px

เรื่อง : War Sovereign Soaring The Heavens
บทที่ 202 ออกเดินทาง


แม้ต้วนหลิงเทียนจะยื่นแหวนมิติมาให้พร้อมรอยยิ้ม ...แต่อย่างไรก็ตามเซี่ยวหยูไม่ได้ยื่นมือไปรับแหวนมิติที่ต้วนหลิงเทียนยื่นส่งมาให้ เขาส่ายหัวไปมาพร้อมกล่าวคำด้วยความเกรงใจ  “ต้วนหลิงเทียน สิงนี้มันมีค่ามากเกินไป ข้าไม่กล้ารับไว้หรอก เจ้าเก็บไว้ใช้เองหรือให้แม่นางลี่เฟยจะดีเสียกว่า”

ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวพร้อมรอยยิ้ม ก่อนที่จะเอื้อมมือไปจับมือเซี่ยวหยู ก่อนที่จะยัดแหวมิติลงกลางฝ่ามือ จัดแจงพับมือมันให้กำไว้เรียบร้อย ก่อนที่จะกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง “ข้าบอกให้เจ้าก็เอาไปซี่ ...ตั้งแต่เมื่อไหร่กันเล่า ที่เจ้าหัดกระทำตัวยึกยักเช่นนี้”

ดวงตาของเซี่ยวหยูสะท้อนอารมณ์ขอบคุณออกมา  ไมตรีครั้งนี้ของสหาย ตัวเขาจะจดจำเอาไว้ ตอนนี้เขาไม่คิดกล่าวคำปฏิเสธอีกต่อไป เพราะจะอย่างไรเขาก็อยากได้จริงๆ หากปฏิเสธตอนนี้ ก็เป็นการเสแสร้งแกล้งทำแล้ว

"ขอบใจเจ้ามาก" เซี่ยวหยูยิ้มให้ต้วนหลิงเทียน ในหัวใจรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาเพราะคำว่ามิตรภาพ

แหวนมิติ เป็นสิ่งของที่มีเพียงผู้หลอมศาสตราระดับ 7 ขึ้นไปเท่านั้นที่สามารถหลอมสร้างได้

และแม้ว่ามันจะไม่ใช่อาวุธวิญญาณ แต่มันก็ค่อนข้างหาได้ยากอย่างยิ่ง สนนราคาต่ำๆ ก็ตกอยู่ที่ 2-3 ล้านเหรียญเข้าไปแล้วสำหรับแหวนมิติระดับต่ำสุด! อีกทั้งยังมีแต่คนต้องการหาได้มีสินค้าสำหรับขายที่เพียงพอไม่

"รองผู้อำนวยการมาถึงแล้ว!" ทันใดนั้นเสียงของใครสักคนก็ดังขึ้นแจ้งเตือนการมาถึงของรองผู้อำนวยการ ทั้งลานฝึกซ้อมล้วนเงียบเสียงลง ทุกสายตาจับจ้องไปยังร่างชายชราที่สวมชุดคลุมสีเทาที่กำลังเดินเข้ามา

ชายชราสวมชุดคลุมสีเทาผู้นี้ระหว่างคิ้วเผยให้เห็นร่องรอยความน่าพรั่นพรึง สองเท้าก้าวอย่างสง่างามราวกับจะทะลวงผ่านชั้นฟ้า เขาคือรองผู้อำนวยการสถาบันบ่มเพาะขุนพล จ่านฉง

หลังจากที่จ่านฉงมาถึง เขาก็กล่าวออกมาด้วยวาจาเสียงดัง  "นักศึกฝ่ายดาวขุนพลย้ายมายืนทางด้านขวา ส่วนฝ่ายดาวกุนซือไปยืนด้านซ้ายมือ"

สิ้นคำจ่านฉงนักศึกษาทั้งหมดล้วนขยับตัวจัดแถวด้วยความเร็วสูง

นักศึกษาจากฝ่ายดาวขุนพลนั้นมีจำนวนมากถึง 300 คน ยามจัดแถวรวมตัวกันอย่างมีระเบียบแลไป ก็ดูทรงพลังไม่น้อย

ในขณะที่ฝ่ายดาวกุนซือนั้นมีจำนวนเพียง 12 คนเท่านั้น...

