px

เรื่อง : The Strongest System จบแล้ว!!!
บทที่ 130 ถ้าไม่เข้าใจก็แค่...เนียนไง!!


วันต่อมา...

หลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันก่อน ตอนนี้หลินฟ่านเองก็กลับมาสู่สภาวะปกติ ไม่มีอะไรมาทำให้เขารู้สึกถูกกวนใจอีก เอาจริงๆตั้งแต่ตอนที่ประมุขหยางและปรมาจารย์อีก 2 คนจ้องมองเขาด้วยแววตาตื่นเต้นยินดี หลินฟ่านเองก็รู้ว่าคงไม่มีปัญหาอะไรแน่นอน และนี่มันค่อนข้างเห็นได้ชัดเจนทีเดียว ว่าขุนเขาต้านติ่งคงไม่มาวุ่นวายอะไรกับเขาแล้ว

แต่เรื่องที่หลินฟ่านไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี นั่นก็คือเรื่องการรับจ้างหลอมสร้างโอสถต่อไปนั่นต่างหาก เขาไม่รู้ว่าตกลงตอนนี้เขายังสามารถกระทำการดั่งเดิมได้หรือเปล่า หรือว่าเขาไม่ได้รับอนุญาติให้หลอมโอสถหรือทำอะไรทำนองนั้นอีก? ...นี่ยังไม่มีใครให้คำตอบที่ชัดเจนแก่เขาได้

เมื่อหลินฟ่านเดินออกจากบ้านพักของเขา ซั่งเอ้อกั๋วก็รีบวิ่งมาทักทายเขาด้วยความเคารพทันที “อรุณสวัสดิ ขอรับนายท่านประมุข”

หลังจากที่เกิดเหตุการณ์อย่างเมื่อวาน ตอนนี้ซั่งเอ้อกั๋วสามารถคาดเดาอนาคตไว้ได้เลยว่า ตัวเขาที่อยู่ขุนเขาไร้นามและเป็นศิษย์ของท่านประมุขจะมีสถานะที่ยอดเยี่ยมขนาดไหนในสายตาของศิษย์ผู้อื่น เพราะตอนนี้แม้กระทั่งประมุขหยางแห่งนิกายเม้งก่าเอง ยังต้องเดินทางมาถึงขุนเขาไร้นามเพื่อให้การช่วยเหลือประมุขน้อยของเขา หนทางในอนาคตของเขาตอนนี้ราวกับมันถูกจุดไฟสว่างไสวเต็มไปด้วยกลีบกุหลาบอย่างไรอย่างนั้น

“อา...”หลินฟ่านเองก็มีทีท่าพึงพอใจกับเรื่องราวจนเห็นได้ชัด เพราะวันนี้และดูหน้าตาของเขาอรมณ์ดีขึ้นอย่างมาก

ทว่าทันใดนั้นเองหางตาของหลินฟ่านก็เหลือบไปเห็นว่า บริเวณทางขึ้นขุนเขาไร้นามตรงตีนเขา มีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งกำลังเดินทางมา หลินฟ่านจึงอดที่จะสงสัยขึ้นมาไม่ได้ว่า ‘อะไรวะ ไอคนของขุนเขาต้านติ่งมาก่อกวนอีกแล้วรึไง?’

แต่เมื่อหลินฟ่านเพ่งมองและสำรวจให้ดี เขาก็อดตกตะลึงและสงสัยขึ้นมาไม่ได้

‘เฮ่ย! นั่นมันตัวเชี่ยไรวะน่ะ?’

สิ่งที่เขาเห็นนั้น...มันเป็นสิ่งมีชีวิตแน่นอน ร่างกายสีผิวของมันมีสีดำมะเมื่อม ใบหูแหลมเปี๊ยว รูปร่างกล่าวได้ว่าเตี้ยม่อต้อแต่กลับอ้วนนัก แขนก็ใหญ่ผิดปกติราวกับไปเพาะกายมาส่วนเดียวเพราะมัดกล้ามที่แขนมันใหญ่โตน่าสยดสยองอย่างยิ่ง...

