px

เรื่อง : War Sovereign Soaring The Heavens
บทที่ 201 ก่อนออกเดินทาง


ภายในอาณาจักรนภาล่องแห่งนี้ หากจะนับเรื่องการทหารนั้น แน่นอนว่าผู้ที่มีอำนาจควบคุมกำลังทหารสูงสุดย่อมไม่พ้นเจ้าพระยาเรืองฤทธิ์แห่งจวนเจ้าพระยา แต่นั่นเป็นตำแหน่งเท่านั้น ผู้ที่มีอำนาจทางทหารสูงสุดจริงๆก็คือ แม่ทัพใหญ่แห่งกองทหารม้า พระยาเรืองฤทธิ์ นี่เหวี่ย และแน่นอนหากนับว่าด้านการปกครองนั้นเสาหลักของอาณาจักรที่มีอำนาจสูงสุดย่อมไม่พ้น อัครมหาเสนาบดี อย่างกู้โหย่วถิง

กู้โหย่วถิงผู้นี้สถานะของมันในอาณาจักรนภาล่องกล่าวได้ว่ามิใช่ตัวตนเล็กจ้อย มันแทบจะทำหน้าที่เป็นปากเสียงขององค์ราชาเลยทีเดียว

งานราชการแทบทั้งหมดในด้านบริหารของอาณาจักรนภาล่องล้วนผ่านมือมันทั้งสิ้น นอกจากนี้ตัวมันเองก็เป็นถึงผู้ฝึกยุทธ์ครึ่งก้าวธรรมชาติอีกด้วย

"ที่แท้มันเป็นถึงบุตรชายของอัครมหาเสนาบดี กู้โหย่วถิงผู้นั้น?" ต้วนหลิงเทียนยักคิ้วขึ้นเล็กน้อย  ในขณะจับจ้องไปยังกู้เชวียนที่กำลังเดินมาด้วยอารมณ์เกรี้ยวกราด

ต้วนหลิงเทียนนั้นมั่นใจเต็มเปี่ยม ว่าเขาพึ่งพบเจอกับกู้เชวียนวันนี้เป็นวันแรก

แต่ดูเหมือนกู้เชวียนนั้นจะแสดงท่าทีแค้นเคืองตัว เขาราวกับเขาไปถล่มมารดามันมา นี่ทำให้เขาสับสนไม่น้อย

ตอนนี้ก็นับได้ว่าเป็นเวลากว่า 4 เดือนแล้วที่ต้วนหลิงเทียนอาศัยอยู่ในเมืองหลวงแห่งนี้ ... แน่นอนตัวเขาย่อมรู้เรื่องราวข่าวสารบ้านเมืองไม่น้อย และเรื่องราวของอัครมหาเสนาบดีกู้โหย่วถิงเขาย่อมเคยได้ยินผ่านหูมาบ้าง

ถึงแม้ว่ากู้โหย่วถิงผู้นี้จะไม่ใช่คนที่มาจากตระกูลใหญ่ หรือมีชาติกำเนิดสูงส่งอะไร แต่เพราะมันทำงานจนได้รับความไว้วางใจจากองค์ราชา ไต่เต้ามาเรื่อยๆ จนกระทั่งมีตำแหน่งใหญ่โตอย่างอัครมหาเสนบดีแห่งอาณาจักรนภาล่องจนถึงทุกวันนี้

แม้แต่คนของตระกูลใหญ่ทั้ง 3 แห่งเมืองหลวงเองก็ไม่กล้าล่วงเกินคนของจวนอัครมหาเสนาบดี นี่เพราะเบื้อหลังของอัครมหาเสนาบดีคนนี้คือองค์ราชาผู้มีอำนาจเหนือสุดในอาณาจักรนภาล่องนั่นเอง

ต้วนหลิงเทียนมองอยูกู้เชวียนเดินมาเรื่อยๆจนถึงตัวเขา

คิ้วของต้วนหลิงเทียนโค้งขึ้นเล็กน้อย เพราะกู้เชวียนจ้องเขาตาเขม็งพร้อมกล่าวถามออกมาด้วยน้ำเสียงระคายหู