แค่กลุ่มต้วนหลิงเทียนเซี่ยวหยูและเซี่ยวฉวิน 3 คนก็กล่าวได้ว่า เป็นกลุ่มใหญ่จำนวน 1 ใน 4 ของทั้งหมดแล้ว

ต้วนหลิงเทียนก็สังเกตได้ว่ากู้เชวียนเองก็เข้าแถวอยู่ด้วยเช่นกัน และนอกจากมันก็มีชายคุ้นหน้าอีก 2 คนที่ยืนใกล้ๆกันกับมัน

ต้วนหลิงเทียนจดจำได้ว่า ชายทั้ง 2 นั้นก็อยู่ด้วยกันกับมันเมื่อวานนี้

และตอนนี้เองเมื่อกู้เชวียนสังเกตเห็นกลุ่มของต้วนหลิงเทียนทั้ง 3 สีหน้าของมันก็ดิ่งลงโดยพลัน

"รองผู้อำนวยการ!" กู้เชวียนพลันโพล่งคำออกมาด้วยน้ำเสียงดังกึกก้อง ระงับเสียงสนทนาเซ็งแซ่ทั้งลานฝึกซ้อมได้เงียบกริบ

"หืม?" จ่านฉงหันไปมองกู้เชวียนทันทีหลังจากที่ได้ยินเสียงตะโกนของมัน แน่นอนว่าตัวเขาเองย่อมรู้จักบุตรชายของอัครมหาเสนาบดีอยู่แล้ว "กู้เชวียนเจ้ามีเรื่องอันใดคิดกล่าวงั้นหรือ?"

"รองผู้อำนวยการจากความรู้ของข้า ข้าจดจำได้ดีว่า เกณฑ์ขั้นต่ำสุดของสถาบันบ่มเพาะของเรานั้น สำหรับการเข้าสู่สนามรบ หากเป็นนักศึกษาฝ่ายดาวขุนพล ขั้นต่ำคือต้องเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 2  ส่วนฝ่ายดาวกุนซือนั้นขั้นต่ำต้องอยู่ในระดับชั้นปีการศึกษาที่ 4 ... แต่ 3 คนนั่น มันเป็นเพียงนักศึกษาชั้นปีที่ 1 ของฝ่ายดาวกุนซือ ข้าสงสัยว่าพวกมันต้องการใช้ประโยชน์จากความวุ่นวายแอบลอบเข้ามาปะปนกับพวกเรา เพื่อหวังติดสอยห้อยตามไปยังแนวรบที่ชายแดนด้านตะวันตกเฉียงเหนือ" กู้เชวียนชี้ไปยังกลุ่ม 3 คนของต้วนหลิงเทียน ก่อนที่จะกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงดังกังวาน แววตาของมันฉายชัดออกมาถึงความดูแคลน

ไม่นานทุกสายตาของนักศึกษาล้วนจับจ้องมายังกลุ่มของต้วนหลิงเทียน

"หืม นั่นไม่ใช่ต้วนหลิงเทียนหรือไร?"

"มิผิด และ 2 คนที่อยู่ด้านข้างของต้วนหลิงเทียนนั่น  ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 1 ฝ่ายดาวกุนซือเช่นเดียวกัน"

"มันจะเป็นไปได้หรือ ที่พวกเขาวางแผนคิดใช้ประโยชน์จริงดังกล่าว  พวกเขากล้าแอบปะปนไปกับพวกเรา ลอบไปแนวรบที่ชายแดนตะวันตกเฉียงเหนือเช่นนี้จริงๆ?"

"ฮึ่ม! ตราบใดที่พวกมันไม่มีชื่อในรายชื่อเรียกกำลังพล พวกมันไม่มีวันได้ใช้ประโยชน์จากการปะปนไปเป็นแน่!"

...

นักศึกษาหลายต่อหลายคนล้วนชี้และมองมายังกลุ่มของต้วนหลิงเทียนก่อนที่จะสนทนากันอย่างออกรส

กู้เชวียนเหลือบมองกลุ่มของต้วนหลิงเทียนด้วยความพึงพอใจ มุมปากของมันแสยะยิ้มขึ้นมาด้วยความเย็นชา ราวกับว่ามันเห็นภาพรองผู้อำนวยการไล่ตะเพิดกลุ่ม 3 คนของต้วนหลิงเทียนให้ไสหัวไปอย่างไรอย่างนั้น

"ไอกู้เชวียนบัดซบนี้น่ารังเกียจนัก ชั่งอุบาทว์ราวแมลงวันในกองอาจมสุนัข!" สีหน้าของเซี่ยวฉวินเคร่งขึ้น สายตาของมันกระพริบวูบวาบออกมาอย่างเกรี้ยวกราด