“ปะ..ปีศาจ!!”ซั่งเอ้อกั๋วกระโดดถอยไปหลบหลังหลินฟ่านด้วยความตกใจ หลังจากที่มันใช้ชีวิตเป็นศิษย์รับใช้มานานก็พอได้พบเจอสัตว์อสูรหรือตัวประหลาดมาบ้าง แต่ตัวที่แลดูอัปลักษณ์น่าหวาดกลัวอย่างพิลึกเช่นนี้ มันเองก็ไม่เคยพบเจอมาก่อน แน่นอนเพียงแค่มองแว๊บแรกก็ย่อมรู้ได้ว่าไม่ใช่มนุษย์อย่างแน่นอน แต่ทว่าก็ปฏิเสธไม่ได้อีกเช่นกันว่า มันก็มีอวัยวะแบบเดียวกับมนุษย์ปกติ..ในเรื่องขององค์ประกอบล่ะก็นะ

“พวกเจ้าเป็นใคร?” หลินฟ่านเดินไปข้างหน้าช้าๆ ก่อนที่จะกล่าวถามออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบๆ

ตัวประหลาดผิวดำราวถ่านชาโคลหันมามองหลินฟ่านด้วยความสนใจ ก่อนที่จะเดินเข้ามาราวกับจะทักทายหลินฟ่าน ไม่ได้แลดูหวาดกลัวหรือแปลกแยกแม้แต่น้อย

ทันใดนั้นเองเสียงหนึ่งพลันดังขึ้นในหูของหลินฟ่าน และคงเป็นการส่งคลื่นเสียงด้วยพลังงานที่แท้จริงแน่นอน

เขาย่อมจดจำได้ทันทีว่าเจ้าของเสียงนี้เป็นใครหลังจากได้ฟังคำกล่าว

[หลินฟ่าน สิ่งมีชีวิตพวกนี้เรียกว่าอสูรปฐพี พวกมันนั้นอยู่อาศัยในชั้นใตดิ้นลึกลงไปใต้ที่ตั้งนิกายเม้งก่าของเรา พวกมันเรียกได้ว่าเป็นคนงานก่อสร้างที่ยอดเยี่ยมที่สุดในแดนดิน ยามนี้หน้าที่ของพวกมันคือสร้างสิ่งปลูกสร้างให้แก่นิกายปีศาจศักดิ์สิทธิ์ของเจ้า]

ทันทีที่ได้ฟังหลินฟ่านก็รับรู้ได้ทันที ว่าน้ำเสียงนี้เป็นของประมุขหยางอย่างแน่นอน...หลินฟ่านเริ่มสำรวจมองไปยังอสูรปฐพีด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย สิ่งมีชีวิตนี้มันค่อนข้างแปลกประหลาดสำหรับเขามาก มันฉีกทุกจินตนาการของเขาอย่างสิ้นเชิง ออร์ค เอลฟ์ คนแคระ กอลั่ม หรือตัวประหลาดต่างๆนิยาย เหมือนจับเอามามัดรวมเป็นไอตัวนี้อย่างไรอย่างนั้น

“นะ...นายท่านขอรับ มะ...มันเป็นตัวอะไรหรือขอรับ ใช่ปีศาจหรือไม่ขอรับ?” ซั่งเอ้อกั๋วกล่าวถามออกมาอย่างหวาดกลัว

หลินฟ่านเพียงหัวเราะออกมาเบาๆ “อย่าได้กังวลไป พวกนี้เรียกว่าอสูรปฐพี ทางนิกายได้ส่งพวกมันมาเพื่อช่วยเหลืองานก่อสร้างนิกายของพวกเราอย่างไรเล่า”

