
1819 วันที่แล้ว
แหม๋ๆๆๆๆ
นัยน์ตาสีม่วงคู่นั้นมอบความรู้สึกอันสูงสง่าภูมิฐาน
นัยน์ตาสีม่วงที่ทอประกายระยิบระยับคู่นั้น ประหนึ่งกำลังเย้ยหยัน
แสงจันทราที่สาดส่องอ่อนสลัว ความสูงส่งสง่างามที่มิมีมนุษย์ผู้ใดหาญกล้าสบตามองโดยตรง !
แม้นชายชราผู้นั้นจะอยู่ในตำแหน่งไม่ไกลห่างออกไปนัก ทว่าเพียงเริ่มรู้สึกถึงนัยน์ตาสีม่วงที่กำลังจับจ้องใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ความหวาดผวาพรั่นพรึงพลันท่วมท้นจากเบื้องลึกภายในใจ กระทั่งหลั่งล้นผ่านม่านดวงตาอย่างเห็นได้ชัด
“ใช่แล้ว…เป็นท่าน…”
เฒ่าชราผู้นั้นยกมือที่สั่นเทาชี้ไปยังร่างของบุรุษหนุ่มเบื้องหน้า ปลายนิ้วของเขาสั่นระริก
ภายใต้เงาจันทร์ ชายหนุ่มผู้อยู่ในอาภรณ์สีดำผู้นั้นหยุดยืนนิ่งอยู่กับที่
รูปร่างของเขาสูงโปร่ง ทั้งยังสูงกว่าชายชรา
เขายืนเด่นสง่า ขณะกดสายตาลงมองชายชราผู้หุ้มห่อร่างกายด้วยอาภรณ์สีขาวสะอาดตา
“ข้าไม่รู้มาก่อนเลยว่า ตั้งแต่เมื่อใดที่เทียนตี้ไป๋ไม่อาจละเว้น กระทั่งหญิงสาวแน่งน้อยผู้หนึ่ง…”
ริมฝีปากบางของเขาขยับเคลื่อนขึ้นลง ประหนึ่งต้องการท้าทายหมู่ดารา โครงหน้าได้รูปที่เสมือนหนึ่งถูกสลักเสลาด้วยฝีมืออันปราณีตวิจิตรล้วนจัดสรรทุกสัดส่วนบนรูปหน้าได้อย่างลงตัวสมบูรณ์แบบอย่างมิอาจค้นหาที่ติ
ใบหน้าที่หล่อเหลาเหนือคำบรรยาย โดดเด่นภายใต้แสงเดือนที่ทอประกายสีเงินยวงระยิบระยับสามารถสร้างความสับสนมึนงง ราวตกอยู่ในห้วงแห่งภวังค์อันหลงลืมตนแก่ทุกผู้คนที่ได้ยลเห็น…
เฟิ่งฉู่เกอจ้องบุรุษผู้ปรากฏกายอย่างไม่คาดฝันด้วยความอัศจรรย์ใจ
ชายผู้นี้ต้องเป็นมารปีศาจอย่างแน่แท้ ! เขาหล่อเหลาจนเกินไปแล้ว !
อาวุโสผู้ถูกเรียกขานว่าเทียนตี้ไป๋ ยามนี้หวาดผวา กระทั่งเนื้อตัวสั่นเทาฝ่าเท้าล่าถอยอย่างมิรู้ตัว
แม้ผู้อื่นจะไม่ล่วงรู้ หากทว่าเขาย่อมกระจ่างแจ้งแก่ใจ
ว่าบุรุษผู้ยืนตระหง่านเบื้องหน้าเขาในวันนี้ คือชายหนุ่มผู้มีวรยุทธสูงส่งขั้นที่เจ็ด ปราณจักรพรรดิ !*
*วรยุทธมีทั้งหมด 8 ขั้น สูงกว่าปราณจักรพรรดิมีเพียงปราณเซียนเท่านั้น
แม้เหล่าชาวยุทธทั่วหล้าจะตั้งใจฝึกฝนวรยุทธอย่างทุ่มเทตลอดชั่วชีวิต ยังไม่อาจแม้เพียงเฉียดใกล้วรยุทธที่สูงส่งถึงเพียงนี้ หากทว่า บุรุษหนุ่มผู้หล่อเหลาดึงดูดความรู้สึกเบื้องหน้าเขานี้ คือผู้สามารถบรรลุถึงปราณขั้นจักรพรรดิได้ด้วยวัยแค่เพียง 18 ปี !
“ท่าน…เหตุใดท่านจึงมาปรากฏกายที่นี่ ?”
“ข้าย่อมต้องปรากฏกาย เมื่อมีผู้คิดลงมือกับอิสตรีผู้อ่อนแอ…”
เพียงสายตาของเขาเคลื่อนขยับ กลับเสมือนหนึ่งความงดงามภายใต้โลกหล้าที่กว้างใหญ่ถูกสูบกลืนรวมลงในแววตาคู่นั้น
“นางคือหญิงของท่าน ?”
