px

เรื่อง : War Sovereign Soaring The Heavens
บทที่ 190 พานพบศัตรูโดยบังเอิญ


แม้กระทั่งในอาณาจักรพนาครามเองนั้น เหล่าผู้หลอมโอสถระดับ 5 ก็นับเป็นตัวตนที่ยิ่งใหญ่ยากจะพานพบไม่ต่างอะไรกับขนของนกฟีนิกส์และเขาของกิเลน

นอกเหนือไปจากตระกูลราชวงศ์ของอาณาจักรพนาครามที่อาศัยอยู่ในเมืองหลวงแล้ว ผู้ที่มีอำนาจมากเพียงพอที่จะสามารถขอความช่วยเหลือจากผู้หลอมโอสถระดับ 5 ให้หลอมกลั่นโอสถระดับ 5 ได้ก็มีเพียงนิกายใหญ่ที่อยู่บนจุดสูงสุดของอาณาจักรพนาคราม

หากจะกล่าวถึงอำนาจในอาณาจักรนภาล่องแห่งนี้ก็คงสรุปได้ว่า ตระกูลราชวงศ์เข้มแข็งที่สุด รองลงมาก็จะเป็นตระกูลใหญ่แห่งเมืองหลวง ส่วนทางด้านอาณาจักรพนาครามนั้น รองจากตระกูลราชวงศ์ก็จะเป็นตัวตนของเหล่านิกายใหญ่!

"ข้าได้ยินข่าวลือมาว่า เมื่อ 30 ปีที่แล้ว ตระกูลหยวนแห่งอาณาจักรอณูสวรรค์ได้บังเกิดอัจฉริยะไร้ผู้ต้าน ที่สามารถตัดผ่านไปยังระดับกำเนิดแก่นแท้ด้วยวัยเพียง 19 ปีขึ้นมา...จนกระทั่งเขาได้ต้องตานิกายจันทร์พิสุทธิ์ อีกทั้งมันยังถูกผู้อาวุโสหลักของนิกายจันทร์พิสุทธิ์รับไปเป็นศิษย์ ด้วยเหตุนี้ตระกูลหยวนจึงได้รับโอสถสู่ธรรมชาติจนผู้อาวุโสระดับครึ่งก้าวธรรมชาติของมัน สามารถตัดผ่านไปยังระดับแรกสัมผัสธรรมชาติได้เป็นผลสำเร็จ! และตระกูลของพวกมันก็เจริญรุ่งเรืองขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด" หลังจากได้ฟังคำกล่าวแจกแจงของผู้อาวุโสหลัก เหล่าผู้อาวุโสของตระกูลต้วนทั้งหมดอดไม่ได้ที่จะ ระบายลมหายใจออกมา

"ข้าเองก็ได้ยินเรื่องราวเช่นนี้มาก่อน" อาวุโสอีกคนหนึ่งของตระกูลต้วนกล่าวออกมาพร้อมประกายตาเรืองวูบด้วยความคาดหวัง

ผู้เชี่ยวชาญระดับแรกสัมผัสธรรมชาติ ... มีความหมายต่อตระกูลต้วนอย่างมาก!

ในอาณาจักรนภาล่องแห่งนี้มีผู้เชี่ยวชาญระดับครึ่งก้าวสู่ธรรมชาติมากมาย

แต่ในอาณาจักรนภาล่องแห่งนี้กลับมีผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ในระดับธรรมชาติเพียงแค่ 3 คนเท่านั้น

เพราะมันเป็นเรื่องยากเย็นราวปีนป่ายสวรรค์ที่จะตัดผ่านไปยังระดับแรกสัมผัสธรรมชาติ

หากว่าไม่มีพรสวรรค์สูงส่งแล้วล่ะก็ สุดท้างของคนๆนึงนั้นจะมีเพียงระดับครึ่งก้าวสู่ธรรมชาติเท่านั้น จะไม่มีวันเหยียบย่างเข้าไปสู่ระดับแรกสัมผัสธรรมชาติได้ตลอดจนชั่วชีวิต