"ต้วนหลิงเทียน ข้ามานี่เพื่อกล่าวเตือนเจ้า!  เจ้าควรอยู่ให้ห่างๆปี้เหยาเอาไว้!" ใบหน้าของกู้เชวียนนั้นหมองคล้ำอย่างมาก ดวงตาของมันเปล่งประกายดุร้ายในขณะจับจ้องมายังต้วนหลิงเทียน

ตอนนี้มันทำทีท่าราวกับงูปล้องลายเพลิงที่มีพิษร้ายแรง

ได้ยินวาจานี้ของกู้เชวียนแล้ว ต้วนหลิงเทียนพลันกระจ่างแจ้งทันทีว่าเพราะอะไรมันถึงแสดงท่าที่เป็นปรปักษ์กับเขานักหนา...สุดท้ายก็เพราะเรื่ององค์หญิงปี้หยานี่เอง

ในระหว่างที่เดินมาถึงนี่ ตัวเขาเองก็ได้ยินบทสนทนาที่เล่าลือกันไปเลยเถิดระหว่างเขากับองค์หญิงปี้เหยา แต่ต้วนหลิงเทียนแน่นอนว่าไม่คิดแยแสเรื่องไร้สาระพรรค์นี้อยู่แล้ว เพราะจะอย่างไรพวกมันมีปากจะกล่าวอย่างไรกันก็ได้ เขาคงไปห้ามไม่ให้พวกมันกล่าวไม่ได้

สำหรับเขานั้นเรื่องเหลวไหลมันก็เป็นแค่เพียงเรื่องเหลวไหล ถึงแม้เขาจะไม่ได้กระทำหรือมีสัมพันธ์อะไรกับองค์หญิงปี้เหยาดังข่าวลือ แต่เขาก็คร้านที่จะออกไปแสดงตัวแก้ข่าว

ต้วนหลิงเทียนมองไปยังกู้เชวียนด้วยสายตาเรียบเฉย  "ปี้เหยาที่เจ้ากล่าว นี่ใช่องค์หญิงปี้เหยาหรือไม่?"

"ย่อมใช่!" ตากู้เชวียนหรี่ลงก่อนที่จะกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงข่มขู่อีกครั้ง "แล้วเจ้าได้ยินวาจาของข้า รวมทั้งเข้าใจมันชัดแจ้งแล้วหรือไม่!"

สีหน้าของต้วนหลิงเทียนเหนื่อยหน่ายเล็กน้อย ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่เขาไม่ได้มีสัมพันธ์อะไรกับองค์หญิงปี้เหยาอย่างคำกล่าวเพ้อเจ้อของกลุ่มคนเลย  ถึงเขาจะมีจริงๆ แล้วมันไปหนักส่วนไหนของหัวกู้เชวียนด้วยเล่า?

ต้วนหลิงเทียนหัวเราะขำขันสีหน้าราวหมาหวงก้างของกู้เชวียนเล็กน้อย  ดูเหมือนมันจะแค้นใจและเป็นเอามาก!

"แล้วการที่ข้าได้ยินหรือไม่ได้ยินนี่ ผลมันจะต่างกันอย่างไรหรือ?" ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามออกไปด้วยน้ำเสียงเรียบๆ

"ต้วนหลิงเทียน ข้ารู้ดีว่าพรสวรรค์ในเชิงยุทธ์ของเจ้านั้นยอดเยี่ยมมากขนาดไหน อีกทั้งเจ้ายังเป็นถึงทายาทสายเลือดหลักของตระกูลต้วน เป็นคนที่พวกมันให้ความสำคัญอย่างดี ...แต่ในสายตาข้า เจ้าก็ไม่นับเป็นตัวอะไร  เจ้าพอเข้าใจความหมายของข้าหรือไม่!" น้ำเสียงของกู้เชวียนเริ่มเปลี่ยนเป็นอึมครึม

สำหรับกู้เชวียนนั้น มองไปทั่วทั้งเมืองหลวง แม้แต่กระทั่งมองไปทั่วทั้งอาณาจักรนภาล่องแห่งนี้  มีเพียงคนของจวนเจ้าพระยาเรืองฤทธิ์เท่านั้นที่พอมีสถานะสูงส่งเท่าเทียมกับตัวมัน

สำหรับสามตระกูลใหญ่ หรือผู้อื่นที่มีระดับต่ำกว่านั้นแน่นอนว่าไม่ได้อยู่ในสายตาของมันแม้แต่น้อย!

