px

เรื่อง : War Sovereign Soaring The Heavens
บทที่ 182 พวกเจ้าอย่าได้อิจฉาข้าล่ะ!


ใบหน้าของต้วนหลิงเทียนยังคงเต็มไปด้วยความยิ้มแย้มแจ่มใสแม้ว่าเขาจะกลับถึงบ้านแล้วก็ตาม

ดวงตาที่งดงามดั่งมุขมณีใต้สมุทรของเค่อเอ๋อกระพริบเบาๆ ก่อนจะกล่าวถามออกมาด้วยน้ำเสียงไพเราะ "นายน้อย เหตุใดวันนี้ท่านดูมีความสุขจังล่ะเจ้าคะ?"

ลี่เฟยเองก็มองต้วนหลิงเทียนด้วยความสงสัยเช่นกัน นางเองก็สัมผัสได้ว่าตอนนี้ต้วนหลิงเทียนอารมณ์ดีมาก ...

"ฮ่าๆ ก็ไม่ได้มีอะไรมากหรอกพอดีเดือนหน้า ข้าจะได้เข้าร่วมการรบที่สนามรบบริเวณชายแดนน่ะ" ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวออกมาเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวพร้อมรอยยิ้ม

แต่ทว่าเมื่อลี่เฟยและเค่อเอ๋อได้ยินคำกล่าวนี้ของต้วนหลิงเทียน ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความงดงามของพวกนางพลันเปลี่ยนเป็นซีดเผือดทันที

สนามรบ?

คำๆนี้สำหรับพวกนางแล้ว มีความหมายน่าหวาดหวั่นยิ่งนัก ...มันเป็นสถานที่อันตรายอย่างมาก ใครก็ตามที่ไปล้วนมีโอกาสไม่ได้กลับมาทั้งสิ้น

"นายน้อย...ท่านไม่ไปได้หรือไม่เจ้าคะ?" ตอนนี้เค่อเอ๋อแลดูเปราะบางราวกับจะแตกสลายได้โดยง่าย น้ำเสียงของนางสั่นเครือ ดวงตาเริ่มคลอไปด้วยหยาดน้ำใสๆ นางไม่อยากให้ต้วนหลิงเทียนต้องไปเสี่ยงชีวิต...

"ตัวเลวร้าย! ถ้าเจ้าจะไปจริง ข้าจะตามเจ้าไปด้วย" ลี่เฟยแสดงท่าทีดื้อรั้นออกมา นางกล่าวเป็นเชิงว่า หากต้วนหลิงเทียนไม่พานางไปแล้ว นางจะไม่ยอมให้ต้วนหลิงเทียนไปเด็ดขาด

ต้วนหลิงเทียนรู้สึกปวดหัวขึ้นมาตุบๆ

"นี่ พวกเจ้าสองคนคิดไปถึงไหนแล้ว ข้าไปในฐานะกำลังเสริมเท่านั้น นอกจากนี้ข้ายังไม่ใช่กำลังเสริมประเภทที่ต้องเข้าไปรบพุ่งเสียหน่อย ข้าเป็นกุนซือที่คอยวางแผนและกลยุทธ์ต่างๆอยู่ในกระโจมที่พัก และคอยแก้ไขปัญหายามที่กองทัพไม่อาจจัดการคู่ต่อสู้ในสนามรบได้ เข้าใจหรือไม่? อีกทั้งนี่ยังเป็นกฏของสถาบันบ่มเพาะขุนพลอีกด้วย หากผู้ใดไม่เคยเข้าไปร่วมการรบในสนามรบ ผู้นั้นก็อาจได้รับใบจบการศึกษาจากสถาบันบ่มเพาะขุนพล” ในขณะที่กล่าววาจานั้น ต้วนหลิงเทียนเองก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมาบริเวณใบหน้า

หากเขาได้ไปอยู่ติดขอบสนามรบ เขาจะเชื่อฟังแล้วอยู่แต่ภายในค่ายหรือไม่? แน่นอนคำตอบคือไม่!

