวกมันสามารถจินตนาการได้เลยว่าจุดจบของศัตรูชายหนุ่มที่มีระดับบ่มเพาะเท่าเทียมกันจักเป็นเช่นไร เอาแค่เมื่อครู่หากชายหนุ่มมีระดับบ่มเพาะเท่าพวกมัน เผลอๆพวกมันคงหัวหลุดจากบ่าทั้งๆที่ยังไม่รู้เรืองราวด้วยซ้ำ!?

แม้ว่าชายวัยกลางคนอีกคนจะไม่ได้กล่าววาจาอะไร แต่เขาก็พยักหน้าเป็นเชิงเห็นด้วย

"นี่พวกเจ้าหมายความว่าอย่างไรกัน?" นี่เหวี่ยค่อนข้างสงสัยเมื่อเจอ ที่ท่าแปลกประหลาดของแม่ทัพคนสนิท

ชายวัยกลางคนตรงหน้าทั้ง 2 คนนี้ เป็นแม่ทัพคนสนิทที่ติดตามเขาตะลุยฝ่ามาทุกสมรภูมิ พวกมันร่วมเป็นร่วมตายบั่นหัวข้าศึกกับเขามานับไม่ถ้วน ...คนที่มีความสามารถเท่าเทียมกับพวกมันในเมืองหลวงนั้น มีแทบนับนิ้วได้

แต่ทว่าตอนนี้ชายวัยกลางคนทั้ง 2 แลดูซึมกะทือและสลดหดหู่ราวกับถูกผู้ใดรังแกมา

มันเป็นเรื่องยากสำหรับเขาไม่น้อย ที่จะคิดออกว่าเป็นผู้ใดทำกับแม่ทัพคนสนิทของเขาได้ถึงเพียงนี้

สุดท้ายเมื่อชายวัยกลางคนทั้ง 2 คนเล่าเรื่องราวน่าละอายที่เจอมาวันนี้ให้ฟัง นี่เหวี่ยก็พลันเข้าใจเรื่องราวและท่าทีของพวกมันได้ทันที ...

"เช่นนั้นพวกเจ้าหมายความว่า เทียนน้อยจับสัมผัสร่องรอยพวกเจ้าทั้ง 2 ได้ตั้งแต่แรกเริ่ม?"

"สลัดหลุดการลอบติดตามของพวกเจ้า อีกทั้งยังปั่นหัวพวกเจ้า จนพวกเจ้าหาเขาไม่พบ สุดท้ายเขาก็ลอบวกกลับมาตลบหลังพวกเจ้าได้ โดยที่พวกเจ้าไม่รู้สึกตัวอันใดแม้แต่น้อย?" สีหน้าของนี่เหวี่ยเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ แม้เขาจะพอรับรู้ว่าหลานชายเขาเป็นคนที่ลึกลับอย่างมาก แต่เขาไม่เคยคาดคิดเลยว่าจะมากถึงขั้นนี้ ...

"หรูเฟิง เจ้าดูบุตรชายของเจ้าสิ! มันนับว่าเป็นตัวประหลาดยิ่งกว่าเจ้าเสียอีก?" มุมปากของนี่เหวี่ยอดกระตุกและกล่าวถึงสหายขึ้นมาไม่ได้ สีหน้าของฉายแววอิจฉาริษยาออกมาไม่น้อย ที่บุตรสหายความสามารถต่อต้านสวรรค์เช่นนี้ แต่จะอย่างไรเขาก็ดีใจอย่างมากเช่นกัน

ชายหนุ่มที่สามารถตัดผ่านไปยังระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 9 ตั้งแต่อายุ 18 แม้กระทั่งกลายเป็นผู้หลอมโอสถระดับ 9 ก็นับว่าเป็นเรื่องราวเขย่าขวัญเขาอย่างถึงขีดสุดแล้ว ไม่คิดเลยว่านอกเหนือจากนั้น ชายหนุ่มจะยังมีความสามารถที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้อีก