เพราะบิดาของมันเป็นถึง อัครมหาเสนาบดีแห่งอาณาจักรนภาล่อง เป็นตัวตนที่อยู่ใต้เพียง 1 แต่อยู่เหนือทั้งหมด!

"โอ้ ฮ่าๆๆ?" ต้วนหลิงเทียนเทียนเมื่อ ได้ยินก็หัวเราะออกมาโดนพลัน "โทษทีแล้วกันนะ  แต่สำหรับข้า เจ้าเองก็ไม่ได้นับเป็นตัวอะไรในสายตาเช่นกัน ..." เมื่อกล่าวจบต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดสนใจสีหน้าหรือท่าทางดุร้าย ของกู้เชวียน เขาเพียงเลิกให้ความสนใจ ทำกับมันราวตัวโง่งม ก่อนที่จะหันไปพยักหน้าให้เซี่ยวหยูและเซี่ยวฉวินเพื่อเดินทางกลับ...แล้วทั้ง 3 คนก็เดินจากไปทิ้งกู้เชวียนให้ยืนหน้าดำคร่ำเครียดเพียงลำพัง...

“กู้เชวียนบุตรของอัครมหาเสนาบดีผู้นี้ นับว่าหยิ่งยโสไม่น้อย” เซี่ยวหยูขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่าเขาเองก็ไม่ค่อยพอใจท่าทีของกู้เชวียนที่แสดงต่อต้วนหลิงเทียนสักเท่าไร

เซี่ยวฉวินส่ายหัวไปมาก่อนที่จะกล่าวออกมาอย่างช้าๆ  "ข้าว่ามันก็ไม่แปลกหรอกที่มันจะนิสัยเช่นนี้  ก็ในเมื่อบิดาของมันนั้นมีอำนาจที่สูงล้ำเพียงต่ำกว่าองค์ราชาผู้เดียวเท่านั้น จะไม่กร่างได้อย่างไร  นอกจากนี้พรสวรรค์ของกู้เชวียนผู้นี้ก็มิใช่ชั่ว กล่าวได้ว่ามันค่อนไปทางยอดเยี่ยมด้วยซ้ำ นี่หมายความว่ามันเองก็ย่อมมีโอกาสสืบทอดตำแหน่ง อัครมหาเสนาบดีของบิดาต่อเช่นกัน "

ต้วนหลิงเทียนั้นไม่คิดจะต่อปากต่อคำอะไรกับกู้เชวียนให้เสียเวลา มันก็เป็นแค่บุตรชายสันดารเสียของผู้มีอำนาจคนหนึ่ง เป็นพวกลูกพ่อแม่ไม่สั่งสอน ไม่ได้ต่างอะไรไปจากซูถงและชวีลั่งที่เขาจัดการพวกมันไปจนพิการ

เขาก็ไม่ได้คิดใส่ใจอะไร หากไอ้กู้เชวียนบัดซบนี่ไม่มายุ่งวุ่นวายหรือคิดจะล้ำเส้นเขา แต่หากมันลำเส้นเขาเมื่อไหร่ เขาก็จะทำให้มันจดจำไปจนวันตาย!

ในคืนนี้ต้วนหลิงเทียนไม่ได้บ่มเพาะพลังหรือว่าจารึกอาคมใดๆทั้งสิ้น

เพราะเขาได้ตระหนักถึงความฝันอันงดงามครั้งหนึ่งที่เขาเคยวาดฝันเอาไว้...นั่นก็คือการร่วมหลับนอนกับภรรยาทั้ง 2 อย่างพร้อมเพรียงบนเตียง! และรื่นรมย์ไปกับความสัมพันธ์แสนหวานของเขา ...!

