px

เรื่อง : War Sovereign Soaring The Heavens
บทที่ 193 คลื่นใต้น้ำเริ่มก่อตัวอย่างลับๆ!


“พี่ชาย ท่านได้รับรู้ข่าวนี้หรือยัง? ยามนี้ต้วนหลงเทียนที่เป็นข่าวโจษจันกันอยู่ก่อนหน้านี้ เขาได้สร้างเรื่องราวสะท้านขวัญขึ้นอีกแล้ว บัดนี้เขาได้ตัดผ่านไปยังระดับกำเนิดแก่นแท้เรียบร้อยแล้ว!”

"ข้ารู้ข่าวนี้ตั้งแต่เมื่อวันก่อนแล้ว พอดีข้ามีญาติร่ำเรียนอยู่ที่สถาบันบ่มเพาะขุนพล"

"เช่นนั้นขออภัยด้วย ทำให้ท่านขบขันแล้ว ข้าไม่นึกว่าพี่ชายมีญาติร่ำเรียนอยู่ที่สถาบันบ่มเพาะขุนพลด้วยเช่นนี้!"

"ช่างเถอะ อย่าได้กล่าวแล้ว ข้าไม่ได้ว่าอันใด ... "

"พี่ชาย แล้วท่านรู้หรือไม่เล่า ว่าเมื่อเช้าวันนี้ต้วนหลิงเทียนได้กลับไปยังตระกูลต้วน พร้อมกับติดตามประมุขไปกราบกรานบรรพชน หวนคืนสู่สถานะนายน้อยตระกูลต้วนเรียบร้อยแล้ว?"

"อะไร! มีเรื่องเช่นนั้นจริงหรือ?"

"ฮี่ๆ พอดีลูกพี่ลูกน้องที่ไม่ได้ความของข้าน้อย เป็นสาวรับใช้ของตระกูลต้วน เรื่องเช่นนี้จึงพอล่วงรู้อยู่บ้าง"

"ไม่ใช่ว่าต้วนหลิงเทียนผู้นั้น ได้ยืนกรานปฏิเสธเรื่องการกลับเข้าร่วมตระกูลอยู่หรอกหรือ?"

"ฮายๆ เรื่องนั้นเป็นเพียงอดีตไปแล้ว ... ท่านอย่าได้กล่าวถึงอีกเลย!"

ชายหนุ่ม 2 คนกำลังสนทนากันอยู่ภายในเหลาอาหารในเมืองอย่างออกรส

และตอนนี้ บทสนทนาทั่วทั้งเมืองหลวงก็ล้วนเป็นเรื่องราวเช่นนี้แทบทั้งสิ้น...

ต้วนหลิงเทียนชายหนุ่มที่สามารถตัดผ่านไปยังระดับบ่มเพาะกำเนิดแก่นแท้ ด้วยวัยเพียง 18 ปี และได้รับการขนานนามจากผู้คนทั้งหมดของสถาบันบ่มเพาะขุนพลว่าเป็นอัจฉริยะอันดับ 1 ยามนี้เขาได้หวนคืนสู่ตำแหน่งยิ่งใหญ่และได้ชื่อว่า เป็นนายน้อยสายเลือดหลักแห่งตระกูลต้วนเรียบร้อยแล้ว

ในสายตาของผู้คนทั่วทั้งเมืองหลวงยามนี้ สามารถกล่าวได้อย่างเต็มปากแล้วว่า ต้วนหลิงเทียนแห่งตระกูลต้วน เป็นบุรุษผู้ที่ได้รับความโปรดปรานจากสวรรค์อย่างแท้จริง และระดับพรสวรรค์ของเขาก็ได้ก้าวผ่านบิดาที่นามกระฉ่อนอย่าง ต้วนหรูเฟิงไปแล้วด้วย ...

...