"มันเป็นกฎของสถาบันบ่มเพาะขุนพลหรือ?" ลี่เฟยที่ดื้อรั้นค่อยๆสงบลงเนื่องจากนางเองก็รู้ว่าต้วนหลิงเทียนได้เลือกร่ำเรียนในฝ่ายดาวกุนซือของสถาบันบ่มเพาะขุนพล และตัวนางเองก็รู้ความแตกต่างระหว่าง ฝ่ายดาวกุนซือ และ ฝ่ายดาวขุนพลดี

"ถูกแล้ว" ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกมาอย่างกระจ่างไม่เผยพิรุธอะไร

ต้วนหลิงเทียนใช้เวลาปลอบและเอาใจทั้ง 2 สาวอยู่ยกใหญ่ จนในที่สุดก็สามารถปลอบประโลมและทำให้ทั้ง 2 สาวเข้าใจได้ ... หากให้เขาเลือกระหว่างปลอบ 2 สาวกับต่อสู้กับผู้ฝึกยุทธ์ระดับวิญญาณแรกก่อตั้งแล้วล่ะก็ เขาขอเลือกต่อสู้กับผู้ฝึกยุทธ์ระดับวิญญาณแรกก่อตั้งเสียจะง่ายกว่า! แน่นอนว่าเขาย่อมใช้อาคมจารึกกร่อนกระดูกสังหารมัน!

หลังจากนั้นต้วนหลิงเทียนก็เดินไปขอแหวนมิติจากมารดาของเขามา แล้วเขาก็ทำการจารึกอาคมกร่อนกระดูกให้มารดาของเขาด้วยเช่นกัน หลังจากที่ทำเสร็จสิ้นแล้ว เขาก็กลับไปบ่มเพาะพลังต่อ

เป้าหมายของเขาก็คือการตัดผ่านระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 7 ภายใน 1 เดือนนี้!

วันต่อมาเมื่อต้วนหลิงเทียนเข้าไปนั่งในชั้นเรียนเขาก็ได้ยินเสียงสนทนากันอย่างคึกคัก ...และตอนนี้เหล่านักศึกษาในห้องของเขาก็ล้วนแล้วแต่กำลังสนทนาถึงเรื่องกำลังเสริมที่จะไปเสริมกองทัพที่ชายแดนอีก 1 เดือนหลังจากนี้

เซี่ยวหยูและเซี่ยวฉวินที่นั่งอยู่ข้างๆต้วนหลิงเทียนเองก็ไม่ต่างกัน เป็นเซี่ยวฉวินที่เริ่มกล่าวออกมา "ต้วนหลิงเทียน ข้าได้ข่าวมาว่า นักศึกษาของสถาบันบ่มเพาะขุนพลเราจะถูกส่งไปเป็นกำลังเสริมให้กับกองทัพ ที่สนามรบบริเวณชายแดนตะวันตกเฉียงเหนือ เป็นจำนวนถึง 300 คนในอีก 1 เดือนข้างหน้า ... "

"ข้าเองก็ได้ยินเรื่องนี้มาแล้วเช่นกัน" ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า

"อ่าแต่ข้าว่า จำนวน 300 คนที่จะไปเป็นกำลังเสริมให้กองทัพของสถาบันบ่มเพาะขุนพลเรานี่ คงเป็นฝ่ายดาวขุนพลเสียเป็นส่วนใหญ่ คาดว่าฝ่ายดาวกุนซือเราคงมีคนที่ได้ไปไม่ถึง 10 คนเป็นแน่" น้ำเสียของเซี่ยวฉวินนั้นแสดงออกถึงความผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด

"นี่มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร" ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวและยิ้ม "นักศึกษาฝ่ายดาวกุนซือไม่ได้เกิดมาเพียงเพื่อเข้าไปร่วมสนามรบเท่านั้น ส่วนมากจะมีไว้เพื่อบริหารบ้านเมืองและดูแลธุระสำคัญภายในอาจักร... พวกเจ้าก็ดูพวกผู้ว่าการในแต่ละมณฑลทั้ง 18 มณฑลซี่ ส่วนมากก็จบมาจากสถาบันบ่มเพาะขุนพลฝ่ายดาวกุนซือทั้งนั้น เจ้าหน้าที่สำคัญๆ ทั้งหลายของอาณาจักรนี้ก็ล้วนแล้วแต่เป็นฝ่ายดาวกุนซือแทบทั้งสิ้น "