"เหอะ!" ต้วนหลิงเทียนจ้องมันด้วยสายตาเย็นชาก่อนที่จะก้าวออกไปข้างหน้า

ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกมาก่อนที่กู้เชวียนจะได้กล่าวอะไรต่อ ซ้ำเขายังกล่าวด้วยเสียงดังลั่นราวกับจะตะโกนให้ถึงชั้นฟ้า  "กู้เชวียนในเมื่อเจ้าเอ่ยถึงเรื่องกฎเกณฑ์  เหตุใดข้าไม่เคยได้ยินว่ามันมีกฎเกณฑ์บัดซบข้อใดที่ห้ามไม่ให้นักศึกษาชั้นปีที่ 1 ของฝ่ายดาวกุนซือเข้าร่วมสนามรบ ระบุไว้ในข้อบังคับกันเล่า? "

"เฮอะ!" กู้เชวียนหันไปสบถใส่ต้วนหลิงเทียน ก่อนที่จะกล่าวทัดทานออกมาด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันพร้อมท่าทางเยาะเย้ย "แม้ว่ามันจะไม่มีกฎเกณฑ์ที่ระบุเอาไว้อย่างชัดเจน แต่อย่างไรนี่ก็เป็นประเพณีที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาของสถาบันบ่มเพาะขุนพลแต่ครั้งอดีต...ข้ามั่นใจว่าพวกเจ้าทั้ง 3 คน ย่อมหวังมาเสี่ยงโชคโดยอาศัยการปะปนไปกับผู้คน!"

"ประเพณีงั้นรึ?" ประกายตาของต้วนหลิงเทียนเรืองวูบออกมาด้วยความเย็นชา ก่อนที่จะกล่าวสวนไปอย่างเผ็ดร้อน “เจ้ากล่าวถึงเรื่องประเพณี แต่ประเพณีมันก็เท่านั้น หรือประเพณีบัดซบนี่ไม่อาจฝ่าฝืนได้? เจ้ากล่าวว่าพวกข้าคิดอาศัยจังหวะชุลมุนปะปนหาผลประโยชน์งั้นหรือ... เหอะๆ เจ้าอาศัยอะไรถึงกล้ากล่าววาจาเหลวไหลบัดซบไร้หลักฐานเช่นนี้!! ใช่เพียงเพราะเจ้าเห็นพวกข้าเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 1 เจ้าจึงคิดว่าพวกข้าด้อยกว่าเจ้าเช่นนั้นหรือไร? เจ้าคิดว่าพวกเราไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเข้าร่วมเช่นนั้นรึ?”

 

"เรื่องนั้นมันย่อมแน่นอนอยู่แล้ว นักศึกษาชั้นปีที่ 1 โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝ่ายดาวกุนซือเช่นนี้... เจ้าจักรู้เรื่องราววิถีแห่งกลยุทธ์สักเท่าใดกัน แม้เจ้าจะกระเสือกระสนจนเข้าร่วมรบได้สำเร็จ แต่จะอย่างไรเจ้าก็เป็นได้เพียงภาระผู้อื่นเท่านั้นล่ะ พวกเด็กน้อย!" กู้เชวียนกล่าวออกมาพร้อมเสียงหัวเราะเย้ยหยัน วาจาของมันเต็มไปด้วยความดูถูกเหยียดหยามและรังเกียจกลุ่ม 3 คนของต้วนหลิงเทียน

"พอได้แล้ว!" ตอนนี้เองจ่านฉงพลันกล่าวขัดจังหวะออกมา "กู้เชวียนกลุ่มของต้วนหลิงเทียนทั้ง 3 นี้มีอยู่ในรายชื่อกำลังพลสำรอง เจ้าอย่าได้สงสัยอีกเลย ... ต้วนหลิงเทียนนั้นได้รับการเสนอชื่อและแนะนำจากอาจารย์ซือหม่าฉางฟงโดยตรง ส่วนทางด้านเซี่ยวหยูกับเซี่ยวฉวินนั้น พวกมันได้รับการเลือกโดยเฉพาะเจาะจง ให้เข้าร่วมกองกำลังสำรอง ด้วยความต้องการของแม่ทัพควบคุมกองกำลังสำรอง นี่เฝินแห่งจวนเจ้าพระยาเรืองฤทธิ์ "