เขตที่พักของตระกูลซู

ในลานกว้างแห่งหนึ่ง ปรากฏร่างชายชราที่ยกมือขึ้นเหนือศีรษะ ก่อนที่จะตบลงไปยังโต๊ะม้าหินอ่อนด้วยโทสะจนแตกละเอียด

"ท่านปู่ มีอันใดเกิดขึ้นหรือขอรับ?" ชายหนุ่มที่มีผิวซีดเล็กน้อยพึ่งเดินออกมาจากห้องและบังเอิญเห็นภาพตรงหน้าพอดี จึงกล่าวถามออกมาด้วยความสงสัย

"หลานถง เจ้าออกมาทำอันใด ร่างกายของเจ้ายังไม่แข็งแรงหายดี เหตุใดไม่นอนพักให้หายเสียก่อน อย่าได้ฝืนตัวแล้ว" ชายชราหันมองไปยังหลานด้วยแววตาหม่นหมองไม่ยินยอมระคนกับความผิดหวังอยู่ครู่หนึ่ง

"ท่านปู่ มีอันใดเกิดขึ้นกันแน่?"สีหน้าของซูถงเริ่มหมองลง

ประกายตาของชายชราเพียงเรืองวูบขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนที่จะยิ้มแย้มออกมาพร้อมกล่าววาจา "ไม่มีอันใดหรอก เจ้าอย่าได้คิดมากไปเลย กลับไปพักเถิด.. "

"ท่านผู้อาวุโสหลัก!" ทว่าตอนนี้กลับมีเสียงดังขึ้น ประมุขตระกูลซูอย่างซูผอหยา อยู่ๆก็ปรากฏตัวขึ้น เขาเดินเข้ามาจากหน้าประตู ตัดผ่านลานกว้างมาถึงม้าหินอ่อน ก่อนที่จะจับจ้องไปยังซูหนันอาวุโสหลักของตระกูลซู

"คำนับท่านประมุข"ซูหนันและซูถงพลันทำความเคารพซูผอหยา

ซูผอหยาพยักหน้าเล็กน้อยก่อนที่จะมองไปยังซูหนันด้วยสายตาจริงจัง "ผู้อาวุโสหลัก ข้าว่ายามนี้ท่านคงได้รับข่าวคราวเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนกลับเข้าตระกูลต้วนเรียบร้อยแล้วใช่หรือไม่?"

สีหน้าของซูหนันคล้ำลงก่อนที่จะพยักหน้าลงอย่างหงุดหงิด

"ว่ากระไรนะ?!" สีหน้าของซูถงพลันเปลี่ยนเป็นซีดจาง ต้วนหลิงเทียนผู้นั้นหวนคืนตระกูลต้วนและรับสถานะคืนแล้วจริงงั้นหรือ?

ยามนี้เขารู้สึกเสมือนท้องฟ้ามืดมิดลง ประกายตากลับกลายเป็นหมองคล้ำ ...

ในช่วงสองวันที่ผ่านมายามที่เขารับรู้ว่า ต้วนหลิงเทียนได้ตัดผ่านไปยังระดับกำเนิดแก่นแท้ด้วยวัยเพียง 18 ปี เขาก็ตกตะลึงกับพรสวรรค์ของต้วนหลิงเทียนอย่างมาก และแน่นอนว่าภายในใจของเขาย่อมเต็มไปด้วยความไม่พอใจและยากจะยอมรับ

เขาไม่ได้ต้องการอะไรมากมายไปกว่า การที่จะได้สับต้วนหลิงเทียนเป็นชิ้นๆด้วยน้ำมือของเขาเอง!

เพราะถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะมีพรสวรรค์ตามธรรมชาติในเชิงยุทธ์สูงส่งขนาดไหน แต่มันก็หัวเดียวกระเทียมลีบ ไร้พื้นหลังที่แข็งแกร่งปกป้องคุ้มครอง ทำให้ปู่ของเขายังสามารถแก้แค้นให้เขาได้ แต่ยามนี้ข่าวที่ต้วนหลิงเทียนหวนคืนสู่ตระกูลพร้อมรับสถานะผู้สืบทอดหลักของตระกูลต้วน ไม่ต่างอันใดไปจากอัสนีบาตรยามแล้งฟาดลงมากลางกระหม่อมของซูถง ลมหายใจของมันกลับกลายเป็นปั่นป่วนจนติดขัด

ผู้ฝึกยุทธ์ระดับกำเนิดแก่นแท้ ด้วยวัยเพียง 18 ปี แน่นอนว่าย่อมเป็นพรสวรรค์ที่สั่นคลอนทั่วทั้งอาณาจักร แต่มันก็ไม่นับว่ายอดเยี่ยมอะไร หากมันไม่สามารถเติบโตมากไปกว่านี้ได้ แต่หากอัจฉริยะวัย 18 ผู้นั้นมีพื้นหลังอย่างตระกูลต้วนอันเป็นตระกูลใหญ่ของเมืองหลวงแห่งนี้ เรื่องราวก็แปรเปลี่ยนกลับกลายแล้ว เพราะเสมือนมันได้รับอำนาจที่จะช่วยรักษาชีวิตของมันได้! แน่นอนว่าตระกูลต้วนย่อมทำทุกวิถีทางเพื่อคุ้มครองอัจฉริยะที่ยอดเยี่ยมฟ้าประทานเช่นนี้!!