เซี่ยวฉวินเผยรอยยิ้มขมขื่นออกมา "บางครั้งข้าเองก็หวังว่าจะเปลี่ยนไปอยู่ฝ่ายดาวขุนพลกับเทียนหูมันเหมือนกันนะ...ถึงแม้ว่าสำหรับนักศึกษาชั้นปีที่ 1 ของฝ่ายดาวขุนพลยังไม่มีโอกาสเข้าร่วมสนามรบ แต่ไม่เกิน 2-3 ปีพวกมันย่อมได้ไปสัมผัสสนามรบอย่างแน่นอน แต่หากข้าอยู่ฝ่ายดาวกุนซือเช่นนี้ แม้จะศึกษาร่ำเรียนจนจบข้ายังไม่รู้เลยว่าจะมีโอกาสไปสัมผัสสนามรบบ้างหรือไม่"

"เฮ่ ในสนามรบนั้นหาได้อภิรมย์และมีบรรยากาศน่าอยู่อย่างตระกูลเซี่ยวไม่ มันโหดร้ายและเต็มไปด้วยโลหิตเจ้าต้องการไปสถานที่เช่นนั้นจริงรึ" ต้วนหลิงเทียนส่ายหัว แน่นอนเขาย่อมเข้าใจความคิดของเซี่ยวฉวิน มันเพียงแค่อยากลองไปดูเท่านั้น ไม่ได้จริงจังอะไร

"แล้วมันไม่ดีหรือไร จะอย่างไรก็ถือเป็นครั้งหนึ่งในชีวิตลูกผู้ชาย" เซี่ยวฉวินกล่าว

เซี่ยวหยูเพียงพยักหน้าเห็นด้วย

ต้วนหลิงเทียนสังเกตเห็นถึงความต้องการที่แน่วแน่ของพวกมันก็อดไม่ได้ที่กล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้ม "เอาล่ะๆ หากพวกเจ้า 2 คนอยากไปถึงขนาดนั้น เช่นนั้นข้าจะหาที่ให้พวกเจ้า 2 คนเอง"

"เจ้าน่ะหรือ?" เซี่ยวฉวินและเซี่ยวหยูอดไม่ได้ที่จะสงสัยในคำกล่าวของต้วนหลิงเทียน แน่นอนว่าทั้ง 2 คนย่อมไม่เชื่อ เป็นเซี่ยวฉวินที่กล่าวถามออกมา "ต้วนหลิงเทียนตัวเจ้าน่ะ แน่นอนว่าย่อมมีโอกาสได้ไปอยู่บ้าง เพราะอาจารย์ซื่อหม่าเองก็ชมชอบเจ้าไม่นอย... แต่ที่เจ้ากล่าวว่าเจ้าคิดจะหาที่ว่างให้พวกเรา 2 คนเข้าร่วมด้วยมันเป็นคำกล่าว ที่ไม่เกินจริงไปหน่อยหรือ? หากเจ้าคิดจะโอ้อวดเจ้าก็ต้องดูเสียก่อนว่าครั้งนี้ผู้นำกองกำลังเสริมเป็นผู้ใด เจ้ารู้จักพระยาเรืองฤทธิ์ แห่งจวนเจ้าพระยาเรืองฤทธิ์หรือไม่? ผู้นำครั้งนี้เป็นบุตรชายของเขา!"