ภายในประวัติศาสตร์ของตระกูลต้วนอันยาวนานนั้นกล่าวได้ว่า บังเกิดผู้ฝึกยุทธ์ระดับครึ่งก้าวสู่ธรรมชาตินับร้อยคน แต่หามีแม้แต่คนเดียวที่สามารถตัดผ่านไปยังระดับแรกสัมผัสธรรมชาติได้สำเร็จ

และในปีนั้นทางตระกูลต้วนเองก็บังเกิดความหวังขึ้นมา และคิดว่าต้วนหรูเฟิงจะทำลายประวัติศาสตร์ ก้าวขึ้นเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับแรกสัมผัสธรรมชาติได้เป็นคนแรก

เพราะกล่าวได้ว่าตอนนั้นต้วนหรูเฟิงเป็นคนที่มีพรสวรรค์สูงล้ำที่สุดในประวัติศาสตร์ของตระกูลต้วน แต่น่าเสียดายที่ต้วนหรูเฟิงกลับต้องมาหายตัวไปอย่างลึกลับในพื้นที่ต้องห้าม จนกระทั่งทุกวันนี้ยังไร้วี่แวว เท่าที่ตระกูลต้วนรู้พวกเขาได้ถอดใจและตัดสินว่าต้วนหรูเฟิงคงพบเจอเภทภัยถึงชีวิตไปแล้ว

ทว่ามาตอนนี้บุตรชายของต้วนหรูเฟิง ต้วนหลิงเทียนก็ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับสร้างเรื่องราวสะท้านขวัญ ... เขาสามารถตัดผ่านไปยังระดับกำเนิดแก่นแท้ด้วยวัยเพียง 18 ปีเท่านั้น!

ด้วยพรสวรรค์ตามธรรมชาติที่สูงส่งเลิศล้ำขนาดนี้ ได้กระตุ้นความหวังและความกระหายที่จะยิ่งใหญ่ของตระกูลต้วนขึ้นมาอีกครั้ง

ในปีนั้นพวกเขาก็เฝ้ารอคอยวันเวลาที่ต้วนหรูเฟิงจะตัดผ่านไปยังระดับแรกสัมผัสธรรมชาติ และนำพาตระกูลให้เจริญรุ่งเรือง ส่งตระกูลต้วนให้ยืนหยัดได้อย่างไม่อายผู้ใดในอาณาจักร ... ตอนนี้เมื่อมีบทเรียนของต้วนหรูเฟิงแล้วทางตระกูลต้วนก็ไม่คิดรอคอยให้ต้วนหลิงเทียนมีระดับบ่มเพาะแรกสัมผัสชาติเหมือนกาลก่อน เพราะมันอาจเกิดเหตุแทรกซ้อนจนเสียโอกาสไป!

พวกเขาหวังเพียงว่าต้วนหลิงเทียนจะได้เข้าร่วมนิกายใหญ่ของอาณาจักรพนาคราม และทำผลงานจนเป็นที่ต้องตา กระทั่งได้รับโอสถสู่ธรรมชาติ และนำโอสถกลับสู่ตระกูลต้วน และตอนนั้นทางตระกูลต้วนก็จะคัดเลือกผู้เชี่ยวชาญระดับครึ่งก้าวธรรมชาติ ให้ใช้โอสถสู่ธรรมชาติเพื่อทะลวงผ่านกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับแรกสัมผัสธรรมชาติ!

ด้วยวิธีนี้ไม่เพียง จะไม่เดินซ้ำรอยเดิมของต้วนหรูเฟิง อีกทั้งตระกูลต้วนยังบังเกิดผู้เชี่ยวชาญระดับแรกสัมผัสธรรมชาติได้ในระยะเวลาอันสั้น!