"อสูรปฐพีหรือขอรับ?" ซั่งเอ้อกั๋วกล่าวทวนออกมา ตอนนี้ความอยากรู้อยากเห็นเริ่มเข้าแทนที่ความหวาดกลัว เมื่อเห็นประมุขของมันแย้มยิ้มออกมา

ทันใดนั้นเอง อสูรปฐพีตัวหนึ่งที่แลดูตัวใหญ่ที่สุดก็เดินมาหาหลินฟ่าน ก่อนที่จะบ่นพึมพำออกมาด้วยภาษาประหลาด "สะระบะร๊วก ขวกค๊วก ขวกค๊วก อุฟๆฟวยๆ แอ๊วๆ "

ดวงตาสีเขียวเข้มซ้ำยังปูดโปนของมันราวกับกำลังเรืองแสงออกมา มันชูไม้ชูมือชี้นิ้วไปมานู่นนี่นั่นราวกับจะวาดเขียนอะไรบางอย่างกลางอากาศ

เนื่องจากเป็นครั้งแรกในชีวิตของซั่งเอ้อกั๋วที่ได้เห็นตัวประหลาดเช่นนี้ ความอยากรู้อยากเห็นของมัน จึงราวกับไร้ที่สิ้นสุด มันรีบหันไปกล่าวถามนายท่านประมุขของมันด้วยสายตาอยากรู้และเต็มไปด้วยคาดหวัง ว่านายท่านผู้เลิศภพจบแดนของมันต้องตอบได้แน่ๆ "ท่านประมุขขอรับ เจ้าตัวนี้มันกล่าวว่าอะไรหรือขอรับ?"

หลินฟ่านที่ได้ฟังคำถามพร้อมเห็นสีหน้าคาดหวังของมันได้แต่แอบเครียดอยู่ในใจ ‘ชิบหาย ใครจะไปรู้วะ ค๊วกๆ ฟวยๆอะไรก็ไม่รุ้ ไม่ได้มีวุ้นที่กินแล้วแปลภาษาได้นะเว่ยเฮ่ย! แล้วนี่แม่งก็ไม่ใช่ภาษาคนด้วยซ้ำ สลัดผัก!’ หลินฟ่านได้แต่บ่น แต่เมื่อเห็นแววตาปิ๊งปั๊งที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง มันก็นะ เขาจึงต้องเงียบไปครู่หนึ่ง...

ตอนนี้ซั่งเอ้อกั๋วมองเขาเป็นประมุขที่เลิศล้ำสุดๆในปฐพี หากเขาบอกว่าไม่รู้แล้วเขาจะรักษาความเคารพถึงขีดสุดนี้ของมันได้อย่างไร?

เพื่อที่จะทำให้ดูเหมือนเข้าใจภาษาของอสูรปฐพี หลินฟ่านจึงคิดแผนการอันประเสริฐได้ประการหนึ่ง

หลินฟ่านไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาทำเพียงยิ้มแล้วพยักหน้าครั้งหนึ่งไปทางบ้านพักที่สร้างจากไม้ของเขา และของซั่งเอ้อกั๋ว ก่อนที่จะชี้มือชี้ไม้วาดรูปหลังคาแล้วก็ส่วนต่างๆของบ้านออกมา

.

หลินฟ่านไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไอพวกตัวประหลาดนี่จะเข้าใจหรือไม่ แต่ภาษามือที่เขาพยายามสื่อออกมามันก็น่าจะเข้าใจได้ไม่ยากสักเท่าไร

แล้ว อสูรปฐพีก็เริ่มกล่าวออกมา ค๊วกๆ อย่างน้ำไหลไฟดับพร้อมทั้งชูไม้ชูมือส่ายสะดือโยกไปโยกมา อย่างวุ่นวายอีกครั้ง มิหนำซ้ำครานี้มันยังพยักหน้าเป็นจังหวะๆ แถมดูเหมือนจะยิ้มอีกด้วย

เมื่อมองไปยังภาพตรงหน้าที่แลดูเหมือนว่า นายท่านประมุขของมันสามารถสื่อสารและสนทนากับอสูรปฐพีอะไรนั่นได้อย่างสนุกสนาน ซั่งเอ้อกั๋วก็บังเกิดความประทับใจล้ำลึกอย่างมาก ในโลกนี้ยังจะมีอันใดที่ท่านประมุขหวาดกลัวหรือทำไม่ได้บ้างกัน?

