เหอเหลียนจินอวี่ยืนจ้องเฟิ่งฉู่เกอด้วยอาการตกตะลึงจนตาค้าง
ทว่าเพียงครู่ เมื่อคืนสติ เขาจึงรำลึกได้ว่า นางเป็นเพียงหญิงไร้ค่าผู้หนึ่ง ภายในแววตาล้ำลึกของชายหนุ่มพลันท่วมท้นเอ่อล้นด้วยความดูแคลนในทันที
“หว่านเอ๋อร์*ล่วงเกินเจ้าด้วยเรื่องใดกัน เหตุใดต้องลงมือกับนางหนักถึงเพียงนี้ ?”
*เอ๋อร์ คือคำลงท้ายใช้เรียกคนสนิท โดยเรียกชื่อเล่นตามด้วยคำว่าเอ๋อร์
เฟิ่งฉู่เกอเลิกคิ้วสูง
“อย่างไรนะ ? นี่ไม่มีผู้ใดบอกเล่าเรื่องราวแก่ท่านเลยกระนั้นหรือ ?”
“เพียงเจ้ากลับเรือน หว่านเอ๋อร์ก็ได้รับบาดเจ็บ หากมิใช่ฝีมือของเจ้า เช่นนั้นสมควรเป็นฝีมือของผู้ใด ?”
สองตาของชายหนุ่มจ้องเฟิ่งฉู่เกอเขม็งด้วยความโกรธแค้น
“เฟิ่งฉู่เกอ ข้าขอเตือนเจ้าไว้ก่อน ข้ามีใจให้แก่หว่านเอ๋อร์ และแม้นหากไร้สิ้นหว่านเอ๋อร์ ข้าก็ไม่มีวันสมรสกับเจ้า…”
เฟิ่งฉู่เกอผงกศีรษะหงึกหงัก รับฟังคำพล่ามของอีกฝ่ายด้วยความเคารพ
ทว่าช้าก่อน…
เพิ่งจะนึกขึ้นได้…
นี่เขาเข้าใจว่านางกระสันอยากแต่งให้เขา กระทั่งแทบจะเต้นเร่า ๆ กระนั้นหรือ ?
เฟิ่งฉู่เกอกัดริมฝีปากแน่นอย่างเหลือทน
ที่สุด บุรุษผู้นี้ไปหอบความมั่นใจมาจากฟากฟ้าแดนใด ช่างมโนเพ้อได้ไร้สาระสิ้นดี !!!
นี่นางควรชี้ทางสว่างให้เขาดีหรือไม่ ว่าแท้จริง นางไม่รู้กระทั่งชื่อเสียงเรียงนามของเขาเสียด้วยซ้ำ
“เอ่อ…อภัยเถิด ท่านคือผู้ใด ?”
อีกฝ่ายหน้าถอดสีอย่างเห็นได้ชัดในทันที
ขณะพวกจื่อหลานผู้กำลังร่วมชมอยู่ด้านข้างยังอดกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่
“เฟิ่งฉู่เกอ เจ้ามิต้องแกล้งเสแสร้งต่อหน้าเปิ่นหวางอีกแล้ว !”
เขาส่งเสียงคำราม
ขณะนางยักคิ้วส่ง
“ก็หม่อมฉันไม่รู้จริง ๆ ว่าพระองค์คือผู้ใด รู้เพียงพระองค์คือเปิ่นหวาง ทว่าก็มิรู้เปิ่นหวางตำหนักใด”
ความผิดหวังพลันก่อตัวโหมกระพือปั่นป่วนภายในใจลึก ๆ ของเหอเหลียนจินอวี่
ทว่าคล้ายเขานึกบางสิ่งขึ้นได้ จึงส่งเสียงเยาะเย้ยโต้กลับ
“เฟิ่งฉู่เกออย่าได้คิดจะดึงดูดความสนใจจากเปิ่นหวางด้วยวิธีนี้ เปิ่นหวางขอบอกไว้ตรงนี้เลย ว่าไร้ประโยชน์ เปิ่นหวางไม่มีทางสมรสกับเจ้า หญิงไร้ค่า !”