"เหอะ! ก็แค่เด็กน้อย 3 คนที่เข้ามาได้เพราะอาศัยเส้นสาย" กูเชวียนหันไปมองกลุ่มของต้วนหลิงเทียนด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความดูแคลนหยามเหยียด เมื่อได้ฟังคำกล่าวของจ่านฉง

สีหน้าของเซี่ยวหยูและเซี่ยวฉวินเองก็จมลงทันทีหลังจากได้ยินคำกล่าวของกู้เชวียน

ต้วนหลิงเทียนมองไปยังกู้เชวียน ด้วยรอยยิ้มเย็นชา ก่อนที่จะค่อยๆถ่มน้ำลายออกมาแล้วกล่าววาจาด้วยสายตารังเกียจ "ตัวโง่งมปัญญาอ่อน!"

"เจ้ากล่าวอันใด?!" สีหน้าของกู้เชวียนเปลี่ยนเป็นดุร้ายเกรี้ยวกราด ต้วนหลิงเทียนมันกล้าเรียกเขาตัวโง่งมปัญญาอ่อน?

ในฐานะบุตรของอัครมหาเสนาบดีแห่งอาณาจักรนภาล่อง นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตของมันที่ถูกคนด่าทอหยามหยันต่อหน้าผู้คนเช่นนี้!

หน้าอกของมันกระเพื่อมขึ้นลงอย่างรุนแรงด้วยโทสะ!

ต้วนหลิงเทียนนั้นด่าทอมันเสร็จก็หันหน้าไปทางอื่นไม่คิดใยดีอะไรมัน  มันอยากจะโกรธจะแค้นจะทำอะไรก็ให้มันเป็นบ้าไปแต่เพียงผู้เดียว ปล่อยให้มันจมอยู่กับโทสะของมันไป เขาคร้านจะไปต่อล้อต่อเถียงกับสุนัข!

"ต้วนหลิงเทียน!" สีหน้าของกู้เชวียนแดงก่ำเพราะโทสะที่สุมในอก เขากล่าวพึมพำออกมาพร้อมกับจ้องต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาเย็นชา ก่อนที่จะสาปแช่งในใจ "รอไปก่อนเถอะ ข้าจะให้เจ้าได้ตายไร้ที่ฝังในไม่ช้า!!"

ถึงแม้ตอนนี้มันจะไม่ต้องการอะไรมากไปกว่า พุ่งไปซัดต้วนหลิงเทียนให้ตกตาย แต่มันก็มีความประหวั่นอยู่ในใจ...

เรื่องแรกคือตอนนี้รองผู้อำนวยการอยู่ที่นี่ด้วย หากมันผลีผลามลงมือต่อหน้าไม่แคล้วต้องถูกขับไล่ ออกจากสถาบันจนหมดสิ้นอนาคต

ประการที่ 2 หากต้วนหลิงเทียนใช้จารึกอาคมแปลกประหลาดอันใดออกมา มันก็คงไม่อาจต้านทานได้

เพราะจากเรื่องราวที่มันเคยได้ยินมา กระทั่งชวีลั่งบุตรชายของผู้บัญชาการกองกำลังทหารองครักษ์ชวีลู่ ที่มีระดับบ่มเพาะอยู่ในขั้นผู้ฝึกยุทธ์ระดับกำเนิดแก่นแท้ขั้นที่ 2 ยังถูกทำลายตันเถียนเพราะจารึกอาคมของต้วนหลิงเทียน

นั่นทำให้มันบังเกิดความหวาดกลัว อาคมจารึกของต้วนหลิงเทียนอยู่ในใจ  หากมันไม่มีความมั่นใจวาจะสามารถสังหารต้วนหลิงเทียนลงได้อย่างแน่นอน มันไม่คิดที่จะลงมือวู่วามเด็ดขาด

ในฐานะบุตรชายของอัครมหาเสนาบดีแน่นอนว่ามันไม่ใช่คนงี่เง่าโง่งมอะไร เพราะมันยังพอมีสมองเช่นนี้ ถึงแม้มันจะรังเกียจต้วนหลิงเทียนถึงขนาดไหน มันก็ไม่คิดลงมืออะไรผลีผลาม

"กู้เชวียนนี่นับว่ามีความอดทนไม่น้อย" ต้วนหลิงเทียนเหลือบไปมองกู้เชวียนที่นิ่งอยู่กับที่ไปด้วยหางตา เขาอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจเล็กน้อยที่มันไม่แสดงท่าทางอะไรออกมามากเกินกว่านั้น