และแน่นอนว่าสตรีทั้ง 2 ย่อมรู้ว่าพรุ่งนี้ต้วนหลิงเทียนจะไปสนามรบและอาจจะต้องเดินทางไปเป็นเวลาหลายเดือน...ทั้ง 2 คนจึงยินยอมกระทำตามใจที่มันต้องการทุกสิ่งอย่าง...ทุกสิ่งทุกอย่าง อย่างแท้จริง

ตลอดค่ำคืนนี้ กระทั่งต้วนหลิงเทียนเองก็จำไม่ได้ว่าตัวเขา กระทำรักกับภรรยาทั้ง 2 ไปกี่ท่วงท่า หรือว่าตัวเขาเสร็จสมอารมณ์หมายไปกี่รอบ ...เขารู้เพียงว่าตัวเองเหน็ดเหนื่อยจนไร้เรี่ยวแรงจะขยับเขยื้อนสืบไป  ในที่สุดเขาก็นอนอ่อนเปลี้ยโรยแรงโอบกอดสตรีทั้ง 2 ในอ้อมอก จูบศีรษะพวกนางด้วยความรักแล้วหลับใหลไป

เช้าวันรุ่งขึ้นนั้น สตรีงดงามทั้ง 2 ถึงกับเดินผิดท่าไปเล็กน้อย หลังจากที่พวกนางลุกออกจากเตียง ...ทั้งหมด ล้วนเป็นตัวเลวร้ายบนเตียงที่กำลังนั่งยิ้มชมดูเรือนร่างเปลือยเปล่าของพวกนางที่เต็มไปด้วยร่องรอยทั้งสิ้น!

ร่องรอยการจูบอย่างดูดดื่มนั้นทิ้งค้างไว้บนเรือนร่าง  มันปรากฏให้เห็นอย่างเด่นชัดตามซอกคอและใบหน้าของทั้ง 3 ...เนื่องจากศึกรักบนเตียงในค่ำคืนที่ผ่าน มันช่างร้อนแรงและบ้าคลั่งนัก!

ในมื้ออาหารเช้านั้น ขณะที่ทั้งหมดกำลังรับประทานอาหารอยู่ มีเพียงต้วนหลิงเทียนที่หน้าหนาเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่กินอาหารอย่างไม่รู้สึกอะไรและกระทำตัวเป็นปกติ ส่วนทางด้านสตรีทั้ง 2 นั้นอับอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี เมื่อเจอกับสายตาสงสัยและจับพิรุธของลี่หลัว

ต้วนหลิงเทียนนำอสรพิษน้อยสองตัวออกมาจากแขนเสื้อ ก่อนที่จะลูบหัวพวกมันเบาๆอย่างอ่อนโยน แล้วกล่าวกำชับมันด้วยสายตาจริงจังว่า "เสี่ยวเฮย, เสี่ยวไป๋ พวกเจ้าทั้ง 2 ต้องอยู่ที่บ้าน และคอยปกป้อง เสี่ยวเฟย,เค่อเอ๋อ และมารดาข้าให้ดี เจ้าเข้าใจหรือไม่? "

"ฟื่อ ฟู่ ~" อสรพิษน้อยทั้ง 2 เข้าใจได้เกือบทั้งหมดว่าต้วนหลิงเทียนกล่าววาจาอะไร พวกมันแลบลิ้นส่งเสียงออกมาตอบรับพร้อมกับผงกหัวน้อยๆของมัน

แน่นอนต้วนหลิงเทียนย่อมสังเกตเห็นร่องราวความดื้อดึงเล็กน้อย ที่ไม่ได้ติดตามไปช่วยเหลือเขาจากแววตาอันเฉลียวฉลาดของพวกมัน  ดูเหมือนเจ้าตัวน้อยทั้ง 2 จะเริ่มมีอารมณ์เหมือนมนุษย์แล้ว

....

ที่หน้าประตูบ้าน

ต้วนหลิงเทียนมองไปยังมารดาของเขา ที่กำลังดึงชุดที่ยับๆของเขาให้เข้าที่เข้าทาง  "ท่านแม่ ข้าต้องไปก่อนแล้ว"

"ระวังตัวด้วยนะลูก" ลี่หลัวกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเบาๆ เต็มไปด้วยความกังวล คิ้วของนางขมวดเป็นปมบ่งบอกว่านางรู้สึกไม่สบายใจขนาดไหน ดั่งคำโบราณว่าไว้ ไม่ว่าจะนานสักเท่าไร ในสายตาของมารดา...บุตรย่อมเป็นเพียงเด็กน้อยไปเสมอ นางย่อมเป็นกังวลและห่วงมันทุกครั้งที่ต้องห่างกายจากไปไกล