"ท่านประมุขข้าเห็นด้วยกับคำกล่าวของท่านผู้อาวุโสหลัก ไม่ว่าพวกเราจะต้องเสียค่าใช้จ่ายมากมายสักเท่าไหร่พวกเราต้องพาตัวต้วนหลิงเทียนกลับเข้าตระกูล และให้เขากลับมาไหว้บรรพชน ก่อนที่จะหาโอกาสให้เขาเข้าสู่นิกายใหญ่ของอาณาจักรพนาคราม จนกระทั่งเป็นที่ต้องตาต้องใจและได้รับบรรณาการเป็นโอสถสู่ธรรมชาติให้ได้! "

"ข้าเองก็เห็นด้วยกับวาจาของท่านผู้อาวุโสหลัก!"

"ข้าเองก็เห็นด้วย!"

...

ในตอนนี้เมื่อพวกเขาคิดว่ามีความเป็นไปได้ที่จะบังเกิดผู้เชี่ยวชาญระดับแรกสัมผัสธรรมชาติในตระกูลต้วน ทำให้เหล่าผู้อาวุโสที่อยู่ในห้องโถงนี้ล้วนตื่นเต้นและคึกคักกันอย่างมาก

ต้วนหรูหั่วเพียงขมวดคิ้วเล็กน้อย เขารู้สึกละอายอยู่ในใจเล็กน้อยกับการตัดสินใจครั้งนี้ของตระกูล …ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ตระกูลต้วนของพวกเขาต้องถึงขั้นลดศักดิ์ศรีลงไปใช้ประโยชน์จากเด็กน้อยคนหนึ่ง?

"ท่านผู้อาวุโสหลัก!" ประมุขต้วนหรูหั่ว มองไปยังต้วนเฉินก่อนที่ยิ้มออกมาอย่างขมขื่น "ไม่ใช่ว่าตระกูลต้วนของเราจะไม่ยินดีรับต้วนหลิงเทียนกลับเข้าตระกูลหรือพาเขากลับมาเคารพบรรพชน…แต่ทั้งหมดล้วนเป็นตัวเขาเองที่ปฏิเสธข้อเสนอของพวกเราทั้งสิ้น ส่วนตัวข้าแล้วข้าคิดว่าเขาคงได้รับนิสัยเช่นนี้มาจากบิดาของเขาเป็นแน่ นิสัยที่ยากจะเปลี่ยนใจได้โดยง่าย"

"ข้าเองกล่าวไปแล้วว่าพวกเราต้องใช้ทุกวิถีทางแม้จะต้องเสียอะไรเท่าไหร่ก็ยอม ...ขอเพียงทำให้ตระกูลต้วนนำพาเขากลับมาได้สำเร็จ!" ประกายตาของต้วนเฉินทอประกายออกมาราวกับดาราพร่างพราว เอ่ยคำขาดออกมาอย่างช้าๆ

ต้วนหรูหั่วค่อยๆผ่อนลมหายใจเฮือกใหญ่ออกมา เมื่อได้ยินคำกล่าวนี้จากผู้อาวุโสหลัก เขาเองก็รู้ดีว่าเรื่องนี้มีความสำคัญขนาดไหน...

และในตอนนั้นเองหญิงรับใช้คนหนึ่งที่พึ่งรินชาให้เหล่าผู้อาวุโสของตระกูลจนเสร็จสิ้นก็ได้เคลื่อนร่างออกจากห้องไปอย่างเงียบงัน ก่อนที่จะเลี้ยวซ้ายหน้าห้องโถงหลัก ตัดผ่านตึก เร่งรุดไปยังลานบ้านลานหนึ่งในตระกูล

ภายในลานบ้าน ดวงตาหยีๆของสตรีอ้วนฉุ พลันหดแคบลงไปอีกจนตาแทบปิดเมื่อได้ฟังคำกล่าวรายงานจากหญิงรับใช้ ที่นางใช้ให้ไปสืบความ "สามีของข้าตกตายยังไม่ทันข้ามคืน มายามนี้ตระกูลต้วนกลับคิดรับตัวฆาตกรสังหารบุตรและสามีข้ากลับเข้าตระกูลรวมถึงกราบกรานบรรพชน? ทั้งตระกูลยังยินดีที่จะเสียค่าใช้จ่ายมากเท่าไหร่ก็ตามเพื่อดึงตัวมันกลับมา!"

