เฟิ่งเฉาหยางหันหลังเดินจากไปด้วยอาการเกรี้ยวกราด
แม้เฟิ่งเฉาหยางจะเป็นนายใหญ่แห่งเรือนตระกูลเฟิ่ง ทว่าวรยุทธหาใช่สูงส่งเหนือสุดในตระกูล
การที่ตระกูลเฟิ่งสามารถทะยานขึ้นมาเหยียบตำแหน่งหนึ่งในสี่ตระกูลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในแผ่นดินเทียนฉีล้วนเกิดแต่อำนาจมืดที่คอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง
มิใช่แค่เพียงตระกูลเฟิ่ง หากแต่เหล่าตระกูลใหญ่ทั้งสามซึ่งได้แก่ ตระกูลอวิ๋น ตระกูลสุ่ย และตระกูลหรง ล้วนได้รับการสนับสนุนจากอำนาจมืดลึกลับนี้เช่นกัน
หากทว่า นับแต่ครั้งเกิดเรื่องน่าอับอายในตระกูลเฟิ่ง เฉาหยางก็ไม่มีหน้ากลับไปพบอำนาจมืดผู้คอยให้การสนับสนุนเขาอีก
ทั้งในครานี้ เขาย่อมมิอาจยอมให้เฟิ่งฉู่เกอสิ้นใจได้โดยง่าย เพราะแม้เฟิ่งฉู่เกอจะเป็นผู้พิการไร้วรยุทธ ทว่านางยังคงสามารถใช้ประโยชน์ได้ เมื่อยามนี้นางจะต้องเข้าพิธีสมรสกับไอ้หน้าโง่แห่งตระกูลอวิ๋นแทนบุตรสาวของเขา
*****
เมื่อผู้เป็นนายหันหลังกลับเรือนกันสิ้นแล้ว เหล่าบ่าวรับใช้ที่ไหนยังจะกล้ายืนเสนอหน้าได้อีก
เพียงคุณหนูฉู่เกอกลับมา เรือนตระกูลเฟิ่งก็ปั่นป่วนวุ่นวาย ผู้ใดจะหยั่งรู้ได้ว่านางจะอาละวาดฟาดหางสร้างเรื่องใดขึ้นมาอีก
เช่นนั้น… เพื่อทะนุถนอมชีวิตน้อย ๆ ของตนไว้ สมควรหลีกให้ห่างจากเรือนน้อยสายนที
ทันทีที่สี่นายบ่าวถูกทิ้งให้อยู่เพียงลำพัง ไร้ผู้สร้างความรำคาญใจ จื่อหลานจึงอดระเบิดเสียงหัวเราะลั่นขึ้นมิได้ เมื่อหวนนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่
“ฮ่าฮ่าฮ่า… คุณหนู ท่านเห็นสีหน้าเฟิ่งเฉาหยางเมื่อครู่หรือไม่เจ้าคะ สะใจชะมัด”
“ทั้งยามนี้ โฉมหน้าของเฟิ่งชิงหว่านกลับกลายเป็นไร้ค่าไปแล้ว ก็ผู้ใดใช้ให้นางคิดลอบทำร้ายคุณหนูกันเล่า”
ปี้หลัวรีบกล่าวสำทับ
ลวี้จูผู้นิ่งเงียบมาตลอด เริ่มขยับปากคล้ายต้องการกล่าวบางสิ่ง…
“ลวี้จู เจ้าคิดจะกล่าวสิ่งใด ?”
จื่อหลานสังเกตเห็นสีหน้าผิดปกติของลวี้จูจึงเอ่ยถามขึ้น
ลวี้จูค่อย ๆ เอ่ยปากตอบคำอย่างเชื่องช้า
“เมื่อครู่ข้าแอบใส่ผงหมามุ่ยไว้ที่มือตอนระดมตบหน้าเฟิ่งเฉียนเสวี่ย…”
ผงหมามุ่ย…
ผงหมามุ่ย…
ทั้งจื่อหลาน ปี้หลัว กระทั่งเฟิ่งฉู่เกอต่างกระตุกยิ้ม
ไม่คาดคิดเลยว่า ลวี้จูผู้แลดูคล้ายเพียงต้องการยืนชมอยู่ห่าง ๆ ไม่ใส่ใจร่วมลงมือ แท้จริงจะคิดการใหญ่ถึงเพียงนี้ !
