
1831 วันที่แล้ว
ยาววววไปยาววววไป

1834 วันที่แล้ว
กรีสสสสส รีบมาต่อเลย ใจร้ายมาก จัดจบตอนกำลัง ค้าง
อาเฉิน
เด็กน้อยผู้นั้นกระพริบตาปริบ ๆ
ไม่เคยมีผู้ใดกล้าเรียกเขาเช่นนั้น ทั้งไม่เคยมีผู้ใดกล้าทำสิ่งไร้ยางอายเช่นนั้นกับเขา
สตรีผู้นี้ เป็นหญิงคนแรกที่กล้าทำกับเขาเช่นนี้ !
อาเฉินยืนนิ่งค้างอยู่กับที่
“แม่นาง แท้จริงเจ้าเป็นคนดีและอ่อนโยน”
อาเฉินถอนหายใจดัง
“คราหน้า อย่าลงมือรุนแรงบ้าเลือดเช่นนี้…”
เฟิ่งฉู่เกอนิ่งอึ้ง
“เจ้าเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่กระนั้นหรือ ?”
อาเฉินพยักหน้ารับด้วยท่าทีเคร่งขรึม
หญิงสาวกุมหัวโอดครวญ
“ข้าผิดเอง~ ~ หวังว่าข้าคงมิได้สร้างภาพติดตาให้แก่เจ้าหรอกนะ อาเฉินน้อย…”
อาเฉินน้อย…
อาเฉินอ้าปากค้าง เส้นเลือดกลางหน้าผากเต้นตุ้บ
จื่อหลาน ปี้หลัวและลวี้จูผู้ยืนอยู่ด้านข้างยังถึงกับอึ้งพูดไม่ออก
พวกนางไม่เคยเห็นคุณหนูแสดงท่าทีเช่นนี้มาก่อน
เหตุใดพวกนางรู้สึกคล้าย…
ท่าทีของคุณหนูในวันนี้ดูคล้ายถูกใจชอบพอเด็กน้อยผู้มีนามว่าอาเฉินผู้นี้มิใช่หรือ ?
ยิ่งได้เห็นเฟิ่งฉู่เกอต่อล้อต่อเถียงเด็กน้อยอย่างสนุกสนานเช่นนั้น จื่อหลานยิ่งอยากจะคำรามออกมา
คุณหนู คุณธรรมของท่านหายไปไหนเสีย ?
นับแต่เกิดเหตุวันนั้น เฟิ่งฉู่เกอพร้อมคนทั้งสามก็ปักหลักอยู่ในเรือนน้อยสายนทีแห่งนี้
ทั้งก็ไม่มีผู้ใดกล้าย่างกรายเข้ามารบกวนพวกนางอีกเลย
ฮูหยินรองตลอดถึงบุตรสาวทั้งสอง ผู้หนึ่งได้รับบาดเจ็บสาหัส อีกผู้หนึ่งก็ถูกผงหมามุ่ยป้ายหน้า เช่นนั้นทั้งสามจึงกักตัวรักษาตนอยู่เพียงในห้อง
ส่วนเฟิ่งเฉาหยางก็ไม่กล้าสุ่มสี่สุ่มห้าบุกเข้ามา ด้วยยังกริ่งเกรงในวรยุทธของจื่อหลาน
บรรดาบ่าวรับใช้ที่เหลือต่างก็หวาดกลัวเฟิ่งฉู่เกอจนหัวหด
ด้วยเหตุนี้ เฟิ่งฉู่เกอจึงพักผ่อนในเรือนน้อยสายนทีอย่างสงบสุขมาโดยตลอด
ภายในห้องนอนของเฟิ่งฉู่เกอในเรือนน้อยสายนที ถูกจัดแต่งมุมปรุงโอสถไว้เป็นพิเศษ
และในวันนี้ นางก็หมกตัววุ่นอยู่กับการปรุงโอสถ
อาเฉินก้าวเข้าสู่ด้านในทันทีที่บานประตูถูกผลักเปิด
เขาต้องประหลาดใจ เมื่อได้เห็นการตบแต่งภายในห้อง น้ำเสียงน้อย ๆ เต็มตื้นด้วยความยินดี
“แม่นาง นี่เจ้าคือปรมาจารย์โอสถขั้นกลางกระนั้นหรือ ?”