ร่างอ้วนท้วมอุดมไปด้วยไขมันของสตรีผู้นี้ถึงกับสั่นสะท้านกระเพื่อมเป็นระลอกคลื่นด้วยโทสะที่พุ่งถึงขีดสุด “ไร้ประโยชน์ที่ข้าจะอาศัยอยู่ในตระกูลต้วนอีกต่อไป ต้วนหรูเล่ยตกตายไปแล้วข้าจะอยู่ไปเพื่ออะไร ข้าคนเดียวไม่อาจแก้แค้นให้บุตรและสามีที่รักของข้าได้ ข้าต้องกลับ! ...ข้าต้องกลับไปยังตระกูลของข้า! "

"ข้าจะแก้แค้นให้บุตรและสามีข้าด้วยมือของข้าเอง!" สตรีอ้วนฉุเก็บข้าวของที่จำเป็น ก่อนที่จะพาร่างที่อุดมไปด้วยก้อนเนื้อออกจากตระกูลต้วนไป และรีบออกจากเมืองหลวงในยามเช้าตรู่อย่างเร่งร้อน

ณ สถาบันบ่มเพาะขุนพล

ต้วนหลิงเทียนเองก็มาถึงสถาบันแต่เช้า และเพียงแค่เขาก้าวผ่านประตูหน้าเข้ามาทุกสายตาของผู้คนล้วนจับจ้องมาที่เขา และเขาสังเกตได้ว่าไม่ว่าจะมากหรือน้อยพวกมันล้วนมองเขาราวกับตัวประหลาด

ต้วนหลิงเทียนทำได้เพียงส่ายหัวออกมาพร้อมยิ้มอย่างขมขื่น

ดูเหมือนว่าคงต้องใช้เวลาสักระยะกว่าที่ผู้คนจะเลิกมองเขาด้วยสายตาแปลกๆ เช่นนี้…และทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพราะเรื่องราวที่เขาได้กระทำเอาไว้เมื่อวาน

ยังนับว่าโชคดีอีกแค่เพียงไม่นานเขาก็จะได้ออกเดินทางไปจากสถาบันบ่มเพาะขุนพลนี้ระยะหนึ่ง เพื่อมุงหน้าไปยังแนวรบที่อยู่บริเวณชายแดนด้านตะวันตกเฉียงเหนือ

ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังเดินผ่านลานฝึกซ้อมนั้น คิ้วของเขาพลันขมวดขึ้น เพราะเขาพลันสังเกตเห็นว่ามีสตรี 3 คนกำลังโต้เถียงส่งเสียงดังกันอยู่ ... กล่าวให้ชัดก็คือ มีสตรีสองนางกำลังร่วมมือกันใช้วาจารวมทั้งกำลังข่มเหงสตรีคนหนึ่งอยู่

ต้วนหลิงเทียนเห็นได้ชัดว่าสตรีที่กำลังถูกกลุ้มรุมอยู่นั้นเต็มไปด้วยความจนใจ ไม่มีผู้ใดเข้าไปช่วยเหลือนางอีกทั้งนางก็ไม่อาจตอบโต้อีกฝ่ายได้…ถึงแม้ว่าสตรีคนนี้จะไม่ได้นับว่าเป็นหญิงงามเลอโฉม ทว่าใบหน้าของนางก็สะอาดสะอ้านไร้ตำหนิ แลดูหมดจดสุภาพเรียบร้อย