หากผงหมามุ่ยเปรอะเปื้อนใบหน้า คงมิต้องสาธยายให้มากความ ใบหน้าของเฟิ่งเฉียนเสวี่ยย่อมต้องถูกเกาข่วน กระทั่งเกิดรอยแผลยับอย่างแน่นอน !
“ฮ่าฮ่าฮ่า ! ! ! ลวี้จู เจ้าทำได้สะใจข้าเสียจริง ไม่คิดเลย เห็นท่าทางเจ้านิ่งเฉย วัน ๆ เอาแต่ตีหน้านิ่งเบื่อระอา ทว่า หากเจ้าได้ลงมือมันจะดุเด็ดถึงเพียงนี้ !!”
จื่อหลานตบไหล่กล่าวชมลวี้จูไม่ขาดปาก
ลวี้จูหรี่ตาเล็กน้อยขณะตอบคำ
“ก็ผู้ใดใช้ให้นางมาทำร้ายคุณหนูของพวกเรากันเล่า ? มันผู้ใดกล้าทำร้ายคุณหนู ข้าไม่มีวันปล่อยเอาไว้แน่ !”
เฟิ่งฉู่เกอมองคนทั้งสาม มุมปากของนางยกแย้มปรากฏรอยยิ้มอันอบอุ่น
หกปีที่แล้ว นางข้ามผ่านเข้ามาในดินแดนแห่งนี้ ในครานั้น บุรุษลึกลับผู้หนึ่งเป็นผู้นำตัวนางมา
เดิมทีร่างนี้ไร้สิ้นพลังวัตร มิอาจฝึกฝนวรยุทธ ทว่าบุรุษผู้นั้นคือแพทย์ผู้ปรุงโอสถ เขาเป็นผู้ขับพิษที่ปิดกั้นทางเดินพลังวัตรตั้งแต่ครั้งยังเป็นทารกในครรภ์มารดา เขาคือผู้พลิกชีวิตให้แก่นาง ทั้งบุรุษลึกลับผู้นั้นยังรับนางไว้ในฐานะบุตรสาวบุญธรรม
หากทว่ากระทั่งยามนี้เฟิ่งฉู่เกอก็ยังไม่รู้ฐานะแท้จริงของบุรุษลึกลับผู้นั้น
นางได้พบกับบุคคลทั้งสามนับแต่ครานั้น ทั้งยังได้ฝึกฝนวรยุทธ กระทั่งร่ำเรียนศิลปวิทยาร่วมกันกระทั่งเติบใหญ่
ในสายตาของนาง หญิงสาวทั้งสามคือบุคคลที่นางรัก และห่วงใย ลึกซึ้งในความผูกพันเกินกว่านิยามแห่งคำว่า ‘สหาย’
“ไอหย่า จริงสิ คุณหนูเจ้าคะ เจ้าหนูนั่นอยู่ที่ใดแล้วเจ้าคะ ?”
ลวี้จูพลันนึกถึงเด็กประหลาดผู้นั้นขึ้นมาได้
“ข้านำไปพักด้านในแล้ว ลมหายใจของเขายังอ่อนบาง ยังมิรู้จะรู้สึกตัวเมื่อไร”
“คุณหนูเจ้าคะ วิชาการแพทย์ของท่านมิอาจช่วยรักษาเขาได้หรือเจ้าคะ ?”
เฟิ่งฉู่เกอส่ายหน้า โอสถทั้งหลายล้วนส่งผลไม่แตกต่าง
ทั้งสามต่างเงียบกริบ เมื่อเห็นเฟิ่งฉู่เกอส่ายหน้า
กระทั่งปรมาจารย์โอสถขั้นกลางยังมิอาจเยียวยารักษาได้ เห็นทีเด็กคนนี้คงจะอาการหนักหนาอย่างแน่แท้
***จบตอน แส่หาเรื่อง***