px

เรื่อง : The Strongest System จบแล้ว!!!
บทที่ 115 10 ศิษย์อัจริยะสายนอก ก็มา!!


บริเวณด้านหลัง มีคนกลุ่มหนึ่งกำลังเดินมาอย่างช้าๆจากระยะไกลๆ ท่วงท่าของพวกเขาแลดูทระนงราวกับขุนเขาให้กลิ่นอายที่ผู้อื่นรู้สึกไปว่าไม่สามารถจับต้องได้

เฟิ่งปู้จู่เหลือบมองและอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วขึ้นมา แท้จริงแล้วกลับเป็นพวกเขา

"สวรรค์ กลุ่มคนเหล่านี้คือ 10 ศิษย์อัจฉริยะสายนอกนี่!"

"คนผู้นั้นคือ อี้เทียนเฉา!"

"ไม่อยากจะเชื่อ แม้กระทั่ง จิ้งเทียนหง เองก็มาด้วย!"

"

"มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ วันนี้มีเหตุอันใดเกิดขึ้นหรือไม่ ใย 10 ศิษย์อัจฉริยะของสายนอกกลับมาปรากฏตัวพร้อมเพรียงกันโดยไม่ได้นัดหมายเช่นนี้เล่า"

“แม้แต่ เมิ่งฮ่าว! ที่มักเก็บตัวบ่มเพาะอย่างสันโดษเป็นระยะเวลานานๆ ก็มาที่นี่ด้วย”

"ให้ตายเถอะ นี่มันต้องเกิดเรื่องร้ายแรงอันใดใหญ่โตแน่นอน การที่เหล่าศิษย์สายนอก ที่เป็นอัจฉริยะทั้ง 10 จะมารวมตัวกันได้เช่นนี้ ตั้งแต่ข้าอยู่มาไม่เคยมีเรื่องเช่นนี้มาก่อน"

ตอนนี้เหล่าศิษย์สายนอกต่างพากันตื่นเต้นกับสิ่งที่ได้ พวกเขาไม่เคยเห็นภาพเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อนเลย ไม่สิอันที่จริงพวกเขาไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่าจะมีโอกาสได้เห็นภาพเหตุการณ์เช่นนี้ การที่เหล่า 10 ศิษย์อัจฉริยะที่เป็นตัวแทนของความแข็งแกร่งที่ทุกคนใฝ่ฝันจะมารวมตัวกันได้ครบทุกคนเช่นนี้ ช่างเป็นปรากฏการณ์ที่หาได้ยากยิ่ง

"ศิษย์น้อง นี่มันเกิดอันใดขึ้นกัน!" ซั่งเอ้อกั๋วเองก็ตกตะลึงและหวาดกลัวกับการปรากฏตัวของกลุ่มคนเหล่านี้ 10 คนนี้ไม่ว่าผู้ใดล้วนเป็นตัวตนที่ต้องให้ทุกคนแหงนมองทั้งสิ้น การที่พวกเขามาอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าเช่นนี้แทบจะสั่นคลอนปฐพีแล้ว

และตัวเฟิ่งปู้จู่เองก็เคยเป็น 1 ใน 10 ศิษย์อัจฉริยะสายนอก ตัวมันเองก็ควรจะมีความเห็นเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นนี้บ้าง

"อา ... ศิษย์พี่ ข้าเองก็ไม่รู้ แต่ข้ารู้เพียงว่าพวกเขาเป็นคนที่พวกเราไม่สามารถล่วงเกินได้ ท่านเห็นชายที่ดูท่าทางเย็นชาคนนั้นหรือไม่คนที่พกกระบี่คู่ สีขาว-ดำ ไว้ด้านหลังผู้นั้นน่ะ?" เฟิ่งปู้จู่จับจ้องไปยังกลุ่มคนที่กำลังเดินมาอย่างระวัง

"หือ ข้าเห็นแล้ว เขาทำไมหรือ?"