"ท่านแม่ ไม่ต้องกังวลเลย ข้าไปครั้งนี้แทบจะเหมือนไปเที่ยวพักผ่อนด้วยซ้ำ" ต้วนหลิงเทียนกล่าวพร้อมรอยยิ้ม ก่อนที่จะหันไปมองสตรีทั้ง 2 แล้วกล่าวออกมาว่า "ฝากพวกเจ้าดูแลมารดาข้าด้วย ไม่นานข้าก็กลับมาแล้ว"

เค่อเอ๋อและลี่เฟยพยักหน้ารับคำ ประกายตาของพวกนางสะทกสะท้อนออกมา แสดฃให้เห็นถึงอารมณ์ห่วงใย และกังวล สองตางดงามดั่งมุขมณีของนางทั้งคู่รื้นขึ้นคลอเคล้าไปด้วยน้ำตา

ต้วนหลิงเทียนหันไปมองฉงเฉวียนและ ชิ่งหรู ที่ยืนอยู่ด้านข้างพร้อมกล่าวออกมาด้วยเช่นกัน "ฉงเฉวียน ชิ่งหรู ข้าเองก็ขอฝากบ้านให้พวกเจ้าคอยดูแลด้วย ในขณะที่ข้าเดินทางไปไกล"

"นายน้อยท่านอย่าได้กังวล" ทั้ง 2 คนรีบพยักหน้ารับคำ ภายในดวงตาของชิ่งหรูนั้นแฝงความไม่เต็มใจที่จะให้ต้วนหลิงเทียนไปสนามรบเช่นกัน

นางมักจะรู้สึกขอบคุณต่อนายน้อยผู้นี้ที่มอบความไว้วางใจอย่างถึงที่สุด  เขาไว้วางใจฝากฝังให้นางดูแลเรื่องราวรวมทั้งค่าใช้จ่ายภายในบ้าน และตลอดเวลา 2-3 เดือนที่ผ่านมานี้ เพราะการดูแลอย่างเอาใจใส่ของนายน้อยคนนี้ ครอบครัวของนางก็ได้อยู่อย่างสุขสบายอบอุ่นกินอิ่มนอนหลับไม่เคยขาดเสื้อผ้าของใช้

"เอาล่ะ ทุกคนกลับเข้าบ้านไปได้แล้ว" ต้วนหลิงเทียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนที่จะหันหลังและออกเดินทางทันที เขากังวลว่าหากอยู่นานกว่านี้ เขาจะบังเกิดความลังเลที่จะเดินทาง และไม่เต็มใจที่จะจากบ้านไปขึ้นมา

"จางเฉวียน จ้าวกัง" หลังจากออกจากบ้านมาแล้วต้วนหลิงเทียนก็กล่าวขึ้น

ฟุ่บ! ฟุ่บ!

จางเฉวียนและจ้าวกังได้ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าต้วนหลิงเทียน

"เจ้าทั้ง 2 จะติดตามข้าไปชายแดน หรือจะกลับไปพักที่จวนเจ้าพระยากับครอบครัว?" ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามออกมา เขาไม่ได้คิดบังคับอะไรพวกมัน

"พวกเราจะติดตามท่านไปขอรับนายน้อย" จางเฉวียนและจ้าวกังกล่าวอกมาอย่างพร้อมเพรียง

"เช่นนั้นเจ้าทั้งสองคนก็ปกปิดตัวตนและซ่อนตัวเอาไว้ให้ดีขณะติดตามข้า ... เมื่อพวกเราไปถึงสนามรบเมื่อไหร่ ข้าจะสั่งสอนพวกเจ้า ถึงเคล็ดลับการปกปิดตัวตนและการลอบสังหารที่สูงขึ้นไปอีกขั้น" คิ้วของต้วนหลิงเทียนขมวดลงก่อนที่จะกล่าวกำชับด้วยน้ำเสียงจริงจัง  "เอาล่ะ และก็ถ้าเกิดข้าไม่ได้สั่ง เจ้าทั้งสองคนไม่ได้รับอนุญาตให้เปิดเผยตัวตนออกมาเป็นอัดขาด เข้าใจหรือไม่?"

