1396 วันที่แล้ว
สั้นมากกกกกสั้นเกินไปแล้ว
“นี่พวกเจ้าคิดเกินเลยไปถึงไหน เด็กคนนั้นปลอดภัยดี”
คล้ายเฟิ่งฉู่เกอรับรู้ได้ถึงท่าทีผิดแปลกของคนทั้งสาม นางเลิกคิ้วกล่าวชี้แจง
“แม่นาง ข้าหาใช่เด็กน้อยไม่”
ยามนี้เองเสียงน้อย ๆ เสียงหนึ่งพลันดังขึ้นจากที่ไกล
เห็นได้ชัดว่าสุ้มเสียงนี้คือเสียงเด็กน้อย ทว่าน้ำเสียงที่ได้ยินกลับแฝงความเย็นชาทั้งยังเผยความซับซ้อนที่ไม่สมควรเป็นลักษณะการออกเสียงของเด็กน้อยวัยเยาว์
เด็กชายตัวน้อยผู้นั้นสวมชุดคลุมดิ้นทองสีเทา เขายืนอยู่ไม่ไกลจากที่นั้นมากนัก
เฟิ่งฉู่เกอสาบานได้ว่านางไม่เคยเห็นเด็กน้อยผู้ใดน่ารักน่าชังเท่าเด็กน้อยผู้นี้มาก่อนเลย
ใบหน้ากลมดิ๊ก แก้มยุ้ยจ้ำม่ำ นัยน์ตากลมโตทั้งสองแวววาวบนดวงหน้าน้อย ๆ ที่สะดุดตา
ปลายขนตายาวที่ประดับด้านบนยิ่งส่งให้นัยน์ตาทั้งสองกลมโตน่ารักน่าฟัดยิ่งขึ้น
แม้นัยน์ตาคู่นี้จะแลดูคล้ายเด็กน้อยทั่วไป ทว่าภายในกลับลึกล้ำแฝงไว้ด้วยความรู้สึกที่เป็นอิสระไร้ผู้สามารถครอบครอง
เขายกมือขึ้นกอดอกเอนพิงด้านข้าง เสื้อคลุมสีดำตัวยาวห้อยทิ้งข้างลำตัว
ภาพที่คล้ายพ่อหนูน้อยไปแอบฉกฉวยชุดผู้ใหญ่มาใส่เล่นช่างน่าขบขันมิใช่น้อย หากแต่ท่าทางการยืน การใช้สายตาของเขากลับสามารถสร้างความประทับใจในบุคลิกที่แตกต่าง ด้วยท่วงท่าลักษณะประหนึ่ง ‘เหยียดหยันโลกหล้า’
นอกจากเฟิ่งฉู่เกอผู้จ้องมองด้วยอาการตกตะลึง อีกสามนางที่เหลือต่างหันมาสบตา มองหน้ากันเลิ่กลั่ก
เฟิ่งฉู่เกออดหัวเราะขบขันออกมามิได้
“นี่เจ้าเป็นเด็กน้อยประเภทใดกัน ? ทว่าท่าทางการแสดงเลียนแบบผู้ใหญ่ของเจ้านับว่าไม่เลวเลยทีเดียว”
นางหัวเราะไปพลาง เดินเข้าไปหยิกแก้มยุ้ย ๆ ของอีกฝ่ายไปพลาง
“ไอหย่า แก้มยุ้ย ๆ นี่ช่างน่ารักเสียจริง”
ภูมิต้านทานเด็กน้อยของเฟิ่งฉู่เกอนับว่าย่ำแย่ หรืออาจสามารถกล่าวได้ว่าไร้ภูมิคุ้มกันโดยสิ้นเชิง แม้ในชาติภพก่อน นางจะเป็นมือสังหารก็ตามที
ทั้งยิ่งในยามนี้ เด็กน้อยผู้กำลังแสร้งทำตนเป็นหนุ่มใหญ่ผู้นี้ แลดูน่าขบขันเกินนางจะยั้งใจ
ทั้งหน้าตาอวดฉลาดของเจ้าหนูน้อย ยิ่งทำให้เฟิ่งฉู่เกอทนมิได้ นางก้มลงกดริมฝีปากกับใบหน้าน้อย ๆ เสียงดัง ‘จุ๊บ’
“มา มาให้พี่สาวหอมแก้มยุ้ย ๆ ของเจ้าเสียหน่อย ~ ~”
เด็กน้อยมีท่าทีสับสน สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนไปมาจากขาวเป็นแดง จากแดงเป็นดำ
“แม่นาง ปล่อยข้า !”