"เขาคนนั้นเป็นคนที่ลึกลับที่สุดในบรรดาคนพวกนั้น ตัวข้าเองก็เคยไปท้าทายเขา แต่ว่า ... " เฟิ่งปู้จู่หยุดลงเล็กน้อยท่าทางของเขาตอนนี้กลับแลดูหวาดกลัวอะไรบางอย่างเพราะแววตาของเขาแลดูหวาดผวาและซีดลงอย่างมาก

"แต่ว่า อะไรหรือ บอกมาเร็วอย่ามาหลอกให้อยากแล้วจากไปนะ?" ซั่งเอ้อกั๋วกล่าวถามออกมาอย่างอดไม่ได้

"แข็งแกร่ง...เป็นความแข็งแกร่งอย่างเหนือชั้น ในยามที่ข้าประมือกับเขา ข้าไม่แม้แต่จะทำให้เขาชักกระบี่ออกมาได้ด้วยซ้ำ อาศัยเพียงแค่กระบี่ไร้สภาพ ที่กลั่นจากพลังงานที่แท้จริงของเขาอย่างไม่ใส่ใจอะไร ก็เอาชนะข้าได้อย่างง่ายดาย ไร้หนทางต่อต้านแม้เพียงนิด" เมื่อระลึกถึงการต่อสู้ครั้งนั้นอดไม่ได้ที่เฟิ่งปู้จู่จะสั่นสะท้านขึ้นมา ราวกับว่าเขาได้ย้อนกลับไปวันนั้น วันที่เขาเจอขบวนพยุหะกระบี่ไร้สภาพที่ราวกับไร้ที่สิ้นสุดกระหน่ำถาโถมเข้ามา

แข็งแกร่ง เป็นความแข็งแกร่งที่แทบจะไม่น่าเชื่อว่ามนุษย์คนหนึ่งจะครอบครองได้...

"และท่านเห็นคนที่แต่งกายประหลาดและแลดูแปลกๆผู้นั้นหรือไม่ ท่านอย่าได้ให้รูปลักษณ์ภายนอกของมันหลอกท่านได้ล่ๆ แล้วท่านก็อย่าเผลอไปดูแคลนมันเชียว มีข่าวลือว่ามันเป็นผู้ฝึกตนระดับเทพสวรรค์ที่บรรลุวิชาคงอยู่เหนือวัฏสงสารกลับชาติมาเกิดใหม่ เนื่องเพราะมันแข็งแกร่งและมีความรอบรู้อย่างมากทั้งยังเคยประลองกับศิษย์อัจฉริยะจากสายในที่มีระดับบ่มเพาะมากกว่าหลายเท่า โดยที่หาตัวผู้ชนะไม่ได้" เฟิ่งปู้จู่กล่าวต่อออกมา

"โอ้ ... ช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก เช่นนั้นแล้วหรัวเมิ่งหยูล่ะ เหตุใดนางจึงเป็น 1 ในศิษย์อัจฉริยะเช่นนี้ล่ะ?" ซังเอ้อกั๋ว กล่าวถามออกมาด้วยความตื่นตระหนก

"เรื่องนี้ข้าเองก็ไม่ล่วงรู้ ทั้งยังไม่มีความเห็นอันใด นี่เพราะในยามที่ข้าเป็น 1 ใน 10 ศิษย์อัจฉริยะ ข้าไม่เคยประมือกับนางแม้เพียงครั้ง" เฟิ่งปู้จู่กล่าวตอบ

ซั่งเอ้อกั๋วมองไปยังเหล่าศิษย์สายนอกที่กำลังหวาดกลัวต่อเหล่า 10 ศิษย์อัจฉริยะอย่างมาก ดูเหมือนว่ามีเพียงผู้ที่แข็งแกร่งที่แท้จริงเท่านั้นที่จะได้รับความเคารพยกย่องและนับถือ

เหล่าศิษย์สายนอกล้วนเร่งรีบหลบออกไปด้านข้างเพื่อเปิดทางให้แก่พวกเขา ต่อให้มีความกล้ามากกว่านี้สักร้อยเท่า พวกเขาก็ไม่คิดจะยืนขวางทาง คณะศิษย์อัจฉริยะทั้ง 10 เป็นแน่