บุรุษคนนี้นับเป็นแบบอย่าง หรือไอดอลในดวงใจเขาอย่างแท้จริง

เฟิ่งปู้จู่ที่พึ่งออกจากบ้านพักก็ตกใจทันทีเมื่อเห็นอสูรปฐพีตัวดำๆแขนล่ำๆ มันรีบวิ่งมาหาซั่งเอ้อกั๋วที่กำลังยืนยิ้มอยู่ด้วยความสงสัย และกล่าวถามออกมาทันที

"ศิษย์พี่ ตัวประหลาดพวกนี้คืออะไรหรือ?" เฟิ่งปู้จู่กล่าวถามออกมาอย่างใคร่รู้และร้อนใจ

"ชู่ว!! นายท่านกำลังสนทนากับ อสูรปฐพีเหล่านี้! ด้วยภาษาที่พวกเราไม่เข้าใจอยู่ เจ้าอย่าได้ส่งเสียงดังไป เดี๋ยวจะไปรบกวนอันใดพวกเขาได้ เงียบๆไว้ก่อนอย่าพึ่งถามมาก!" ซั่งเอ้อกั๋วดุออกมา พร้อมทำปากจู๋เอานิวชี้ไปทาบ

"อะ..โอ๊! ได้เลยศิษย์พี่ ... " เฟิ่งปู้จู่พยักหน้ารับคำและยื่นนิ่งๆ จ้องมองภาพตรงหน้าข้างๆ ซั่งเอ้อกั๋ว

...

" Ok let’s do it... !" หลินฟ่านกล่าวภาษาประหลาดที่ทั้งสองคนไม่เข้าใจขึ้นมา พร้อมทั้งชูมือขวาทำสัญลักษณ์ประหลาด นิ้วชี้กับนิ้วโป้งเอาปลายชนกันเป็นวงกลม อีก 3 นิ้วที่เหลือเหยียดตรง ...แน่นอนว่าเขาพูดภาษาอังกฤษและชูมือ OK ออกมา

เนื่องจากเขาไม่เข้าใจว่าไอพวกเวรนี่มันพล่ามอะไร เขาก็เลยตีเนียนพล่ามอะไรที่มันไม่เข้าใจออกไปบ้าง ทั้งหมดนี่ก็เพื่อภาพลักษณ์ที่สูงส่ง ...แน่นอนเขาก็ต้องพูดภาษาที่ไม่ได้ใช้นานอย่างภาษาอังกฤษออกไปมั่วๆ เพราะยังไงก็ไม่มีใครฟังออกอยู่แล้ว

สุดท้ายหลินฟ่านยังพยักหน้าราวกับว่าตกลงกันได้แล้ว ทางอสูรปฐพีเองก็พยักหน้าออกมาเช่นกัน และพวกมันก็หยิบจับเครื่องไม้เครื่องมือและเริ่มเดินไปยังทิศทางบ้านพักของหลินฟ่าน

"กรูมมมมม ..."