สำหรับเขาดูเหมือนกู้เชวียนผู้นี้ค่อนข้างอันตรายมากกว่าซูถงและชวีลั่ง ... เพราะมันยังรู้จักอดกลั้น

บุคคลประเภทนี้ย่อมมีความน่ากลัวไม่น้อย เพราะพวกมันจะเฝ้ารอโอกาสจากที่ลับ เมื่อได้จังหวะเหมาะสมแล้วมันถึงจะลงมือ

"เอาล่ะพวกเจ้าทุกคนให้เดินเรียงแถวไปยังประตูทางออกได้ ตอนนี้แม่ทัพนี่เฝิน ได้สั่งให้คนจัดเตรียมม้าชั้นดีสำหรับพวกเจ้าเอาไว้แล้ว และตอนนี้ทั้งหมดกำลังรอพวกเจ้าอยู่" ไม่นานนั้นแถวของนักศึกษาของสถาบันบ่มเพาะขุนพลทั้ง 312 คนก็เคลื่อนตัวไปยังประตูทางออกด้วยการนำของรองผู้อำนวยการจ่านฉง

ด้านนอกประตูมีทหารกว่า 300 คนสวมชุดเกราะเต็มยศกำลังนั่งอยู่บนหลังม้าอย่างสง่างม แต่ละคนลากจูงม้าไว้อีก 1 ตัว

แน่นอนว่าม้าชั้นเลิศเหล่านี้ล้วนตระเตรียมเอาไว้ให้กลุ่มนักศึกษาจากสถาบันบ่มเพาะขุนพล

“รองผู้อำนวยการจ่าน” ชายร่างกายกำยำสวมชุดเกราะหนักควบม้ามาทางรองผู้อำนวยการอย่างช้าๆ ก่อนที่จะมาถึงหน้าจ่านฉงและทำการคำนับลงเล็กน้อย

ต้วนหลิงเทียนเองก็หันไปมองชายที่มีหนวดเคราครึ้มและขนคิ้วสีน้ำตาลคนนั้นด้วยเช่น เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย เพราะสัมผัสได้ว่าชายผู้นี้มีระดับบ่มเพาะที่สูงไม่เบา เขาเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับวิญญาณแรกก่อตั้งที่แข็งแกร่งคนหนึ่ง

"รองแม่ทัพเจียว ทั้งหมดนี่เป็นนักศึกษาที่มีรายชื่อเข้าร่วมกองกำลัง" จ่านฉงกล่าวออกมาอย่างช้าๆ

"อ่า... ลำบากท่านแล้วรองผู้อำนวยการ" ชายเคราครึ้มพยักหน้ารับคำ ก่อนที่จะกล่าวสั่งออกมาด้วยน้ำเสียงเข้มแข็ง  "นักศึกษาของสถาบันบ่มเพาะขุนพล มารับม้าของพวกเจ้า!"

ทันใดนั้นเหล่านักศึกษาทั้ง 312 คนก็แยกย้ายกันไปกระโดขึ้นม้าของใครของมัน ต้วนหลิงเทียนและสหายเองก็ด้วย

ม้าทั้งหมดมีเพียง 312 ตัวพอดีไม่ขาดไม่เกิน

"เอาล่ะ เช่นนั้นข้าก็คงต้องขอลาก่อนแล้ว ท่านรองผู้อำนวยการ!" ชายเคราครึ้มประสานมืออำลาจ่านฉงก่อนที่จะดึงบังเหียน  ตบเท้าข้างลำตัวม้า เคลื่อนที่ไปด้านหน้า "ออกเดินทางได้!"

ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนกับเซี่ยวหยูและเซี่ยวฉวินก็ควบม้าติดตามไปอยู่ในขบวนอย่างมีระเบียบ พวกเขาตามหลังชายเคราครึ้มไป แถวทัพแลดูแข็งแกร่งองอาจนัก

ในระหว่างทางขบวนม้าเอิกเกริกเช่นนี้ย่อมดึงดูดความสนใจของเหล่าชาวเมือง อีกทั้งกองกำลังทหารนี่นับว่าเป็นสิ่งที่ชาวเมือง รวมถึงคนทั้งอาณาจักรภาคภูมิใจ ชาติบ้านเมืองล้วนแลกมาด้วยเลือดเนื้อของทหารทั้งสิ้น!