"ศิษย์น้อง เรื่องนี้ไม่ดีแล้ว ... ดูเหมือนพวกเขาจะมุ่งหน้ามาทางที่พวกเราอยู่!" ซั่งเอ้อกั๋วกล่าวออกมาด้วยความระมัดระวัง

เฟิ่งปู้จู่ขมวดคิ้วก่อนที่ใจของเขาจะสั่นไหวเล็กน้อย แต่จะอย่างไรตอนนี้ก็เรียกได้ว่าอี้เทียนเฉามีความสัมพันธ์อันดีกับประมุขของเขา เช่นนั้นคนกลุ่มนี้ไม่ควรมาสร้างปัญหาให้พวกเขาใช่หรือไม่

เมื่อเหล่าศิษย์นิกายสายนอกทั้งหลายเห็นว่า เหล่าอัจฉริยะทั้ง 10 ที่แข็งแกร่ง กำลังมุ่งหน้าไปยังทิศทางของ ศิษย์จากขุนเขาไร้นามที่รับงานหลอมปรุงโอสถ พวกมันล้วนกระหยิ่มยิ้มย่องขึ้นมาทันที

นี่เพราะเหล่าศิษย์สายนอกพวกนี้ไม่ได้รับรู้เลยว่าเรื่องราวระหว่างหลินฟ่านและอี้เทียนเฉานั้น แปรเปลี่ยนกลับกลายเป็นความสัมพันธ์อันดีไปแล้ว พวกเขายังคงคิดว่าอี้เทียนเฉาคงแค้นเคืองและนำศิษย์อัจฉริยะทั้งหลายมาล้างแค้น

พวกมันจึงแย้มยิ้มออกมาคึกคักอักโขอย่างเงียบๆ เฝ้ารอชมเรื่องราวสนุกสนานอย่างใจจดใจจ่อ

"ศิษย์พี่อี้ ไม่ทราบว่านี่คือเรื่องอะไรกันรึ?" แม้ว่าซั่งเอ้อกั๋วจะกังวลใจอยู่ไม่น้อย แต่เขาก็เป็นศิษย์พี่ใหญ่ของขุนเขาไร้นามเชียวนะ ถึงจะกลัวขี้แทบแตกก็เถอะ! แต่จะอย่างไรก็ต้องเสนอหน้าออกมากล่าวถาม

นอกจากนี้ซั่งเอ้อกั๋วเองก็ยังมีความสัมพันธ์กับอี้เทียนเฉา โดยที่เรียกได้ว่าดีกว่าเฟิ่งปู้จู่มากนัก คงไม่น่าจะมีปัญหาอะไรเกิดขึ้น

ซั่งเอ้อกั๋วจึงถามออกมาแล้วเฝ้ารอคำตามอย่างสำรวม

"ฮ่าๆ ศิษย์น้องซั่ง พวกท่านอุตส่าห์ลงมารับงานหลอมโอสถถึงที่นี่ แล้วเหตุใดไม่แจ้งพี่ชายผู้นี้สักหน่อยเล่า นี่หากข้าไม่บังเอิญได้ยินเรื่องนี้ในยามดึกของเมื่อวาน ข้าอาจจะไม่ได้รู้เรื่องราวและมาเจอท่านเช่นนี้! อี้เทียนเฉากล่าวตอบด้วยเสียงหัวเราะ ก่อนที่จะตบไหล่ซั่งเอ้อกั๋วเบาๆ

อี้เทียนเฉานั้นสามารถกล่าววาจาหยอกล้อกับซั่งเอ้อกั๋วได้อย่างสบายใจ แต่ทว่ากับเฟิ่งปู้จู่นั้นเขาไม่คิดแยแสแม้แต่น้อย ราวกับเฟิ่งปู้จู่เป็นเพียงเล็บขบที่นิ้วหัวแม่เท้าอย่างไรอย่างนั้น