“พระองค์ทรงวางใจได้ หากหม่อมฉันแต่งให้เขา หม่อมฉันย่อมมิอาจแต่งกับพระองค์ได้ หม่อมฉันย่อมไม่สิ้นคิดถึงเพียงนั้น พระองค์มิต้องทรงกังวลด้วยเรื่องไร้สาระขี้ประติ๋วนี้ สู้เอาเวลาไปใส่ใจเรื่องคอขาดบาดตายเสียยังจะดีกว่า…”
แม้นประโยคนั้นจะไม่ใคร่ชัดเจนนัก
ทว่ายามนี้ เหอเหลียนจินอวี่กลับสั่นสะท้านไปทั้งร่าง
เขาจ้องเฟิ่งฉู่เกอด้วยความประหลาดใจ
นี่นางไม่รู้จักเขากระนั้นหรือ ?
เป็นไปได้อย่างไร ?
ครั้งเยาว์วัย พวกเขาเคยเล่นด้วยกัน ทั้งยังอาจสามารถกล่าวได้ว่าเฟิ่งฉู่เกอคือลูกพี่ลูกน้องของเขา ครั้งสมัยวัยเยาว์ เสด็จแม่กับองค์หญิงเจี้ยนเต๋อผูู้มีศักดิ์เป็นพระมาตุจฉา (เสด็จป้า) ของเขา เคยพูดคุยตระเตรียมหมั้นหมายให้แก่พวกเขาทั้งสอง…
ในวัยเยาว์ เฟิ่งฉู่เกอเป็นเด็กที่น่ารักมาก ทว่านับแต่องค์หญิงเจี้ยนเต๋อสิ้นพระชนม์ เฟิ่งฉู่เกอก็กลับกลายเป็นเด็กที่ขลาดเขลาและอ่อนแอ กระทั่งเจริญวัยได้สิบขวบปี นางกลับไม่สามารถเดินพลังวัตร จนเป็นเหตุให้ถูกขับออกจากตระกูลเฟิ่ง
ทั้งในเรื่องนี้ ย่อมสร้างความสลดใจให้แก่เหอเหลียนจินอวี่เช่นกัน
กระทั่งในปีนี้ เมื่อเฟิ่งฉู่เกอถึงวัย 16 ปี ย่อมถึงเวลาสมควรออกเรือน ตามคำมั่นที่เสด็จแม่ของเขากับพระมาตุจฉาเคยกล่าววาจาแก่กันไว้ในกาลก่อน
เช่นนั้น ทันทีที่เขาได้ยินข่าวการกลับมาของเฟิ่งฉู่เกอ พร้อมข่าวว่าเฟิ่งชิงหว่านได้รับบาดเจ็บสาหัส เขาจึงเร่งรุดมาในทันที…
เพียงไม่คาดคิด ว่าทั้งหมดทั้งมวลล้วนเพราะเขาถือดีจนเกินไป
ความผิดหวังพลันก่อกำเนิดขึ้นภายในใจลึก ๆ ของเหอเหลียนจินอวี่
หากแต่เฟิ่งฉู่เกอหาได้แยแสต่อความรู้สึกของผู้ใดในยามนี้ นางเพียงกล่าวขึ้นลอย ๆ อย่างไม่ใส่ใจ
“องค์ชายผู้นี้ เห็นทีท่านคงมาด้วยเรื่องของเฟิ่งชิงหว่าน ท่านคิดหรือว่าสวะไร้ค่า…เยี่ยงหม่อมฉันผู้นี้จะสามารถทำร้ายเฟิ่งชิงหว่านได้จริง ?”
***จบตอน ท่านอ๋องผู้หลงตน***