"หืม นี่เป็นกองกำลังสำรองของสถาบันบ่มเพาะขุนพลที่จะถูกส่งไปเสริมแนวรบที่บริเวณชายแดนด้านตะวันตกเฉียงเหนือใช่หรือไม่?"

"อาอย่างที่ข้าคาดเอาไว้ไม่มีผิด เหล่านักศึกษาของสถาบันบ่มเพาะขุนพลช่างสง่างาม องอาจ เข้มแข็งนัก"

"เอ๊ะ เหตุใดถึงมีเด็กน้อยอยู่ด้วยเล่า ... หืม ใส่เสื้อสีม่วงซ้ำยังวัยเยาว์เช่นนี้  ...นั่นเขาใช่ต้วนหลิงเทียน ชายหนุ่มมากพรสวรรค์! อัจฉริยะไร้ผู้ต้านของตระกูลต้วนที่ร่ำลือหรือไม่?

"น่าจะเป็นเขานี่ล่ะ! นอกจากเขาแล้วนักศึกษาของสถาบันบ่มเพาะขุนพลคงหามีผู้ใดเยาว์วัยเช่นนี้"

...

ไม่นานผู้คนทั้งหมดก็ล้วนให้ความสนใจ และจับจ้องไปยังต้วนหลิงเทียน

ไม่นานต้วนหลิงเทียนก็กลายเป็นจุดศูนย์รวมความสนใจแต่เพียงผู้เดียวของขบวน

"ฮึ่ม!" สีหน้าท่าทางของกู้เฉวียนยิ่งมายิ่งอัปลักษณ์ เมื่อมันเห็นว่าต้วนหลิงเทียนได้รับความสนใจมากมาย แววตาของมันก็ยิ่งดุร้ายมากยิ่งขึ้น

วังองค์ชาย 5

ชายหนุ่มที่มีท่วงท่าสง่างามกำลังนั่งอยู่กับผู้บัญชาการสวมชุดเกราะอ่อน

ชายหนุ่มคนนั้นจ้องมองไปยังผู้บัญชาการก่อนที่จะกล่าวออกมาอย่างช้าๆว่า  "ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนน่าจะออกเดินทางแล้ว"

"คราวนี้ข้าจะให้มันไปได้ แต่กลับไม่ได้!" สายตาของผู้บัญชาการแลดูดุร้าย เต็มเปี่ยมไปด้วยความอำมหิตและความแค้น

"ผู้บัญชาการชวี ท่านอย่าได้กล่าวเร็วไปนัก ...ท่านอย่าได้ลืมว่าต้วนหลิงเทียนมีอาคมจารึกที่ร้ายกาจที่สามารถสังหารเหล่าผู้ฝึกยุทธ์ระดับกำเนิดแก่นแท้เอาไว้ในครอบครอง  จากที่ข้ารู้มา กระทั่งสุดยอดอัจฉริยะของตระกูลซูอย่างซูถงที่มีระดับบ่มเพาะสูงถึงระดับกำเนิดแก่นแท้ขั้นที่ 3 ยังถูกอาคมร้ายกาจของต้วนหลิงเทียนทำลายตันเถียนจนพิการ " ใบหน้าชายหนุ่มปรากฏความหวาดกลัวออกมาเล็กน้อย

"เรื่องนี้องค์ชาย 5 อย่าได้กังวล ผู้ฝึกยุทธ์ที่ข้าส่งไปนั้น มันอยู่อยู่ในระดับวิญญาณแรกก่อตั้ง! การลงมือครั้งนี้แน่นอนว่าย่อมประสบผลสำเร็จเป็นแน่!!" ผู้บัญชาการชวีคนนี้แน่นอนว่าย่อมเป็นผู้บัญชาการกองกำลังทหารองครักษ์ชวีลู่

ตั้งแต่ที่เขาพบว่าต้วนหลิงเทียนนั้นได้เข้าร่วมกองกำลังสำรองที่จะเสริมทัพที่แนวรบทางด้านชายแดนตะวันตกเฉียงเหนือ เขาก็วางแผนการณ์ที่เรียกได้ว่าอุกอาจอย่างมากขึ้นมา และนั่นคือการส่งคนไปแฝงตัวไปในกองกำลังสำรอง เพื่อลอบสังหารต้วนหลิงเทียน!!

 

รีวิวผู้อ่าน