"โอ้! อะไร ที่แท้เป็นเรื่องนี้นี้เอง เฮ่อ...ไอ่ข้าเองก็คิดว่ามีเรื่องใหญ่อันใดเกิดขึ้นเสียอีก”ซั่งเอ้อกั๋วพ่นลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอกเมื่อได้ฟังคำตอบของอี้เทียนเฉา เขากลัวแทบจะสติแตกอยู่แล้ว

"จริงๆแล้วเรื่องนี้ เป็นตัวท่านประมุขน้อยหลินที่ยิ่งใหญ่เป็นผู้ที่คิดจะกระทำ ประมุขน้อยหลินท่านกล่าวออกมาด้วยความอ่อนใจว่า ค่าใช้จ่ายที่ขุนเขาต้านติ่งเรียกเก็บนั้นมันสูงจนเกินไป ทั้งเขายังกล่าวอีกว่าข้อเรียกร้องนั้นทำให้เหล่าศิษย์สายนอกต้องลำบากแทบตายแล้ว ...เฮ่อ” ซั่งเอ้อกั๋วกล่าวออกมาพร้อมหอนหายใจเล็กน้อย แล้วกล่าวต่อไป

“นี่เพื่อให้เหล่าศิษย์สายนอกไม่ต้องเหน็ดเหนื่อย และได้ผลประโยชน์ที่ดีขึ้น ท่านจึงคิดทำเรื่องนี้ จะให้ท่านทนเห็นเหล่าศิษย์สายนอกต้องเสียผลประโยชน์ไปมากกว่าครึ่ง ซ้ำยังต้องหาวัตถุดิบสมุนไพรที่เกินความจำเป็นต้องใช้ ไปไกลโขถึงเพียงนั้น ท่านไม่อาจยอมรับได้ ท่านจึงคิดรับหลอมโอสถโดยคิดเรียกร้องสมุนไพรเพียง 3 ชุด และค่าจ้าง 10% เท่านั้น ล้วนเพื่อช่วยเหลือผู้คนนั่นล่ะ” ซั่งเอ้อกั๋วกล่าวออกมาพร้อมหลับตาราวกับตื้นตัน แต่ทว่ามันหลับตาเพื่อคิดคำกล่าวเหล่านี้นั่นเอง แน่นอนว่าคำกล่าวนี้หลินฟ่านไม่ได้เป็นคนพูดออกมา ล้วนเป็นซั่งเอ้อกั๋วที่แต่งเรื่องราวน่าเชิดชูให้ท่านประมุขที่เคารพของมัน

แต่แน่นอนว่าอี้เทียนเฉาย่อมเชื่อคำกล่าวของซั่งเอ้อกั๋วทุกคำ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของอี้เทียนเฉาพลันแปรเปลี่ยนเป็นจริงจังก่อนที่จะเดินไปข้างหน้าเล็กน้อยและเงยหน้าจ้องมองไปยังยอดของขุนเขาไร้นามด้วยสายตาเคารพ พร้อมถอนหายใจออกมา

"ประมุขน้อยหลินยังคงเป็นผู้ที่เอาใจใส่ผู้อื่นและมีเมตตาอยู่เสมอ ท่านช่างเป็นคนที่น่าเคารพนับถือมากจริงๆ" อี้เทียนเฉาไม่เคยกล่าวชื่นชมหรือยอมรับใครมากเท่านี้มาก่อน แต่สำหรับประมุขน้อยหลินแล้วตัวเขาให้ความเคารพอย่างถึงที่สุด

เมื่อมองไปที่ท่าทางของอี้เทียนเฉาแล้ว ซั่งเอ้อกั๋วก็ได้แต่ส่ายหัวออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ดูเหมือนว่าศิษย์พี่อี้จะติดบ่วงลวงใจของท่านประมุขอย่างโงหัวไม่ขึ้นแล้ว