“ถูกแล้ว ว่าอย่างไร พี่สาวน่าทึ่งใช่หรือไม่ ?”
ครั้นเฟิ่งฉู่เกอหันมาเห็นเด็กชายตัวน้อยยืนอยู่ที่บานประตู นางก็ยักคิ้วส่งยิ้มให้
“อ้อ ! ก็ไม่เลว”
“ไม่เลว ? วายร้ายตัวน้อย เจ้ารู้จักปรมาจารย์โอสถหรือไม่ ?”
“แน่นอน ย่อมต้องรู้”
อาเฉินหรี่นัยน์ตาแวววาว
“ปรมาจารย์โอสถนับเป็นบุคคลอันทรงคุณค่าที่พบเจอได้ยากยิ่งในดินแดนอวิ๋นเทียน กว่าปรมาจารย์โอสถผู้หนึ่งจะสามารถเลื่อนขึ้นสู่ฝีมือการปรุงโอสถขั้นกลางย่อมต้องใช้ความเพียรในการฝึกฝนร่ำเรียนกว่าห้าสิบปี…”
ขณะกล่าว นัยน์ตาคู่นั้นของเขากลับแฝงความมืดมนเล็กน้อย ประหนึ่งภายในใจเกิดข้อกังขา
“ใช้ได้นี่ เจ้ามีความรู้ไม่น้อยเลยทีเดียว”
เฟิ่งฉู่เกอเพ่งพินิจมองดูอาเฉินอย่างละเอียดลออ
หากมิใช่สิ่งที่ประจักษ์ชัดเบื้องหน้าสายตา นางย่อมต้องเข้าใจว่าอาเฉินคือชายหนุ่มผู้น่าจะมีวัยสิบเจ็ดหรืออาจสิบแปดปี
ฉับพลัน ความคิดแวบหนึ่งวูบขึ้นในหัว…
คงมิใช่ว่าเด็กน้อยผู้นี้จะเป็นจิตวิญญาณที่มาจากอีกโลกหนึ่งเช่นเดียวกับนางกระมัง ?
“อาเฉิน เจ้าข้ามผ่านมิติมาใช่หรือไม่ ?”
“ข้ามมิติ ?”
ความงุนงงสะท้อนผ่านนัยน์ตากลมโตของเด็กน้อย
สีหน้าเช่นนี้ มิใช่อาการเสแสร้งปั้นแต่งอย่างแน่นอน เฟิ่งฉู่เกอโบกมือปัด
“ไม่มีอันใด ข้าเพียงถามไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้น”
“อ้อ !”
อาเฉินผงกศีรษะ เขานิ่งเงียบครู่ใหญ่ก่อนจะค่อย ๆ หลุบตาซ่อนเร้นความไม่ชอบมาพากลที่ซุกซ่อนลึกในแววตา
“แม่นาง หากเจ้าคือปรมาจารย์โอสถ ข้าอยากรบกวนเจ้าสักเรื่องจะได้หรือไม่ ?”
“เป็นเรื่องใดกระนั้นหรือ ?”
“ข้าอยากขอให้เจ้าช่วยปรุงโอสถให้ข้าสักชุด”
“เอ๋ ?”
“ตัวยาบางชนิดอาจแสวงหาได้ยาก มันคือโหราเดือยไก่ ไหลพันใบ วารีร้อยพลิกผัน เห็ดหลินจือพันปี หนอนไหมโลหิตเยือกแข็ง”
“เจ้าปีศาจน้อย เจ้าจะเอาสมุนไพรโอสถเหล่านี้ไปทำอันใด ?”
เมื่อเฟิ่งฉู่เกอได้ยินรายการโอสถของอาเฉินยังอดเอ่ยปากถามมิได้
***จบตอน อาเฉินน้อย***
ยาววววไปยาววววไป
กรีสสสสส รีบมาต่อเลย ใจร้ายมาก จัดจบตอนกำลัง ค้าง