คนธรรมดาสามัญนั้นคงไม่ค่อยรู้ความสำคัญของการจับสัมผัสและปกปิดร่องรอยอันเหนือชั้นนี้เช่นนี้ได้ แต่สำหรับตัวเขาที่มีตัวตนเป็นถึงเทพสงครามแห่งอาณาจักรนภาล่อง และเป็นคนที่ใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในสนามรบนั้น เข้าใจได้อย่างลึกซึ้งว่าความสามารถนี้ของชายหนุ่มนั้น มันยอดเยี่ยมและน่าหวาดหวั่นถึงเพียงไหน..สำหรับเขาเรื่องนี้ยังน่าตื่นตะลึงกว่าเป็นผู้หลอมโอสถระดับ 9 เสียอีก!

เพราะถ้าหากเขามีความสามารถสูงส่งถึงระดับนี้ หมายความว่าเขาสามารถลอบเข้าไปยังค่ายทัพศัตรูได้ง่ายดายราวกับไปเดินเที่ยวเล่นในสวน!

แม้จะเป็นการลอบสังหารแม่ทัพขุนพลของอีกฝ่ายคากระโจม ก็ไม่ใช่เรื่องยาก!

....

ในที่สุด 3 วันนัดหมายก็มาถึง

ต้วนหลิงเทียนก็เดินทางมายังจวนเจ้าพระยาอีกครั้ง

ภายในห้องโถงหลัก พระยาเรืองฤทธิ์นี่เหวี่ยกำลังถือกระดาษเอกสารที่เต็มไปด้วยข้อมูลที่ต้วนหลิงเทียนต้องการเอาไว้ เมื่อต้วนหลิงเทียนมาถึงเขาก็ยื่นส่งให้ทันที "เทียนน้อย นี่เป็นข้อมูลที่เจ้าต้องการ"

"โอ้ ขอบคุณท่านมากลุงนี่ ถ้าท่านไม่มีอะไรแล้วข้าขอ ... " หลังจากได้รับสิ่งที่ต้องการแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็คิดจะจากไปเร่งทำธุระทันที

แต่ตอนนี้นี่เหวี่ยจะปล่อยให้เขาไปง่ายๆได้อย่างไร?

"รอก่อนเทียนน้อย" นี่เหวี่ยจับจ้องไปยังต้วนหลิงเทียนด้วยแววตาลึกซึ้ง ม่านตาของเขาหดแคบลง ก่อนที่จะกล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้ม "เทียนน้อย ข้าว่าพวกเรามีเรื่องบางประการสมควรนั่งลงสนทนากันสักเล็กน้อย ... "

"เรื่องอะไรหรือท่านลุง?" สีหน้าของต้วนหลิงเทียนเริ่มเปลี่ยนเป็นระมัดระวังทันที เพราะตอนนี้ใบหน้าของท่านลุงของเขาราวกับตาเฒ่าเจ้าเล่ห์คนนึงมิมีผิด!

"สองวันที่แล้ว...เจ้าสามารถสลัดหลุดการติดตาม รวมทั้งวกกลับมาตลบหลังแม่ทัพคนสนิทที่ข้าส่งไปลอบคุ้มครองเจ้าได้อย่างไร โดยที่พวกเขาไม่รู้ตัวสักนิด?" นี่เหวียมองไปยังต้วนหลิงเทียนด้วยประกายตาที่เต็มไปด้วยความเร่าร้อน

"ลุงนี่ ท่านต้องการสนทนาถึงเรื่องนี้เองหรอกหรือ?" ต้วนหลิงเทียนพลันผ่อนคลายลงทันที เขานึกว่ามีเรื่องราวอันใดสำคัญมากมายเสียอีก