"อะไรกัน พวกเจ้า 2 คนไม่เชื่อข้าหรือนี่?" ต้วนหลิงเทียนหัวเราะออกมา

‘เซี่ยวฉวินนี่จะว่าไปก็กล่าวได้ตรงประเด็นโดยแท้... อีกทั้งมันยังรู้จักผู้นำกองกำลังครั้งนี้ ทั้งยังรู้ว่าเป็นบุตรของลุงนี่ อีกด้วย นับว่ามันเองก็รู้เรื่องจวนเจ้าพระยาเรืองฤทธิ์ไม่น้อย’

แต่สำหรับต้วนหลิงเทียนนั้น แค่เพียงต้องการที่ว่างสัก 2 ที่ แค่วาจาคำเดียวก็เกินพอแล้ว

ทว่ากลับเป็นเซี่ยวหยูที่อยู่กับต้วนหลิงเทียนมานาน หรี่ตามองก่อนที่จะกล่าวถามออกมาเพื่อความแน่ใจ "ต้วนหลิงเทียนเจ้ามีวิธีหาที่ว่างให้พวกเราเข้าร่วมได้จริงๆหรือ?"

"ฮ่าๆ อะไร? เซี่ยวหยูเจ้าก็รู้จักข้ามานานแล้ว มีครั้งใดที่ข้าเคยโกหกเจ้าหรือไม่เล่า?" ต้วนหลิงเทียนแทบไร้คำจะกล่าว แม้กระทั่งเซี่ยวหยูยังสงสัยเขาหรือนี่? "เอาล่ะพวกเจ้าอย่าคิดอะไรมาก เดือนนี้ไปเตรียมตัวให้พร้อมซะ ...เดือนหน้าพวกเจ้าจะไปกับข้า"

แม้ว่าเซี่ยวหยูและเซี่ยวฉวินไม่ทราบว่าเพราะเหตุใดต้วนหลิงเทียนถึงมีความมั่นใจมากมายขนาดนี้ แต่แววตาและท่าทางของต้วนหลิงเทียนไม่มีความล้อเล่นแม้แต่น้อย ทำให้ประกายตาของพวกเขาพลันเรืองวูบขึ้นมา

“อ่อจริงสิ แล้วตอนที่พวกเราไปกินข้าวเที่ยง พวกเจ้าอย่าได้กล่าวเรื่องนี้ให้เทียนหูมันได้ยินเข้าเล่า ข้ากลัวว่าเทียนหูมันจะอยากติดตามไปด้วย พวกเจ้ากับข้านั้นอยู่ฝ่ายดาวกุนซือแน่นอนว่าไม่ได้ต้องไปเสี่ยงภยันตรายใดๆในสนามรบ แต่เทียนหูมันต่างกัน” ต้วนหลิงเทียนกล่าวกำชับทั้ง 2 คนด้วยความจริงจัง

ตอนนี้หากให้เทียนหูเข้าสนามรบด้วยระดับบ่มเพาะและความสามารถเท่านี้ แน่นอนมันมีโอกาสน้อยมากที่จะเอาชีวิตรอดมาได้ ในฐานะที่เขาเองก็นับมันเป็นสหายคนหนึ่ง ย่อมไม่อยากให้มันไปเสี่ยงอันตรายอะไรเช่นนั้น

"เจ้าไม่ต้องห่วงน่า พวกเรารู้ดีว่าควรทำอย่างไร ... แต่อย่างเทียนหูมัน เจ้าไม่ต้องช่วยเหลืออะไร เกรงว่าอีกแค่ 1-2 ปีมันก็คงอาศัยความสามารถของมันเข้าสนามรบได้เองเป็นแน่" เซี่ยวฉวินหัวเราะ

ไม่นานอาจารย์ซื่อหม่าฉางฟงก็มาถึง

ชั้นเรียนช่วงเช้าดำเนินไปอย่างราบรื่นและรวดเร็ว ...