“ไม่เอา ไม่เอา อย่าเรียกเช่นนั้นสิ เรียกข้าว่าพี่สาวสิ”
เฟิ่งฉู่เกอหัวเราะร่วน
ส่วนเด็กน้อยผู้นั้นกลับมีใบหน้าหมองคล้ำย่ำแย่
“หญิงร้าย ปล่อยข้านะ ! ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้ ! น้ำลายของเจ้าสกปรกจะแย่ !”
“บอกแล้วอย่างไร ว่าให้เรียกข้าว่าพี่สาว !
“ไม่ !”
เด็กชายผู้นั้นบ่ายหน้าหลบเลี่ยงอย่างเต็มที่
“เจ้าอันธพาลตัวน้อย เสียมารยาทยิ่งนัก ! เด็กไร้มารยาทต้องถูกลงโทษ ! !”
กล่าวจบ นางก็จับเจ้าตัวน้อยขึ้นมาหวดบั้นท้ายไปสองที
เด็กชายผู้นั้นสีหน้าแปรเปลี่ยนไปอีก…
ยิ่งได้เห็นท่าทีของเด็กผู้นั้น เฟิ่งฉู่เกอก็ยิ่งนึกขัน
เจ้าหนูผู้นี้ตลกยิ่งนัก…
“เจ้าตัวน้อย เจ้าชื่อเรียงเสียงใด ?”
“ฮึ่ม !”
เด็กชายตัวน้อยหันหน้าหนี ไม่ใส่ใจเสียงเอ่ยถามของนาง
“มา ๆ บอกมาสิว่าเจ้าชื่อใด บอกข้ามาเร็ว แล้วข้าจะให้ลูกกวาดเจ้า”
“ข้าไม่ต้องการกินขนมเด็กน้อย”
เด็กชายผู้นั้นยังคงตวาดใส่นาง…
“พูดราวกับเจ้ามิใช่เด็กน้อย นี่… เจ้าตัวน้อย ทำตัวแก่แดดเกินไปย่อมไม่น่ารักรู้หรือไม่~~”
เฟิ่งฉู่เกอส่ายหน้าน้อย ๆ
“บอกว่า ข้ามิใช่เด็กน้อย !!”
“ก็ได้ ๆ เช่นนั้นก็บอกนามของเจ้ามา แล้วเรือนของเจ้าอยู่ที่ใด บิดามารดาของเจ้าชื่อแซ่ใด ข้าจะได้พาเจ้ากลับเรือน”
เด็กชายผู้นั้นนิ่งเงียบไปทันที ทั้งสามารถสัมผัสได้ถึงความเศร้าสร้อยที่แอบแฝงภายในใจ
ความรู้สึกของการถูกทอดทิ้งเช่นนี้ เฟิ่งฉู่เกอคุ้นชินกับมันดี
ครั้งที่นางผ่านมาเข้าร่างของเฟิ่งฉู่เกอ ภายในใจของเจ้าของร่างนี้ล้วนอัดแน่นไปด้วยความทุกข์โศกที่กัดกร่อนลึกไปถึงขั้วกระดูก
เมื่อหวนนึกขึ้นได้ว่านางพบเจอเด็กน้อยผู้นี้ที่กลางป่า เฟิ่งฉู่เกอก็เข้าใจว่าเด็กชายผู้นี้ย่อมต้องถูกบุคคลที่เขารักและบูชาทอดทิ้งมา
นางยื่นมือออกไปโอบกอดร่างน้อย ๆ
“เจ้าวางใจเถิด นับแต่นี้ จะไม่มีผู้ใดกล้ารังแกเจ้าอีก ยามนี้เจ้ามีพี่สาวแล้ว เจ้าไม่ต้องหวั่นเกรงสิ่งใดอีกต่อไปแล้ว”
เมื่อเด็กชายถูกอ้อมแขนนุ่มนิ่มของเฟิ่งฉู่เกอกอดรัดไว้ ประกายสีม่วงอ่อน พลันฉายวาบผ่านเบื้องลึกนัยน์ตาคู่นั้นอีกครา…
“เฉิน เรียกข้าว่าเฉิน”
“ได้ ข้าจะเรียกเจ้าว่า อาเฉิน~~~”
***จบตอน เรียกเจ้าว่าอาเฉิน***
สั้นมากกกกกสั้นเกินไปแล้ว