"ศิษย์น้องซั่ง ข้ามาที่นี่เพื่ออุดหนุนพวกท่าน ข้าคิดว่าท่านคงรู้จักคนเหล่านี้ดีเช่นนั้นข้าคงไม่ต้องแนะนำตัวพวกเขากระมัง? พวกเขาล้วนเป็นสหายของข้าเอง" อี้เทียนเฉากล่าวออกมา ก่อนที่เขาจะหันไปอีกด้านและทำการโค้งตัวคารวะพร้อมผายมือไปทางซั่งเอ้อกั๋ว "ศิษย์พี่ศิษย์น้องที่รักทั้งหลาย น้องชายท่านนี้เป็นลูกศิษย์ของท่านประมุขน้อยหลิน ข้าเคยมีประสบการณ์และได้ประจักษ์ในฝีมือล้ำเลิศด้านโอสถของประมุขน้อยหลินมาแล้ว ข้าสามารถกล่าวได้เต็มปากเลยว่า ฝีมือหลอมปรุงโอสถของประมุขน้อยหลินนั้นหาได้ด้อยกว่าขุนเขาต้านติ่งแม้แต่น้อย ข้าหวังว่าพวกท่านจะลองดู "

อี้เทียนเฉานั้นย่อมได้รับข่าวมาจากเหล่าศิษย์สายนอกนิกายบ้างแล้ว เขารับรู้มาว่าศิษย์น้องซั่งผู้นี้ต้องมายืนคอยตลอดทั้งวันแต่ไม่มีผู้ใดคิดจ้างงานเขาเลย เช่นนั้นในฐานะตัวเขาที่เคารพหลินฟ่าน เขาจึงคิดยื่นมือออกมาช่วยเหลือ เขาจึงไปติดต่อศิษย์พี่อาวุโสรวมถึงศิษย์น้องต่างๆ มาด้วยเช่นกัน โดยหวังว่าพวกเขาเองก็จะช่วยเหลือเรื่องนี้ได้

และตอนนี้เองเหล่าศิษย์สายนอกที่รับฟังอยู่ก็ล้วนตะลึงงันอ้าปากค้าง

เกิดเรื่องบัดซบอะไรขึ้นกัน! อี้เทียนเฉาไม่ใช่มีความแค้นกับประมุขน้อยหลินฟ่านจากขุนเขาไร้นามหรือไร?!?

เหตุใดเขาจึงต้องยื่นมือมาช่วยเหลือพวกเขาในวันนี้เช่นนี้เล่า?!

นี่ ... นี่มันเกิดอาเพศอันใด!

จวบจนวันตายเกรงว่าพวกเขาเองก็คงคิดไม่ออก

"เอาล่ะ ในเมือศิษย์น้องอี้ได้กล่าวถึงขนาดนี้ แน่นอนว่าข้าก็ต้องเห็นแก่หน้าของศิษย์น้องอยู่แล้ว นี่เป็นสมุนไพรและส่วนผสมรวมทั้งสิ้น 6 ชุด ข้าต้องการเพียง โอสถกระบี่หยินหยางผันแปร 1 เม็ดเท่านั้น ทว่าโอสถนี้ช่างหลอมสร้างได้ยากลำบากยิ่งนัก เช่นนั้นพวกท่านก็ไม่ต้องเสียใจและโทษตัวเองหากหลอมสร้างมันไม่สำเร็จ" ชายที่มีท่าทีเย็นชาและให้บรรยากาศยะเยือกสะพายกระบี่คู่ขาว-ดำ กล่าวออกมาและส่งมอบวัตถุดิบสมุนไพรที่หยิบออกมาจากแหวนมิติไปให้ซั่งเอ้อกั๋วถึง 6 ชุด

"ศิษย์พี่เจี้ยง! นี่มัน" อี้เทียนเฉาเองก็ตื่นตระหนกอย่างมาก เขาไม่คิดเลยว่าศิษย์พี่เจี้ยงจะมอบวัตถุดิบส่วนผสมที่มีค่ามหาศาลเช่นนี้...พวกมันเป้นของหายากมาก