เมื่อใกล้เที่ยงแล้ว ซื่อหม่าฉางฟงก็เรียกต้วนหลิงเทียนออกมา “ต้วนหลิงเทียน คำสั่งเรียกกำลังเสริมของแนวรบตรงชายแดนตะวันตกเฉียงเหนือถ่ายทอดลงมาแล้ว และข้าเองก็ได้แนะนำเจ้ากับรองผู้อำนวยการเป็นการส่วนตัว รายชื่อผู้ที่มีสิทธิ์เข้าร่วมสนามรบของฝ่ายดาวกุนซือจะถูกติดประกาศในอีกครึ่งเดือนหลังจากนี้ และแน่นอนว่าย่อมมีชื่อเจ้า ดังนั้นช่วงนี้เจ้าควรเตรียมตัวให้พร้อมอีก 1 เดือนหลังจากนี้เจ้าจะต้องออกเดินทาง”

ต้วนหลิงเทียนเพียงพยักหน้ารับคำโดยไร้ความกังวล

เมื่อซื่อหม่าฉางฟงเห็นการแสดงออกที่ดูไม่ตื่นเต้นหรือแสดงความกังวลใดๆออกมาของต้วนหลิงเทียนเขาอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ

เด็กคนนี้เป็นอัจฉริยะที่มีพรสวรรค์และศักยภาพสูงล้ำจริงๆ แม้จะต้องเข้าสนามรบ เขายังไม่มีทีท่าลังเลแม้แต่น้อย

อย่างไรก็ตามหากซื่อหม่าฉางฟงล่วงรู้ว่าต้วนหลิงเทียนนั้นได้รับข่าวนี้มาก่อนแล้ว ไม่รู้เขาจะมีสีหน้าอย่างไร ...

ตอนเที่ยงในขณะที่พวกเขากำลังกินอาหารกันอยู่

เทียนหูแสดงสีหน้าพึงพอใจและท่าทางตื่นเต้นออกมา "ข้าได้ยินข่าวลือเรื่องการเรียกกำลังเสริมสนับสนุนของกองทัพที่รักษาแนวรบอยู่บริเวณชายแดนตะวันตกเฉียงเหนือของอาณาจักร ดูเหมือนนักศึกษาชั้นปีที่ 2 ของฝ่ายดาวขุนพลเองก็มีโอกาสไปเข้าร่วมไม่น้อย และนักศึกษาชั้นปีที่ 2 ของฝ่ายดาวขุนพลก็มีโอกาสแล้ว! ดูเหมือนปีหน้าข้าเองก็คงมีโอกาสได้ไปรบกับเขาซะที! ฮ่าๆๆๆ"

"เอาล่ะๆ กินข้าวๆ ตราบใดที่เจ้าขยันบ่มเพาะ และมีความแข็งแกร่งมากพอ แน่นอนว่าเจ้าต้องได้ไปแน่นอน" ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้ม

"ฮ่าๆ ต้วนหลิงเทียน แล้วก็พวกเจ้าอย่าได้อิจฉาข้าให้มากนักเลย เฮ่อ...ถึงจะน่าเสียดายแต่จะอย่างไรมันมันก็เป็นเรื่องจริง ...นักศึกษาฝ่ายดาวกุนซือของพวกเจ้านั้นกว่า 9 ส่วนไม่เคยมีโอกาสเข้าร่วมสนามรบเลยสักครั้งจวบจนจบการศึกษา แต่จะอย่างไรมันก็พอมีความหวังอยู่บ้างล่ะนะ แต่จะอย่างไร มันก็ไม่ได้สำคัญนักหรอกว่าพวกเจ้าจะได้เข้าสนามรบหรือไม่ เพราะพวกเจ้าไม่ค่อยเหมาะกับการฆ่าคนสักเท่าไร ฮ่าๆๆ" เทียนหูนั้นวาจาที่กล่าวคล้ายจะทำการปลอบโยนต้วนหลิงเทียนและเซี่ยวหยูเซี่ยวฉวิน แต่น้ำเสียงของมันแฝงความเย้ยหยันเอาไว้ไม่น้อย

"อ่าๆ เจ้ากล่าวถูกแล้ว ข้าไม่มีโอกาส" ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบออกมาอย่างจริงจัง เขาพยายามกลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้อย่างสุดกำลัง