เทียนตี้ไป๋หันไปจ้องเฟิ่งฉู่เกอด้วยท่าทีประหลาดใจอย่างเหลือแสน เขาสามารถประมวลความเข้าใจทุกอย่างกระจ่างชัดด้วยเวลาเพียงชั่วครู่
“ที่แท้ นางคือหญิงของท่าน มิน่าเล่า จึงยโสโอหังยิ่งนัก ! ฮ่าฮ่าฮ่า ! ...”
“เทียนตี้ไป๋…ไม่อยากเป็นผู้ลงมือ”
ชายผู้นั้นเอนแผ่นหลังพิงด้วยท่าทีผ่อนคลาย สองคิ้วเลิกสูง ริมฝีปากบางเผยอกระซิบคำ
ทันทีที่บุรุษผู้นี้ปรากฏกาย ชายชราในอาภรณ์สีขาวย่อมตระหนักดีว่าวาระสุดท้ายแห่งชีวิตของเขาได้มาถึงแล้ว
เฒ่าผู้นั้นหันกลับมาตอบคำด้วยน้ำเสียงหม่นมัว---
“ข้าเข้าใจแล้ว…ไม่ขอรบกวนท่าน…”
เขายกมือขึ้นพร้อมคำกล่าวนั้น ยินเพียงเสียงดัง ‘ตูม’ ฝ่ามือของชายชราผู้นั้นก็อัดกระแทกใส่จุดรวมพลังสวรรค์ของตนเอง
“อั่ก---”
โลหิตอุ่นพุ่งทะลักออกจากปากชายชราในชุดขาว เพียงชั่วพริบตา เฒ่าผู้นั้นก็ไร้สิ้นอายพลัง ไร้สิ้นชีวิต
ทั่วชั้นบรรยากาศคละเคล้าไปด้วยกลิ่นคาวโลหิต
แสงจันทร์สาดส่องทอลอดผ่านหมู่แมกไม้ ส่งผลให้เกิดเงากิ่งใบตกต้องกระทบแผ่นพื้น บุรุษผู้นั้นย่างกรายผ่านเงาจันทร์อย่างเชื่องช้า
สายลมเย็นที่พริ้วผ่านช่วยปลดปล่อยปลายผมของเขาให้เคลื่อนไหวได้อย่างอิสระเสรี ส่งให้ท่วงท่าในยามนี้ของชายหนุ่มยิ่งเผยความก้าวร้าวดุดันสมความเป็นหนุ่มวัยฉกรรจ์
กระทั่งที่สุดเรือนกายที่สูงโปร่งจึงตรงเข้าครอบงำเรือนร่างอรชรบอบบางของเฟิ่งฉู่เกอ
นัยน์ตาสีม่วงคู่นั้นหรี่ลงเล็กน้อย ขณะจับจ้องมองมาที่นาง
“แม่นาง เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ?”
เฟิ่งฉู่เกอกำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความตื่นตะลึงในความหล่อเหลากระชากวิญญาณประดุจมารปีศาจของบุรุษผู้สามารถครอบงำจิตใจของอิสตรีให้ใหลหลง ทว่าเพียงครู่ ที่ความรู้สึกกลับคืน เฟิ่งฉู่เกอรีบหันมาสบตาเขากลับด้วยความขัดเขินเล็กน้อย
นางหาใช่ผู้ที่ไม่เคยพบเจอบุรุษผู้หล่อเหลา เพียงทว่า ความหล่อเหลาที่กำลังปรากฏเบื้องหน้าสายตาของนางนี้ คือความงดงามถึงระดับสามารถทำให้จิตใจเลื่อนลอยไม่สมประดี ยากยิ่งจะควบคุมความรู้สึกในใจ
หากทว่า เมื่อยามนี้นางสามารถเรียกคืนความรู้สึกทั้งหมดกลับมาได้อย่างสมบูรณ์
หญิงสาวจึงเงยหน้าขึ้นกล่าวคำ…
“ขอบคุณในน้ำใจของท่าน มิทราบคุณชายมีนามว่า…”
“ตี้เจวี๋ยเฉิน…”
ชายหนุ่มเผยรอยยิ้มอ่อนโยน
ขณะที่อีกฝ่ายแทบจะล้มทั้งยืน
ตี้เจวี๋ยเฉิน…
เขาคือตี้เจวี๋ยเฉิน บุรุษผู้อยู่ในรายนามชายงามอันดับหนึ่งบนแผ่นดิน ตี้เจวี๋ยเฉิน ผู้ที่จื่อหลานหลงใหลคลั่งไคล้อย่างเอาเป็นเอาตายกระนั้นหรือ ?”
ช่างบังเอิญเสียจริง…
***จบตอน ตี้เจวี๋ยเฉิน***
แหม๋ๆๆๆๆ