ในตอนแรกตัวเขาเองก็ไม่คิดจะสอดมือไปยุ่งวุ่นวายเรื่องราวของสตรี

"ข้าได้ยินมาว่าเจ้า นับถือและยกย่องต้วนหลิงเทียนจนคิดเทิดทูนมันมากเช่นนั้นรึ?" 1 ใน 2 สตรีที่กำลังกลุ้มรุมสตรีไร้ทางสู้อยู่ที่หันหลังให้ต้วนหลิงเทียน หนึ่งในนั้นถือแส้สีดำในมือ พร้อมกล่าวถามสตรีไร้ทางสู้คนนั้นด้วยน้ำเสียงขู่เข็ญ และน้ำเสียงนี้มันช่างคุ้นหูเขาเสียเหลือเกิน

"ถงลี่?" เมื่อต้วนหลิงเทียนจำเจ้าของเสียงได้ ก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ประกายตาของเขาเยือกเย็นลง คำกล่าวที่ว่า พบเจอศัตรูหนทางคับแคบ นับว่าเป็นจริงไม่น้อย

ต้วนหลิงเทียนระงับฝีเท้าก่อนที่จะหรี่ตาลง ติดตามและรับฟังสถานการณ์เบื้องหน้า

"แล้วจะอย่างไร เหตุใดข้าถึงยกย่องเทิดทูนและยกให้ต้วนหลิงเทียนเป็นแบบอย่างไม่ได้? ข้านั้นชื่นชมในสิ่งที่เขากระทำ ใช่!และข้าชอบเขา แล้วมันจะอย่างไร? ข้าไม่ได้ไปบังคับให้เจ้าชอบเข้าสักหน่อยนี่" นักศึกษาสตรีที่มีใบหน้าหมดจดกล่าวออกมาอย่างไม่ยินยอมสยบ

"ข้าจะไม่แยแสหรือสนใจอันใดหากเจ้าชมชอบผู้อื่น ... แต่ต้วนหลิงเทียนเป็นศัตรูที่ไม่อาจอยู่ร่วมฟ้าเดียวกันกับข้าได้ และใครก็ตามที่ยกย่องนับถือเทิดทูนมัน รวมทั้งคิดเอามันเป็นแบบอย่าง ถือเป็นศัตรูของข้าถงลี่!" น้ำเสียงของถงลี่นั้นเย็นชาและดุร้ายอย่างมาก นางไม่อาจระงับโทสะในใจที่มีต่อต้วนหลิงเทียนได้

"นังแพศยา เจ้าไม่รู้จักนายหญิงน้อยลี่หรือไร? นายหญิงน้อยลี่เป็นถึงลูกพี่ลูกน้องขององค์ชาย 5 และหาใช่คนที่สามัญชนเช่นเจ้าจักล่วงเกินได้! รีบคุกเข่าขอขมาแล้วกล่าววาจาว่า ต้วนหลิงเทียนชั่วช้าสารเลวบัดซบ 100 ครั้ง บางทีนายหญิงน้อยลี่จะมีเมตตาปล่อยเจ้าไป" นักศึกษาหญิงอีกคนหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านข้างถงลี่ได้นำมือข้างหนึ่งเท้าสะเอว ส่วนอีกข้างชี้หน้าของสตรีใบหน้าหมดจด นางคิดใช้สถานะของถงลี่เพื่อข่มเหงรังแกนักศึกษาสตรีใบหน้าหมดจดคนนี้

"เจ้า เจ้า... " สตรีใบหน้าหมดจดโกรธเคืองจนถึงขั้นลมหายใจหอบถี่ขึ้น

"ข้าทำไม มีปัญหาอะไร หากเจ้ายังไม่รีบคุกเข่าตะโกนด่าทอออกมาว่า ต้วนหลิงเทียนชั่วช้าสารเลวบัดซบ 100 ครั้ง ข้าจะใช้แส้ฟาดหน้าเจ้าให้เนื้อแตก!" ถงลี่กระชับแส้ในมือก่อนที่จะหวดฟาดพื้นดังสนั่นราวกับว่านางสามารถใช้แส้นี้หวดฟาดทำลายโฉมผู้อื่นได้ทุกเมื่อ