"ฮ่า ๆ ๆ ๆ…." แต่เซี่ยวหยูและเซี่ยวฉวินไม่อาจระงับเสียงหัวเราะเอาไว้ได้

“พวกเจ้าหัวเราะทำอันใด อดไปสนามรบจนเสียสติไปแล้วหรือ?” เทียนหูกล่าวถามออกมา ด้วยท่าทางโง่งม

"ไม่มีอันใดหรอก กินเถอะ เนื้อนี่เจ้าไม่กินข้ากินนะ" เซี่ยวหยูและเซี่ยวฉวินส่ายหัวออกมา ไม่ว่าเทียนหูจะถามอย่างไรแน่นอนพวกเขาไม่คิดจะตอบ รีบเปลี่ยนเรื่องโดยการแย่งคีบเนื้ออบชิ้นสุดท้ายไปกินทันที

พวกเขารู้ดีว่าเดี๋ยวอีก 1 เดือนเทียนหูย่อมรู้เอง

หลังจากจบมื้อเที่ยงต้วนหลิงเทียนก็กระโดดขึ้นไปนั่งบ่มเพาะพลังบนต้นไม้ใหญ่ข้างลานฝึกซ้อมเหมือนเช่นเคย และเมื่อถึงยามหัวค่ำ เขาก็เดินออกจากสถาบันบ่มเพาะขุนพลพร้อมเซี่ยวหยูและเซี่ยวฉวินก่อนที่จะแยกย้ายกันไป

หลังจากแยกทางแล้วต้วนหลิงเทียนก็มุ่งหน้ากลับบ้านทันที

ที่มุมห่างไกลไร้ผู้คนสัญจรมุมหนึ่งของเมืองชั้นใน

ชายวัยกลางคนกำลังเดินช้าๆ ไปยังอาคารที่ตั้งอยู่ในสถานที่เงียบแห่งหนึ่ง หากสังเกตดีๆจะเห็นว่าขาของมันสั่นสะท้านไม่น้อยในขณะก้าวเดิน

"ให้ตายเถอะ ข้าจะไม่รับงานเช่นนี้อีกเป็นอันขาด... แม้ว่าข้าต้องทำเพียงกล่าววาจาเท่านั้น ..เฮ่อ ชายที่นั่งอยู่หลังโต๊ะบริการนั้นน่าหวาดกลัวเกินไป เพียงมันพูดแค่สองคำ ข้าก็แทบฉี่ราดกางเกงแล้ว ช่างน่าหวาดกลัวนัก" ชายวัยกลางคนบ่นพึมพำก่อนที่จะเข้าไปในอาคารหลังหนึ่งพร้อมกัดฟัน

ภายในห้องรับรองที่กว้างใหญ่มีชายหนุ่มที่นั่งหลังโต๊ะรับบริการเพียงคนเดียวเท่านั้น

“ขะ ... ข้ามาฟังคำยืนยันการจ้างงานสังหารต้วนหลิงเทียน ... "ชายวัยกลางคนสูดลมหายใจเข้าลึกๆก่อนที่จะรวบรวมความกล้าถามชายหนุ่มที่นั่งด้านหลังโต๊ะรับบริการ

ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ที่โต๊ะรับบริการ รู้สึกไม่สบอารมณ์เล็กน้อยหลังเห็นท่าทีขาดเขลาของชายตรงหน้า เขากล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบเย็นไม่แยแส "งานนี้เราไม่รับ"

"อะไร? ไม่รับ?" ชายวัยกลางคนตกตะลึงจนแสดงสีหน้าโง่งมออกมา เขาไม่คิดว่าผลลัพธ์จะลงเอยเช่นนี้ และดูเหมือนจะลืมความหวาดกลัวไปชั่วครู่ " ที่นี่ไม่ใช่องค์กรเงายมทูตหรอกหรือ เหตุใดองค์กรเงายมทูตที่มีชื่อเสียงเลื่องลือแห่งเมืองหลวงถึงไม่รับงานสังหาร รุ่นเยาว์เพียงคนเดียวเช่นนี้กันเล่า"

ตุบ!