ตัวที่ดูเหมือนจะเป็นจ่าฝูงครามออกมา คราวนี้อสูรปฐพีแต่ละตัวก็แยกย้ายกันออกไป พร้อมเครื่องไม้เครื่องมือ

“ท่านประมุขขอรับ ท่าทางกับคำพูดสุดท้ายที่ท่านกล่าวขึ้นมาเมื่อครู่ มีความหมายว่าอันใดหรือขอรับ?”ซั่งเอ้อกั๋ว กล่าวถามขึ้นมาด้วยแววตาเป็นประกาย

"อ๋อ Ok, let’s do it น่ะเหรอ แปลว่า เอาล่ะ ไม่มีปัญหา ลงมือได้! ภาษาที่ล้ำลึกและยากเข้าใจเช่นนี้มันอาจจะเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเจ้าไปเสียหน่อย เอาล่ะพวกเจ้าเองก็อย่าได้ใส่ใจอะไรเรื่องนี้ ปล่อยให้พวกมันดำเนินการไปเถิด พวกเราลงไปยังตีนเขากันดีกว่า" หลินฟ่านกลาวตอบออกมาอย่างมั่นใจ

"ขอรับ!" ซั่งเอ้อกั๋วและเฟิ่งปู้จู่พยักหน้าออกมาอย่างพร้อมเพรียง ยามนี้พวกมันเชื่อมั่นอย่างแท้จริงว่าประมุขของพวกมันนั้น เป็นบุรุษที่ยอดเยี่ยมอย่างถึงที่สุด

...

ในขณะที่เดินลงเขาไปในใจของหลินฟ่านเองก็บังเกิดความกังวลขึ้นมาไม่น้อย เพราะจะอย่างไรเขากับ อสูรปฐพีนั่นก็พูดกันคนละภาษาอย่างแท้จริง เขาจะไปรู้ได้ยังไงว่ามันหมายความว่าอะไรยังไงบ้าง หากเป็นไปได้เขาเองก็คิดจะไปหาประมุขหยางเพื่อกล่าวถามเสียให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย ไม่รู้ว่าเขาไปปล่อยให้พวกมันจัดการกันเองแบบนี้ กลับมาจะเป็นยังไงบ้าง

และตอนนั้นเองราวกับว่าผู้นำของ เหล่าอสูรปฐพีจะเข้าใจความกังวลของหลินฟ่าน มันฉีกยิ้มจนเป็นฟันเรียงเป็นซี่ ราวกับจะบอกว่า “พวกท่านไปเถอะ เดี๋ยวพวกเราจัดการเอง!”

เหล่าอสูรปฐพีเหล่านี้นั้นอยู่ภายใต้การคุ้มครองของนิกายเม้งก่ามานานนับพันๆปี โดยที่นิกายเม้งก่าเองก็ไม่เคยเรียกร้องขออะไรพวกมันตอบแทน แต่พวกมันก็มักจะตอบแทนด้วยการสร้างอาคารบ้านเรือนต่างๆให้เสมอๆ

ตอนนี้ขุนเขาไร้นามเองก็ต้องการอาคารต่างๆมากที่สุดเพราะจะอย่างไร มันก็ต้องกลายเป็นนิกายปีศาจศักดิ์สิทธิ์ในอนาคต เขาเลยยินดีที่จะปล่อยให้อสูรปฐพีจัดการ

ถึงแม้ว่าพวกมันจะพอเข้าใจคำพูดเล็กๆน้อยๆบางคำของมนุษย์ได้ แต่พวกมันก็ไม่อาจกล่าวตอบอะไรมนุษย์ได้ ทำได้เพียงใช้ภาษามือง่ายๆ แค่นั้น

สำหรับพวกเขาแล้วการทำเช่นนี้เป็นแค่การทักทายกับมนุษย์เท่านั้น ทั้งยังมีบ้างที่พยายามแลกเปลี่ยนทัศนคติกันในด้านของการก่อสร้าง...ทว่าส่วนมากมันมักจะสร้างอาคารตามใจชอบของมันอยู่แล้วโดยไม่สนใจคำสั่งอะไรทั้งสิ้น...

ในฐานะผู้รับเหมาแล้ว แน่นอนว่าพวกมันย่อมต้องผ่านประสบการณ์เช่นนี้มามากมาย จึงพอรู้ว่าควรจะสร้างอย่างไร ไม่จำเป็นต้องให้ใครมาสอน

แต่คนอื่นมักจะเข้าใจไอท่าทีเล็กๆน้อยๆและถือเป็นการทักทายของพวกมันผิดเสมอ คิดว่าพวกมันกำลังคุยอะไรบางอย่าง

...