"ข้ากำลังขบคิดเรื่องนี้อย่างจริงจัง หากความสามารถเช่นนี้ของเจ้านั้น มีคนในกองทัพของข้าสามารถฝึกฝนใช้ได้สักกองแล้วไซร้ ข้าคงจะสามารถสร้างกองกำลังที่มีประสิทธิล้ำเลิศขึ้นมาได้!...และข้าจะนำกองกำลังนี้ลอบเข้าไปค่ายทหารระดับสูงของศัตรู ได้อย่างง่ายดายราวกับไปเดินตลาด และลอบไปบั่นหัวแม่ทัพขุนพลของอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดายราวกับสับหมูบนเขียง! " เมื่อนี่เหวี่ยวกล่าวถึงกองกำลังในฝันที่จะใช้ทำศึกสงครามของเขานั้น จิตสังหารและกลิ่นอายน่าพรั่นพรึงพลันแผ่ซ่านออกมาจากร่างกายอย่างไม่รู้ตัว

ต้วนหลิงเทียนเองก็อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจขึ้นมา อย่างที่เขาคิดไว้ไม่มีผิด ชายผู้ซึงได้ฉายาว่าเทพเจ้าสงครามของอาณาจักรนภาล่องนั้นหาได้ง่ายดายไม่ นับแค่จิตสังหารของเขาก็เหนือกว่าชายวัยกลางคนทั้ง 2 ที่เขาพบเมื่อ 2 วันก่อนมากโข

"ลุงนี่ ท่านต้องการให้ข้าถ่ายทอดทักษะนี้แก่ท่านเช่นนั้นหรือ?" ต้วนหลิงเทียนคาดเดาความต้องการของนี่เหวี่ยได้

"มิผิด" ประกายตาของนี่เหวี่ยเรืองวูบออกมาพร้อมกล่าววาจาให้คำสัตย์ "หากเจ้ายินดีถ่ายทอดทักษะนี้แล้วล่ะก็ ไม่ว่าเจ้าต้องการสิ่งใด หากไม่เหลือบ่ากว่าแรงลุงผู้นี้จะกระทำให้เจ้าตามต้องการ"

ต้วนหลิงเทียนกลอกตามองนี่เหวี่ยก่อนที่จะแย้มยิ้มออกมา "ลุงนี่ ข้าได้ถอนพิษให้กับท่านปู่ เช่นนั้นก็หมายความว่าท่านยังเป็นหนี้ข้าอยู่ดีใช่หรือไม่?"

นี่เหวี่ยหัวเราะออกมาอย่างเขินอายเล็กน้อย ก่อนที่จะลูบกำปั้นไปมา เขานั้นสนใจทักษะนี้ของต้วนหลิงเทียนอย่างจริงจัง

"ลุงนี่" ต้วนหลิงเทียนพลันมองไปยังนี่เหวี่ยด้วยสายตาจริงจัง "ทักษะนี้ของข้าที่ท่านต้องการให้ข้าสอนนั้น ข้าก็ไม่อาจกล่าวได้เต็มปากว่ามันสามารถเรียนรู้ได้ง่ายหรือยากกันแน่ เพราะหากจะกล่าวว่ามันยากมันก็ยาก จะกล่าวว่ามันง่ายมันก็ง่าย ... แต่จะอย่างไรมันก็ไม่ใช่เรื่องที่จะเรียนรู้ได้ในระยะเวลาสั้นๆ"

"ข้าเองก็เข้าใจในจุดนี้อย่างแจ่มแจ้ง มันก็มิได้ต่างอันใดกับทหารที่ทำการรบในสมรภูมิ มันต้องใช้ประสบการณ์ที่สั่งสมมาเป็นเวลานาน ก่อนที่จะกลายเป็นกองทหารไร้พ่ายและรบชนะทุกสมรภูมิ" นี่เหวี่ยเองก็พยักหน้าออกมา เขาเองก็เข้าใจว่ามันไม่ง่าย