ชายหนุ่มเพียงกวาดสายตาที่คมกล้าราวกับดาบผ่านร่างชายวัยกลางคนวูบหนึ่ง ก่อนที่เขาจะยกมือไปหยิบเงินและวางมันลงบนโต๊ะ "นี่เงินค่ามัดจำ รับไว้แล้วไสหัวไป!"

"พวกเจ้า... " ชายวัยกลางคนดูเหมือนจะรวบรวมความกล้าได้ขึ้นมา เขาพยายามจะกล่าววาจาบางอย่าง

"ไสหัวไป!" ม่านตาของชายหนุ่มหดแคบลง จิตสังหารอำมหิตเย็นยะเยือกเล็ดรอดออกมา

ทันทีที่ชายวัยกลางคนถูกจิตสังหารที่น่าพรั่นพรึงกดทับ ร่างกายของมันพลันสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างยากระงับ มันหวาดกลัวจนถึงขั้นฉี่แตก เปียกโชกไปทั้งกางเกง ซ้ำร้ายยังเจิ่งนองบนพื้น

"ข้าบอกให้ไสหัวไป ไม่ได้ยินหรือไร?" เสียงชายหนุ่มห้วนและฉายชัดออกมาถึงความขุ่นเคือง

"ข้า ข้าขยับไม่ได้" ชายวัยกลางคนยิ้มออกมาอย่างขื่นขม

"หืม? บัดซบ! เจ้ากล้าที่จะทำพื้นขององค์กรเงายมทูตเราสกปรกเลอะเยี่ยวโสโครกเจ้างั้นเหรอ!?" ชายหนุ่มเริ่มมีโทสะเพราะเหม็นกลิ่นปัสสาวะ สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนเป็นอำมหิต ก่อนที่จะยื่นมือไปหยิบเงินมัดจำที่วางอยู่บนโต๊ะกลับมา "เจ้าคิดเสียว่าเงินนี่เป็นค่าทำความสะอาด ... หากนายของเจ้ามีปัญหาอะไร ให้มันไสหัวมาหาข้าด้วยตัวเอง!"

"และตอนนี้ข้าจะให้โอกาสเจ้า 3 ลมหายใจ หากยังไม่ไสหัวไปให้พ้นหน้าข้า ก็ทิ้งชีวิตอุบาทว์ไว้เสีย!" น้ำเสียงของชายหนุ่มเยือกเย็นอย่างมาก

สีหน้าชายวัยกลางคนซีดเผือด มันเค้นกำลังชั่วชีวิตออกมาสองขาที่เคยแข็งค้างสั่นระริก พลันขยับวูบไหวเร็วที่สุดในชีวิต สับก้าวหนีออกจากอาคารที่ทำการขององค์กรเงายมทูตอย่างน่าสังเวช

"200,000 เหรียญเงิน ... 200,000 เหรียญเงินสูญไปเชนนี้ ... " หลังจากเดินหนีออกมาแล้วชายวัยกลางคนรู้สึกหวาดกลัวกับการทำเงินสูญหายไปถึง 200,000 เหรียญเงิน

เมื่อมีลมแรงพัดโชยมา เขาพลันหนาวสะท้านบริเวณหว่างขาและขาทั้งสองข้าง ทว่าในหัวใจเขานั้นบังเกิดความหนาวเย็นกว่ากันมากนัก ...เขาทำเงินที่ได้รับมา 200,000 เหรียญเงิน สูญไปอย่างไม่น่าให้อภัย !

แล้วเช่นนี้เขาจะกลับไปอธิบายได้อย่างไร?

ในขณะนั้นเองเขาก็ก้มลงไปมองกางเกงที่เปียกแฉะ และบังเกิดความขุ่นเคืองจนแทบอยากจะตัดสิ่งนั้นใต้สายรัดเอวที่ทำเสียเรื่องทิ้งไปเสีย! แต่หลังจากที่คิดอยู่ครู่หนึ่งเขาก็หามีความกล้าพอที่จะกระทำเช่นนั้น

รีวิวผู้อ่าน