ในที่สุดหลินฟ่านและศิษย์ทั้ง 2 คนก็ลงมาถึงบริเวณตีนเขา

ตอนนี้สายตาที่เหล่าศิษย์สายนอก ใช้จ้องมองไปยังหลินฟ่านและศิษย์ทั้งสองนั้น มันเต็มไปด้วยความเคารพอย่างแท้จริง

"ท่านประมุขน้อยหลิน!"

"อรุณสวัสดิ ขอรับท่านประมุขน้อย!"

หลินฟ่านค่อยๆพยักหน้ารับคำด้วยรอยยิ้ม เขารู้สึกเพลิดเพลินสบายอารมณ์ไปกับความรู้สึกเช่นนี้ เมื่อมองไปยังเหล่าศิษย์ทั้งหลายที่มีประกายตาฉายชัดออกมาถึงหลงใหล,เชื่อมั่นและจงรักภัคดี เขาก็รู้สึกว่าที่อุตส่าห์ทำมามันช่างคุ้มค่านัก

จะอย่างไรนี่ก็เป็นการได้ใจเหล่าศิษย์จำนวนมาก นับเป็นเรื่อง่นาสะพรึงกลัวไม่น้อย

ซั่งเอ้อกั๋วเองก็เดินอกผายไหล่ผึ่งนมตึงหน้าตั้งเช่นกัน และยามนี้เขาบังเกิดความคิดประการหนึ่ง

มันจะเป็นอย่างไรกัน ถ้ายามนี้ไม่มีท่านประมุขแล้วก็เฟิ่งปู้จู่ยืนอยู่ด้านข้าง ไม่ใช่ว่าความสนใจทั้งหมดของมวลชนจะมาตกอยู่ที่มันเช่นนั้นหรือ

ความรู้สึกเช่นนั้นจะยอดเยี่ยมประการใดกัน?

"นายท่าน ข้าอยากขออนุญาตไปเยี่ยมสหายในเขตที่พักของคนรับใช้เสียหน่อยขอรับ นานมากแล้วที่ข้าไม่ได้กลับไป ข้าเอวก็มีสหายที่คิดถึงอยู่ไม่น้อย" ซั่งเอ้อกั๋วกล่าวร้องขอออกมา

“เอาล่ะ เช่นนั้นเจ้าก็ไปเถอะ”

สำหรับหลินฟ่านเองก็เช่นกัน หากยามนี้ไม่มีลูกศิษย์ทั้งสองมาเบี่ยงเบนความสนใจแม้จะเพียงเล็กน้อยจากผู้คนมันจะเป็นอย่างไรกันหนอ ทุกสายตาแห่งความเคารพจะมองมาที่เขาเป็นจุดเดียว

แล้วความรู้สึกนั้นมันจะดีขนาดไหนกันนะ?

เมื่อเฟิ่งปู้จู่หันไปมองหลินฟ่านสลับกับซั่งเอ้อกั๋วตัวเขาเองรู้สึกได้ว่าสองคนนี้ต้องคิดอะไรพิลึกๆอยู่แน่

"นายท่านขอรับ ข้าเองก็อยากไปหาสหายเช่นกันขอรับ" เฟิ่งปู้จู่ก็เริ่มสัมผัสได้ว่ายามนี้มันเองก็สมควรไป...

"โอ้ เช่นนั้นรึเจ้ารีบไปเถอะ" หลินฟ่านเองก็ยิ้มแป้นออกมาราวกับ เข้าทาง!

ในที่สุดลูกศิษย์ทั้ง 2 คนก็ไปได้ซะที ยามนี้เขาจะได้เด่นแต่เพียงผู้เดียวแล้ว...

รีวิวผู้อ่าน