สีหน้าของสตรีใบหน้าหมดจดกลับกลายเป็นซีดเผือด ร่างกายบอบบางของนางสั่นสะท้านเล็กน้อย แต่นางยังกัดฟันทนและไม่ยินยอมกระทำตามสั่ง

สีหน้าของต้วนหลิงเทียนมืดลงทันที ในที่สุดเขาก็ไม่อาจยืนทนดูเรื่องราวได้อีกต่อไป เขารีบก้าวเท้าเดินเข้าไปด้วยสีหน้ามืดลง ถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้จักนักศึกษาหน้าตาหมดจดนางนั้น แต่ในเมื่อนางถูกผู้คนข่มเหงรังแกเพราะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเขา เขาไม่อาจนิ่งดูดายเห็นนางถูกตัวบัดซบถงลี่รังแกได้อีกต่อไป

เมื่อต้วนหลิงเทียนก้าวเข้ามา สตรีใบหน้าหมดจดนั้นก็สามารถสังเกตเห็นต้วนหลิงเทียนที่กำลังเดินมาทางนี้ ประกายตาของนางทอประกายระยิบระยับด้วยความหลงใหล

"เหอะ สามลมหายใจหมดลงแล้ว นังแพศยาสารเลวเจ้ากล้าต่อต้านข้าจริงๆ!" ถงลี่ไม่ได้สังเกตเห็นแววตาและใบหน้าที่แสดงความหลงใหลของสตรีหน้าตาหมดจด นางก้าวออกไปพร้อมกระชับแส้สีดำไว้ในมือ ก่อนที่จะฟาดออกไปด้วยความเร็วสูง แส้สีดำกลับคล้ายอสรพิษดุร้ายพุ่งไปยังใบหน้าสตรีที่ไม่ทันระวังตัวอย่างวดเร็ว

เนื่องจากเพราะสังเกตเห็นต้วนหลิงเทียนสตรีใบหน้าหมดจดที่กำลังเคลิบเคลิ้มจึงไม่ได้เตรียมการป้องกันอะไรไว้ และเมื่อนางรู้ตัวอีกที แส้ของถงลี่ก็หวดฟาดออกมาแล้ว นางไม่อาจตอบสนองอันใดได้

"อ๊า!" สีหน้านางซีดก่อนที่จะเอามือกุมใบหน้าก้มลงไปทันที นางหวาดกลัวจนหลับตาปี๋ หวังเพียงแส้นี้จะไม่ร้ายแรงนัก

พริบตานั้นนางกลับสัมผัสได้ถึงคลื่นลมกรรโชกผ่านใบหน้าของนางไป แต่ทว่ากลับไร้ซึ่งความเจ็บปวด เสียงดังปังจากการฟาดแส้เองก็ดังขึ้นไปแล้ว

เมื่อสงสัยนางจึงลืมตาขึ้นมา และพบว่ายามนี้เบื้องหน้าของนางมีชายหนุ่มชุดสีม่วงกำลังยืนหันหลังให้ มือหนึ่งของเขาคว้าจับแส้ที่หมายทำร้ายนางเอาไว้

พริบตานั้นใบหน้าของนางพลันร้อนผ่าว ก่อนที่จะเจือสีแดงระเรื่อออกมาด้วยความเขินอาย! บุรุษในดวงใจ มาช่วยเหลือนางแล้วจริงๆ

"เจ้า ... " ใบหน้าของถงลี่ฉายความหงุดหงิดออกมาอย่างเห็นได้ชัด เพราะถูกขัดจังหวะในขณะที่นางกำลังคิดสั่งสอนผู้คน และในขณะที่นางจะด่าทอและทำร้ายคนที่มาขัดขวางนั้น นางก็พลันเป็นอ้าปากค้างสองตาเบิกกว้างเต็มไปด้วยความตกตะลึง เพราะคนที่เข้ามาสอดมือ กลับกลายเป็นต้วนหลิงเทียน คนที่นางเกลียดเข้ากระดูกดำ!