"ผู้อาวุโสหลัก ต้วนหรูหั่วประมุขของตระกูลต้วนได้พูดคุยกับข้าเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนได้กระทำต่อซูถงแล้ว ... เขายินดีที่จะมอบเหลาอาหารขนาดใหญ่แห่งหนึ่งของตระกูลต้วนบริเวณเมืองหลวงชั้นนอก ให้อยู่ในความดูแลของตระกูลซู และแน่นอนว่าทางตระกูลก็จะมอบมันให้แก่ท่าน ไม่ทราบว่าท่านพึงพอใจเกี่ยวกับการตัดสินใจครั้งนี้ของตระกูลหรือไม่ "ซูผอหยามองไปยังซูหนันก่อนที่จะกล่าวออกมาช้าๆ

"ประมุข แล้วต้วนหรูหั่วมันต้องการอันใด? หรือมันต้องการให้เราละวางความแค้นต้วนหลิงเทียน?!" สีหน้าของซูหนันหมองคล้ำลงเล็กน้อยก่อนที่จะกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงก้าวร้าวดังก้อง

"ผู้อาวุโสหลัก!"ซูผอหยายิ้มเย็นเยือกและมีทีท่าเย็นชาลง เขาเป็นประมุขของตระกูลซู แต่ซูหนันคนนี้กล้าขึ้นเสียงใส่หน้าเขา เช่นนั้นแล้วเขาจะมีหน้าเหลืออยู่อีกหรือ?

"ประมุข" ซูหนันย่อมรับรู้ถึงอารมณ์ของซูผอหยา เขากล่าวออกมาเสียงอ่อนลงเล็กน้อย "ข้าบันดาลโทสะไปเล็กน้อย ขออภัยที่ล่วงเกินท่าน โปรดอภัยให้ข้าด้วย"

"ฮึ่ม!" ซูผอหยาที่มีท่าทีเย็นชาลงได้มองไปยังซูหนันด้วยแววตาไร้อารมณ์ "ผู้อาวุโสหลักเหตุผลที่ข้ามาวันนี้นอกเหนือจากส่งร้านอาหารที่ได้รับมาแล้วแก่ท่าน ... ส่วนอีกเหตุผลนั้น ข้ามาเพื่อแจ้งท่านว่า หลังจากนี้ท่านอย่าได้ไปสร้างปัญหาอะไรให้แก่ต้วนหลิงเทียน หาไม่แล้วทางตระกูลซูจะไม่รับผิดชอบหรือออกหน้าอะไรให้แก่ท่าน "

“อะไรนะ?!” สีหน้าของซูหนันกลับกลายเป็นบิดเบี้ยวหมองคล้ำลง ส่วนซูถงที่อยู่ด้านข้างเองก็เต็มไปด้วยความเคียดแค้นยากระงับ

เรื่องที่ประมุขกล่าวนี้ย่อมแสดงให้เห็นถึงเจตจำนงตระกูลซูอย่างชัดเจนแล้วว่า หากเขายังไปก่อเรื่องราวอันใดกับต้วนหลิงเทียนอีก ทางตระกูลจะตัดปัญหาโดยการผลักไสไล่ส่งพวกเขา

"ประมุข ครอบครัวของข้ายังถือว่าเป็นสายโลหิตหลักของตระกูลซู... แต่ยามนี้ท่านพยายามผลักไสพวกเราออกไปให้ห่างจากเรื่องนี้ ข้าใคร่รู้นักว่า…การตัดสินใจในเรื่องนี้ มาจากเหตุผลส่วนตัวของท่านหรือมติของตระกูล" สีหน้าของซูหนันหมองคล้ำลงอย่างถึงขีดสุด เขากล่าวถามออกมาด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้างเผยความไม่ยินยอมออกมา