"ขอรับ"จางเฉวียนและจ้าวกังรีบกล่าวตอบรับคำทันที ก่อนที่แววตาของพวกมันจะเรืองวูบด้วยประกายที่เต็มไปด้วยความต้องการอันไร้สิ้นสุด และเต็มไปด้วยความยินดีอย่างยิ่ง ที่จะได้ร่ำเรียนทักษะเลิศล้ำมากมายเหลือคณาของต้วนหลิงเทียนที่วางแผนจะสอนสั่งพวกมัน

ไม่นานนักต้วนหลิงเทียนก็เดินทางมาถึงสถาบันบ่มเพาะขุนพล และเขาก็มุ่งหน้าตรงไปยังลานฝึกซ้อมหลัก ที่ตอนนี้มีผู้คนมารวมตัวกันอย่างหนาแน่น แน่นอนว่าเกือบทั้งหมดย่อมเป็นนักศึกษาฝ่ายดาวขุนพล

"เฮ่ ต้วนหลิงเทียน!" ต้วนหลิงเทียนเพียงเดินเข้ามาบนลานฝึกซ้อมได้สองก้าว  เขาก็ได้ยินเซี่ยวฉวินที่เห็นตัวเขาก่อน โบกไม้โบกมือส่งเสียงเรียกดังมาแต่ไกล ต้วนหลิงเทียนยิ้มบางๆก่อนที่จะเดินไปหา

"หืม พวกเจ้าสองคนไม่เอาเสื้อผ้าหรือสัมภาระอะไรไปหรือ?" ต้วนหลิงเทียนแสดงสีหน้าสงสัยเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าทั้ง 2 คนมามือเปล่า

เพราะตอนนี้เขาสังเกตเห็นรอบๆ ล้วนแล้วแต่พกพาย่ามสัมภาระกันทั้งสิ้น ขนาดเองก็แตกต่างกันไปในแต่ละคน  แต่แน่นอนว่าล้วนสะพายแบกกันรุงรังราวไอบ้าหอบฟาง!... ทำให้เซี่ยวฉวินและเซี่ยวหยูแลดูแตกต่างจากทั้งหมด ราวกับพวกมันเป็นคนแคระท่ามกลางหมู่ยักษ์อย่างไรอย่างนั้น!

"ฮ่าๆ ดูนี่สิ!" เซี่ยวฉวินยกมือขึ้นมา ก่อนที่จะกระดิกนิ้วที่สวมแหวนลวดลายเรียบๆวงหนึ่ง "ข้าได้รับแหวนมิติมาจากท่านตาเมื่อวานนี้น่ะ"

"ข้าวของสัมภาระทั้งหมดของข้าเอง ก็อยู่ในแหวนมิติของเซี่ยวฉวินเช่นกัน" เซี่ยวหยูกล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้ม

"ต้วนหลิงเทียน แล้วบนมือของเจ้านั่นก็ย่อมเป็นแหวนมิติเช่นกันใช่หรือไม่?" เซี่ยวฉวินจับจ้องไปยังมือของต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาคมกริบดั่งเหยี่ยว ก่อนที่จะจ้องไปยังแหวนบนมือของต้วนหลิงเทียน

ต้วนหลิงเทียนเพียงพยักหน้ารับ

“ต้วนหลิงเทียน ดูเหมือนว่าตระกูลต้วนนั้นให้คุณค่าเจ้าสูงล้ำนัก ขนาดแหวนมิติอันมีค่า พวกเขายังมอบให้กับเจ้าเช่นนี้” แน่นอนว่าเซี่ยวหยูย่อมคิดว่าแหวนมิติที่ต้วนหลิงเทียนได้รับ ย่อมเป็นทางตระกูลส่งมอบให้มา อดไม่ได้ที่มันจะมองด้วยความอิจฉาเล็กน้อย

แม้กระทั่งหลานชายของผู้อาวุโสหลักของตระกูลเซี่ยวแห่งเมืองออโรร่าอย่างมัน ยังไม่มีแหวนมิติใช้งานเลย หากจะกล่าวกันจริงๆแล้วทั้งเมืองออโรร่านั้นมีเพียงประมุขของตระกูลรวมถึงผู้อาวุโสหลักเท่านั้นที่มีแหวนมิติใช้งาน