"ไม่เป็นไรหรอก ข้าเองก็เดินทางไปยังขุนเขาต้านติ่งมาแล้วแต่ไม่มีผู้ใดสามารถหลอมปรุงโอสถนี้ได้ เพราะตอนนี้ผู้อาวุโสของขุนเขาต้านติ่งก็วางมือไปหลายปีแล้ว เช่นนั้นย่อมไม่มีใครสามารถหลอมปรุงโอสถนี้ให้ข้าได้อย่างแน่นอน แต่ในเมื่อศิษย์น้องอี้ไว้ใจประมุขน้อยหลินถึงเพียงนี้ เข้าเองก็อยากจะลองดูเช่นกัน แต่ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรก็ตาม ข้าเจี้ยนหวู่ตี้ ล้วนยินดียอมรับมันได้ทั้งสิ้นโดยไม่คิดเรียกร้องอะไร"

อี้เทียนเฉาประสานมือคารวะ "ศิษย์พี่เจี้ยนข้าต้องขอขอบคุณท่านอย่างยิ่ง

เจี้ยนหวู่ตี้พยักหน้ารับด้วยความเย็นชาก่อนที่จะจากไป เกี่ยวกับท่าทางเย็นชาของเจี้ยนหวู่ตี้นี้อี้เทียนเฉาไม่ได้ติดใจอะไรเขาเป็นแบบนี้มากว่า 3 ปีแล้ว ระดับการบ่มเพาะของศิษย์พี่เจี้ยนหวู่ตี้ดูเหมือนจะล้ำลึกยากหยั่งถึง เขาดูแข็งแกร่งมากกว่า 3 ปีที่แล้วเสียอีก

สิ่งเดียวที่อี้เทียนเฉาไม่เข้าใจนั่นก็คือเหตุใดศิษย์พี่เจี้ยนหวู่ตี้ถึงไม่เข้าไปเป็นศิษย์สายในเสียที บางทีเขาต้องการที่จะเป็นที่ 1 ไม่อยากพ่ายแพ้ใคร จึงคิดที่จะฝึกฝนบ่มเพาะอยู่ที่สายนอกจนกว่าเขาจะมีความสามารถในการคว้าตำแหน่งศิษย์สายใน อันดับที่ 1 ในยามที่เขาย่างเข้าสู่สายใน

"ถ้าถึงขนาดศิษย์พี่เจี้ยนยังมอบวัตถุดิบล้ำค่าเช่นนี้ให้ เช่นนี้ข้าเองก็คงไม่อาจขายขี้หน้าแล้ว นี่เป็นวัตถุดิบสมุนไพรรวม 10 ชุด และใน 10 ชุดนี้ ข้าต้องการโอสถ โลหิตมังกร เพียงแค่ 1 เม็ดเท่านั้น แต่โอสถนี้ก็มีความยากในการหลอมยิ่งนักแม้แต่ผู้อาวุโสหลักของขุนเขาต้านติงเองก็ไม่สามารถหลอมมันขึ้นมาได้ ไม่ว่าพวกท่านจะสำเร็จหรือล้มเหลวข้าก็ไม่กล่าวต่อว่าอะไรอย่างแน่นอน" เมิ่งฮ่าวหัวเราะออกมาอย่างร่าเริง

...

มองไปยังวัตถุดิบส่วนผสมที่ยืนมาทีละชุดๆ ซั่งเอ้อกั๋วเพียงฉีกยิ้มกว้างออกมาแก้มแทบปริ "เอาล่ะพวกท่านวางใจและทำใจให้สบายได้เลย ประมุขน้อยของข้ามีทักษะเลิศล้ำกว่าที่พวกท่านจะคาดถึง พวกท่านแค่รอฟังข่าวดี!"

เฟิ่งปู้จู่เก็บวัตถุดิบที่ซั่งเอ้อกั๋วยื่นมาให้อีกทีใส่ถุงย่าม ดูเหมือนครานี้เป็นโอกาสให้ขุนเขาไร้นามสร้างชื่อเสียงแล้ว

แค่เพียงท่าทางตื่นตระหนกและตกตะลึงของเหล่าศิษย์สายนอกที่เห็นได้ชัด ก็บอกให้รู้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่มันเขย่าขวัญผู้คนถึงเพียงไหน

รีวิวผู้อ่าน