"อย่าให้มันมากเกินไปนัก" สีหน้าของซูผอหยาเริ่มเคร่งขรึมขึ้น

"ผู้อาวุโสหลัก ไม่คิดว่าท่านกลับกล้าต่อต้านนายเหนือหัวของท่านจริงๆ!" มันใดนั้นเอง กลุ่มคนกลุ่มหนึ่งก็เดินเข้ามาในลานกว้าง เห็นได้ชัดว่าพวกมันคือกลุ่มผู้อาวุโสของตระกูลซู

"พวกเจ้า…."ความรู้สึกไม่ดีเริ่มบังเกิดขึ้นในใจของซูหนัน

"ผู้อาวุโสหลัก ท่านอย่าได้สงสัยในคำกล่าวของท่านประมุขอีกต่อไปเลย เรื่องนี้เป็นเรื่องที่พวกเราร่วมลงมติ และประชุมหารือกันจนได้ข้อสรุปเรียบร้อยแล้ว" มุมปากของอาวุโส 2 ที่เป็นผู้กล่าวคำแสยะยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย

ซูหนันที่มีใบหน้าหมองคล้ำลงเพราะโทสะ กวาดสายตามองผ่านอาวุโสทุกคนก่อนจะกล่าวถามออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า "ข้าอยากรู้นักว่าตระกูลต้วนมันจ่ายอะไรให้แก่พวกท่านกันแน่ ข้าว่าคงหาได้มีเพียงแค่ร้านอาหารที่เมืองหลวงชั้นนอกใช่หรือไม่?"

“มิผิด! ทางตระกูลต้วนเพียงมอบร้านอาหารนั่นเป็นแค่ ข้อเสนอแรกเท่านั้น ส่วนสิ่งที่เรียกได้ว่าทางตระกูลต้วนได้ชดใช้ให้แก่พวกเราอย่างแท้จริงนั่นคือ สิทธิ์ในการเข้าศึกษาสถาบันบ่มเพาะขุนพล 1 สิทธิ์”

"กล่าวง่ายๆว่า ตระกูลต้วนได้เลือกรักษาไมตรีโดยพวกมันจะมอบสิทธิ์ในการเข้าสถาบันบ่มเพาะขุนพล 1 ใน 5 สิทธิ์ของพวกมัน ให้แก่ทางตระกูลซูของเรา เช่นนั้นทำให้ทางตระกูลต้วนและตระกูลซูมีสิทธิ์ เท่าเทียมกัน คือ 4 สิทธิ์" ผู้อาวุโสที่ 2 กล่าวออกมาอย่างไม่คิดปิดบัง

"เหอะ ไมตรีที่ทางตระกูลต้วนมอบให้งั้นหรือ!"สีหน้าของซูหนันมืดลงอย่างไม่รู้ว่าจะมืดอย่างไรแล้ว กล่าวออกมาอย่างประชดประชัน

"ประมุข อาวุโสทั้งหลาย หากไม่มีอันใดแล้ว ซูหนันผู้นี้ไม่คิดรบกวนเวลาพวกท่าน ... " ซูหนันสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนที่จะกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงตัดพ้ออย่างแข็งกร้าว

เขาเข้าใจได้ว่ายามนี้เรื่องราวทั้งหมดได้ถูกตัดสินลงไปแล้ว หาใช่เรื่องที่เขามีอำนาจแก้ไขอันใดอีกต่อไป!

คิ้วของซูผอหยาขมวดขึ้นเล็กน้อยก่อนที่จะจากไปพร้อมกับเหล่าผู้อาวุโสทั้งหลาย

"ไม่ ... ข้าไม่ยินยอมรับเรื่องนี้ ... ท่านปู่ ข้าไม่ยินยอมรับเรื่องราวนี้!!" สีหน้าของซูถงซีดเผือด เข้าทำได้เพียงยกมือขึ้นขยี้ศีรษะจนผมเผ้ายุ่งเหยิงจนราวกับเศษผ้าขี้ริ้ว เขาส่ายหน้าออกมาไม่หยุดราวกับไม่เต็มใจยอมรับ เขาไม่มีวันยอมเชื่อว่าเรื่องนี้เป็นความจริง!