“เช่นนี้ดีหรือไม่...ท่านลุงนี่ส่งคนมาให้ข้าฝึก 2 คน ...อ่อ! ข้าว่าชาย 2 คนที่ท่านส่งมาลอบติดตามข้าเมื่อวันก่อนก็นับว่าไม่เลวเท่าไร ท่านลองไปถามพวกเขาดู ว่าพวกเขายินดีที่จะติดตามข้าสักระยะหรือไม่ ข้าจะได้ถ่ายทอดทักษะสะกดรอยและปกปิดร่องรอยเช่นนี้ให้แก่พวกเขา...จนกว่าพวกเขาจะเข้าใจทักษะนี้ของข้าอย่างสมบูรณ์” มุมปากของต้วนหลิงเทียนยกขึ้นเป็นวงโค้งในขณะที่กล่าวออกมา

"ความต้องการเจ้าช่างไม่ธรรมดานัก เทียนน้อยเจ้ารู้หรือไม่ ทั้ง 2 คนนั้นกล่าวได้ว่าเป็นแม่ทัพคนสนิทฝีมือดีที่ติดตามอยู่ข้างกายข้ามานาน!?" นี่เหวี่ยกระแนะกระแหนออกมาเล็กน้อย "แต่จะอย่างไรพวกมันคงไม่คิดปฏิเสธ หากข้าให้พวกมันไปติดตามเจ้า"

ในขณะที่นี่เหวี่ยกล่าววาจาถึงตรงนี้ ชายวัยกลางคนที่นี่เหวี่ยได้ส่งไปลอบติดตามต้วนหลิงเทียนวันก่อน ก็เบิกตากว้างเป็นประกาย เมื่อคิดว่าจะได้เรียนรู้สุดยอดทักษะปกปิดตัวตนและทักษะติดตามรวมทั้งป้องกันการติดตามเช่นนี้ พวกมันพลันใจเต้นระรัวใคร่กระโดดไปอาสาทันที

พวกมันนั้นได้สัมผัสมาด้วยตนเองแล้วว่า ทักษะนี้ของต้วนหลิงเทียนเลิศล้ำและอภินิหารปานใด หากพวกมันสามารถเรียนรู้ได้สำเร็จแล้วล่ะก็! พวกมันนึกภาพออกเลยว่าจะทำประโยชน์ได้มากมายมหาศาลขนาดไหน!

นี่เหวี่ยพลันจ้องไปยังต้วนหลิงเทียนด้วยแววตาสงสัย "เทียนน้อย พวกเขาต้องใช้เวลาฝึกฝนนานเท่าไรเช่นนั้นหรือ?"

"อะไรกัน? ลุงนี่ไม่อาจทำใจแยกจากพวกเขาได้นานเช่นนั้นหรือ? เอาล่ะๆ เรื่องนี้ท่านไม่ต้องกังวล ข้าใช้เวลาฝึกสอนพวกเขานานที่สุดเพียงปีเดียวเท่านั้น...หลังจากครบปีแล้ว ถึงแม้ว่าพวกเขาจะยังไม่อาจมีความสำเร็จเท่าเทียมระดับที่ข้ากระทำได้ แต่จะอย่างไรพวกเขาก็ต้องได้รับใจความสำคัญของวิธีฝึกฝนจนครบถ้วน และเมื่อถึงตอนนั้น ก็เหลือแค่เวลาฝึกฝนเท่านั้น จนกว่าพวกเขาจะมีความสำเร็จไล่ตามข้าทัน" ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกมาด้วยสีหน้ามั่นใจพร้อมรอยยิ้ม