ต้วนหลิงเทียนเพียงยิ้มบางๆรับคำโดยไม่ได้กล่าวตอบอะไร

"ต้วนหลิงเทียน!" ทันใดนั้นเองพลันมีเสียงเรียกชื่อต้วนหลิงเทียนดังขึ้น ก่อนจะปรากฏร่างชายหนุ่มอายุราวๆ 25 ปี เดินเข้ามาหาต้วนหลิงเทียนพร้อมรอยยิ้มที่อยู่เต็มไปหน้า

"หืม พี่ชายเป็นใครหรือ?" ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามออกมาเมื่อเห็นชายหนุ่มคนนี้เดินเข้ามาหาเขา แน่นอนเขากล่าวถามด้วยน้ำเสียงเป็นมิตรเล็กน้อย เพราะเขาสัมผัสได้ว่าชายหนุ่มที่เรียกชื่อเขาคนนี้ไม่มีความเป็นศัตรูแม้แต่น้อย ซ้ำยังแลดูยิ้มแย้มอารมณ์ดีอย่างมาก

"แหะๆ ข้ามีนามว่าต้วนฉู่ เป็นสาวกจากตระกูลต้วนสาขาคนหนึ่งเช่นกัน แล้วข้าก็อยู่ชั้นปีที่ 6 แล้ว ...เอ๊า...ต้วนหลิงเทียน นี่เป็นของ ที่ท่านประมุขฝากข้ามามอบให้กับเจ้าน่ะ" ชายหนุ่มแข็งแรงใบหน้ายิ้มแย้มแบกสัมภาระใบโตหยิบแหวนวงหนึ่งลวดลายเรียบง่ายยื่นส่งไปให้ต้วนหลิงเทียน

มันเป็นแหวนมิติ!

ภายใต้การจ้องมองตาไม่กระพริบพร้อมเต็มไปด้วยความตกตะลึงของเซี่ยวหยูและเซี่ยวฉวิน ต้วนหลิงเทียนเพียงแย้มยิ้ม ก่อนที่จะยื่นมือไปรับพร้อมกล่าววาจา "โอ้ ข้าต้องขอขอบคุณพี่ชายมากที่ลำบาก"

"ฮ่าๆ อย่าได้เกรงใจเลย ข้าไปก่อนนะ" หลังจากส่งมอบแหวนมิติให้ต้วนหลิงเทียนแล้วต้วนฉู่ก็หัวเราะออกมาอย่างร่าเริงก่อนที่จะรีบจากไปหาสหายของมัน

หลังจากที่ต้วนหลิงเทียนผูกมัดแหวนมิติแล้ว เขาก็ตรวจสอบด้านในเล็กน้อย นอกจากเงินไม่กี่ล้านเหรียญเงินแล้ว เขาก็ไม่พบอะไรในแหวนมิติวงนี้อีก

พื้นที่ในแหวนมิตินี้มีเพียง 1 ตารางเมตรเท่านั้น กล่าวได้ว่ามันเป็นแหวนมิติที่มีระดับต่ำที่สุด ดูท่าแล้วคงเป็นแหวนมิติที่ประมุขของตระกูลต้วนเคยใช้เมื่อนานมาแล้ว

"ต้วนหลิงเทียน นี่เป็นไปได้หรือไม่... ที่แหวนมิติบนมือเจ้านั้น เจ้าไม่ได้รับมันมาจากตระกูลต้วน?"เซี่ยวหยูมองไปยังต้วนหลิงเทียนด้วยความประหลาดใจ และเต็มไปด้วยความสงสัย

"อ๋อวงนี้ข้าได้รับมันมาจากผู้อาวุโสหลักน่ะ แต่ข้าไม่คิดเลยว่าประมุขตระกูลจะมอบให้ข้าอีกวงเช่นนี้ สงสัยพวกเขาจะไม่ได้พูดคุยกันล่ะมั้ง...เอาล่ะ ข้าเอาเงินออกมาแล้ว เจ้าก็เอาแหวนนี่ไปใช้สิเซี่ยวหยู" ต้วนหลิงเทียนกล่าวข้ออ้างลอยๆขึ้นมา ก่อนที่จะหยิบเงินออกจากแหวนมิติวงใหม่ พร้อมกับยกเลิกสัญญาผูกมัดแหวนมิติ แล้วยื่นส่งไปให้เซี่ยวหยู

 

รีวิวผู้อ่าน