"พรวด" ทันใดนั้นเองซูหนันพลันกระอักเลือดออกมาด้วยโทสะ เลือดคำโตนี้กระอักออกมาเพราะโทสะที่เขามีต่อผู้อาวุโสทั้งหลายของตระกูลซู

“หลานถง เจ้าอย่าได้กังวล…แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องที่เสี่ยงต่อการที่ครอบครัวของพวกเราจะถูกเขี่ยทิ้ง แต่ปู่ชราคนนี้จะต้องแก้แค้นให้หลานปู่ให้จงได้! อนาคตของเจ้าถูกทำลายลงทั้งคน หากครอบครัวพวกเราไม่ให้พวกมันชดใช้ เรื่องนี้! แล้วพวกเราจะไปคิดมีอนาคตอันใดอีก” ม่านตาของซูหนันหดแคบลง ประกายเย็นชาเรืองวูบใบหน้าของมันเต็มไปด้วยโทสะ แฝงความเด็ดเดี่ยวเจืออาลัยเอาไว้

ภายในห้องโถงของ วังองค์ชาย 5

สีหน้าขององค์ชาย 5 หมองลงเล็กน้อยหลังจากได้ยินคำรายงานของชายชราคิ้วขาว

"ไม่ใช่ว่าต้วนหลิงเทียนนั่นยืนกรานปฏิเสธเรื่องหวนคืนตระกูลไม่ใช่หรือไร เหตุใดมันถึงเปลี่ยนใจหวนคืนสู่ตระกูลที่ทอดทิ้งมันไปหลายปีเช่นนี้?"ม่านตาขององค์ชาย 5 หดแคบลงเล็กน้อย เรื่องราวการหวนคืนตระกูลของต้วนหลิงเทียนนี้ เกินความคาดหมายของมันเล็กน้อย

"ฝ่าบาท เรื่องนี้ข้าเดาว่าน่าจะเป็นเพราะอัจฉริยะภาพของต้วนหลิงเทียน มันสามารถตัดผ่านไปยังระดับกำเนิดแก่นแท้ด้วยวัยเพียง 18 ปีเช่นนี้ อนาคตของมันย่อมไร้สิ้นสุด ข้าคิดว่าทางตระกูลต้วนคงมอบข้อเสนอที่จ่ายราคามหาศาล แก่มันเป็นแน่" ชายชราคิ้วขาวกล่าวออกมา

"ฮึ่ม! ข้ากลับหลงคิดไปว่ามันจะเด็ดเดี่ยวได้ตลอดรอดฝั่งเสียอีก" น้ำเสียงขององค์ชาย 5 เจือแววเหยียดหยามเล็กน้อย

"ท่านพี่!" ตอนนี้เองร่างเล็กในชุดสีแดงพลันพุ่งพรวดเข้ามาในห้องโถง

สีหน้าเย็นชาขององค์ชาย 5 เริ่มละลายหายไปกลับกลายเป็นอบอุ่นยิ้มแย้มทันที "น้องสาวตัวน้อย เจ้าเร่งรีบมาหาพี่ชายผู้นี้ มีเรื่องราวอันใดหรือ?"

แน่นอนว่าคนที่มานี้ย่อมเป็นถงลี่

สีหน้าของถงลี่หมองคล้ำลงเล็กน้อย "ท่านพี่ข้าได้ยินข่าวเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนมันหวนคืนสู่ตระกูลต้วนแล้ว ...เรื่องนี้เป็นความจริงงั้นหรือ?"

"มิผิด พี่เองก็พึ่งได้ยินจากผู้เฒ่าไป๋เมื่อครู่นี้เอง" องค์ชาย 5 พยักหน้ารับคำ

"เช่นนั้น ...ความแค้นของข้าเล่า หรือว่ามันมิมีวันได้สะสางแล้ว?" แววตาของถงลี่ฉายชัดออกมาถึงความไม่ยินยอม น้ำเสียงยามกล่าวแฝงความไม่ยอมรับออกมาอย่างเห็นได้ชัด

"ลี่น้อย เจ้าอย่าได้กังวลไป แม้นว่ายามนี้ต้วนหลิงเทียนจักมีตระกูลต้วนหนุนหลัง แต่พี่ชายผู้นี้ไม่คิดรามือจากมันแต่อย่างใด…ทว่ายามนี้พี่ชายผู้นี้ย่อมต้องระมัดระวังเรื่องนี้และกระทำการอย่างรอบคอบเล็กน้อย"

องค์ชาย 5 ยังกล่าวต่อไปอีกว่า "จริงสิ ไม่นานมานี้ใช่เจ้ากล่าวว่ามีนักศึกษาสตรีผู้หนึ่งกล้า รังแกเจ้าในสถาบันบ่มเพาะขุนพลมิใช่หรือ พี่จะให้ผู้เฒ่าไป๋มอบคนให้เจ้าสักสองคน เพื่อไปสะสางเรื่องราวนี้ ให้เจ้าจัดการกับนางเสียก่อนดีหรือไม่ "

ประกายตาของถงลี่เรืองวูบขึ้น "ขอบคุณท่านพี่!"