"ปีนึงหรือ? ไม่ถือว่านานเท่าไร" คิ้วของนี่เหวี่ยโค้งขึ้นเล็กน้อยก่อนพยักหน้า

"แต่ว่า ... ." ต้วนหลิงเทียนมองไปยังนี่เหวี่ย ด้วยสายตาลังเลที่จะกล่าวคำเล็กน้อย

"หืม อะไร? เจ้าต้องการอันใด? ว่ามาสิ" นี่เหวี่ยกล่าวถามออกมา

"ลุงนี่...แต่ใน 1 ปีที่พวกเขาติดตามข้านั้น ข้าหวังว่าพวกเขาจะต้องเป็นคนของข้าโดยสมบูรณ์ และฟังคำสั่งของข้าแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น...ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามรวมทั้งท่านด้วย ล้วนไม่มีอำนาจสั่งการพวกเขาได้ทั้งสิ้น ข้าต้องการสิทธิ์ขาดในการควบคุมพวกเขา" ต้วนหลิงเทียนกล่าวความต้องการออกมา "หากท่านไม่อาจรับปากเรื่องนี้ได้ เช่นนั้นให้ถือว่าเรื่องที่กล่าวกันก่อนนี้เป็นเพียงเรื่องขำขันเถอะ"

นี่เหวี่ยขมวดคิ้วอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะผ่อนคลายลง และพยักหน้าตอบรับ “ไม่เป็นไร กระทำตามที่เจ้าต้องการนั่นล่ะ ...ข้าคิดว่าเจ้าคงมีความจำเป็น ที่จะต้องกระทำการบางอย่าง และเจ้าคงมีความลับสำหรับเรื่องนั้นไม่น้อย"

ตอนนี้ นี่เหวี่ยไม่ได้รู้เลย ว่าการตัดสินใจครานี้ จะกลายเป็นการตัดสินใจที่ทำให้เขารู้สึกผิดมากที่สุดในชีวิตของเขา ...เมื่อถึงวันครบกำหนดและรับรู้ว่า...เรื่องลับๆที่หลานของเขาพาทั้งสองไปกระทำคืออันใด...

ต้วนหลิงเทียนแสยะยิ้มออกมา "เช่นนั้นก็เป็นอันตกลง!"

ต้วนหลิงเทียนมองไปยังชายวัยกลางคนทั้ง 2 คน "พวกเจ้าชื่ออะไรบ้างหรือ?"

ชายวัยกลางคนที่ผอมและสูงกล่าวตอบออกมาอย่างไม่รอช้า "นายท่านต้วนหลิงเทียน ข้ามีนามว่าจางเฉวียน"

ส่วนชายวัยกลางคนอีกคนนที่มีความสูงปานกลางกล่าวออกมา "นายท่านต้วนหลิงเทียน ข้ามีนามว่าจ้าวกัง"

"เอาล่ะ ต่อไปพวกเจ้าทั้ง 2 เรียกข้าว่า นายน้อยก็พอ" ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกมาอย่างเรียบๆ

"ขอรับนายน้อย" จางเฉวียนและจ้าวกังกล่าวตอบออกมาด้วยความเคารพอย่างถึงขีดสุด

ถึงแม้ว่าระดับบ่มเพาะของชายหนุ่มตรงหน้าของพวกเขา จะไม่ได้นับว่าเป็นตัวอะไรในสายตาพวกเขา แต่ความสามารถในด้านอื่นๆของชายหนุ่ม ล้วนทำให้พวกเขานั้นชื่นชมสุดหัวใจทั้งสิ้น

"เอาล่ะท่านลุงนี่ เช่นนั้นข้าจะนำพวกเขาไปก่อนแล้วกัน" แม้ว่าจะเป็นเพียงแค่เวลา ปีเดียวก็ตาม แต่การได้รับแม่ทัพที่มีระดับบ่มเพาะวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 7มาติดตามถึง 2 คน ก็อดไม่ได้ที่จะทำให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง

คราวนี้นี่เหวี่ยไม่ได้เดินออกไปส่งต้วนหลิงเทียนที่หน้าจวนเจ้าพระยา

เขาเริ่มกังวลขึ้นมาเสียแล้วว่าการตัดสินใจนี้มันอาจจะทำให้เขาเสียใจ!...

เขารู้สึกว่าหลานชายของเขาคนนี้นั้นไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแท้จริง

"อา ข้าหวังว่าเขาคงไม่ไปก่อปัญหาอันใดหรอกนะ ... " รอยยิ้มขื่นขมปรากฏขึ้น บนใบหน้านี่เหวี่ย

รีวิวผู้อ่าน