"ข้าทำไมเล่า หืม?" สายตาของต้วนหลิงเทียนเย็นชาลงในขณะที่กล่าววาจา พร้อมกระชากแส้ถงลี่จนหลุดจากมือ "แม่นางถงข้าคงไม่มายุ่งวุ่นวายอันใดกับเจ้า หากเจ้าคิดอยากหวดแส้ฟาดใส่อากาศ... แต่ข้าสงสัยนักแม่นางผู้นี้ไปทำอันใดให้กับเจ้า เจ้าถึงคิดทำร้ายนางอย่างอำมหิตเช่นนี้?"

ใบหน้าของถงลี่ซีดเผือด นางกล่าววาจาออกไปอย่างหวาดกลัวด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง "ข้าจะทำอันใด เกี่ยวอะไรกับเจ้า!?"

"มีอะไรเกี่ยวข้องกับข้าหรือ?" ต้วนหลิงเทียนเบนสายตาจากถงลี่ไปยังสตรีอีกนางหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างถงลี่ "ก่อนหน้านี้ใช่เจ้าบังคับให้แม่นางผู้นี้คุกเข่าแล้วกล่าววาจาอันใด 100 ครั้งกันนะ? ข้าเองได้ยินไม่ค่อยชัดสักเท่าไร เจ้าจะกล่าววาจานั้นออกมาอีกสักครั้งได้หรือไม่เล่า?"

สีหน้าของสตรีที่ยืนด้านข้างถงลี่กลับกลายเป็นซีดเผือด ที่นางกล้ากล่าววาจาเช่นนั้นก่อนหน้านี้เพราะถงลี่คอยให้ท้ายและสนับสนุนนาง แต่มาตอนนี้กระทั่งถงลี่เองยังเอาตัวไม่รอดแล้วนางจะกล้ากล่าวออกมาได้อย่างไร ...

มันใช่เรื่องตลกหรือไร!? ต้วนหลิงเทียนผู้นี้กล้าทุบตีถงลี่จนหน้าบวมราวหัวหมู ต่อหน้านางซะด้วยซ้ำ

นางไม่คิดสงสัยเลย หากนางกล่าววาจาดูหมิ่นชายตรงหน้าแล้วล่ะก็ ไม่พ้นหน้านางได้กลายเป็นหัวหมูเช่นนั้นแน่

"ข้า ...ข้าไม่ได้กล่าวอะไรนะ" สตรีคนนั้นกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาซ้ำยังสั่นเครือราวจะร้องไห้ นางทำได้เพียงก้มหน้างุดๆไม่กล้าเงยหน้ามามองต้วนหลิงเทียน

"อะไร ก่อนหน้านี้ไม่ใช่เจ้าเก่งกล้านักหรือ?" ต้วนหลิงเทียนกล่าวเย้ยหยันออกมา ต้วนหลิงเทียนจ้องหน้าตาเขม็งก่อนที่จะกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา "คุกเข่าลง!"

ต้วนหลิงเทียนไม่คิดมองสตรีที่กล้าข่มเหงรังแกผู้อื่นโดยใช้ฐานะของถงลี่มาบีบคั้นเป็นสตรีอีกต่อไป

ไม่ใช่เจ้าคิดบีบบังคับให้ผู้อื่นคุกเข่างั้นหรือ?

ตอนนี้ข้าจะให้เจ้าคุกเข่า!

ร่างกายของสตรีผู้นั้นสั่นสะท้านเมื่อได้รับจิตสังหารที่น่าหวาดหวั่นยิ่งกว่าผู้ใดที่นางพบเจอมาชั่วชีวิต สองขาพลันไร้ซึ่งเรี่ยวแรงทรุดลงไปกองกับพื้นทันที นางทำได้เพียงกัดฟันฝืนทนเอาไว้ไม่ให้หวาดกลัวจนฉี่ราด

รีวิวผู้อ่าน