ภายในลานบ้านด้านหลังขนาดกว้างขวาง ตอนนี้ต้วนหลิงเทียน กำลังนั่งเอนหลังอย่างสบายอารมณ์บนเก้าอี้เอน เขาหลับตาพริ้มอาบแดดอย่างสบายอารมณ์

……

ตอนนี้ลี่เฟยผู้มีใบหน้างดงามปานเทพธิดาและรูปร่างเย้ายวนปานนางปีศาจ กำลังนวดขาให้ต้วนหลิงเทียนอย่างตั้งใจ ...

"เสี่ยวเฟย สูงขึ้นอีกนิด ... อานั่นล่ะ ... อา สบายยิ่งนัก!" ต้วนหลิงเทียนเผยสีหน้าผ่อนคลายเต็มไปด้วยความสุขออกมา

"นายน้อย อ้าปาก อ้ำๆ เจ้าค่ะ" เค่อเอ๋อที่บริสุทธ์ราวสายน้ำนั่งอยู่เคียงข้างต้วนหลิงเทียนอีกฝั่ง เอ่ยกล่าวขึ้นพร้อมยืนส่งองุ่นที่ปอกเปลือกแล้วป้อนใส่ปากต้วนหลิงเทียน

ต้วนหลิงเทียนนั้นกินองุ่นหอมหวานอย่างเอร็ดอร่อย พร้อมทั้งยังมีสตรีนวดให้เช่นนี้ ช่างสร้างความสำราญและสบายตัวให้แก่มันอย่างถึงขีดสุดนัก เขาผ่านวันเวลา 2-3 วันนี้อย่างสุขสบายราวเทพเซียน

"นายน้อย เมื่อเช้านี้ท่านสนุกหรือไม่ ที่ไปกราบกรานบรรพชนที่ตระกูลต้วน?" เค่อเอ๋อกล่าวถามออกมาด้วยความอยากรู้อยากเห็นเล็กน้อย

ต้วนหลิงเทียนลืมตาขึ้นมาเมื่อได้ยินคำกล่าวถามของเค่อเอ๋อ อีกทั้งเขายังเห็นว่าลี่เฟยเองก็แสดงแววตาอยากรู้อยากเห็นเช่นกัน "มันจะไปสนุกได้อย่างไรเล่า? มีแต่พิธีการอะไรไม่รู้ยุ่งยากแทบตายแล้ว... "

ลี่เฟยกล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้ม "ป้าหลัวแลดูมีความสุขยิ่งนัก"

"แน่นอนว่าท่านแม่รอคอยวันนี้มาแสนนานแล้ว มีแต่สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าท่านแม่หวังเรื่องนี้เอาไว้มากถึงเพียงใด ... เรื่องที่ข้ากระทำคราวนี้ล้วนทำเพื่อให้ท่านแม่ดีใจ" ต้วนหลิงเทีนพยักหน้า

นอกเหนือจากการปูเส้นทางของตัวเองแล้ว เหตุผลหลักของต้วนหลิงเทียนนั้นย่อมเป็นการทำเพื่อมารดาของเขา หาไม่แล้วต่อไปประมุขตระกูลต้วนอย่างต้วนหรูหั่วมาโขกหัวอ้อนวอนให้เขากลับเข้าตระกูลต้วน คนอย่างต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดกลับไปเหยียบตระกูลต้วน… แต่หากเพื่อความสุขของมารดาแล้ว เขากระทำได้ทุกสิ่ง

ตระกูลต้วนที่เลือดเย็นและอำมหิตราวก้อนน้ำแข็งทอดทิ้งพวกเขาสองแม่ลูกอย่างไร้ปราณีนั้น แม้ต้วนหลิงเทียนจะกลับเข้าตระกูลไปแล้ว เขาก็หาได้มีความรู้สึกผูกพัน อันใดต่อตระกูลแม้แต่น้อย ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับตระกูลนั้น มีเพียงเรื่องของผลประโยชน์เท่านั้น

รีวิวผู้อ่าน