
1819 วันที่แล้ว
พ่อคู๊นอวยตัวเอง

1827 วันที่แล้ว
อาเฉินอวยตัวเองน่าดู
แสงจันทราสาดส่องทั่วทุกมุมแห่งลานกว้าง ยามเมื่อเฟิ่งฉู่เกอควานหาตัวอาเฉินอย่างไม่หยุดยั้ง ที่สุดนางจึงหย่อนกายลงนั่งบนโขดหิน
“แม่นาง…เจ้ากำลังตามหาข้ากระนั้นหรือ ?”
เสียงง้องแง้งของเด็กน้อยดังขึ้นจากด้านบนเหนือศีรษะ
เมื่อแหงนเงยขึ้นมองเหนือม่านฟ้า เฟิ่งฉู่เกอจึงเห็นอาเฉินนั่งเล่นอยู่บนโขดหินสูงทางด้านบน
แสงจันทราที่ผ่องอำไพสะท้อนต้องอาภรณ์สีขาวที่สวมใส่อยู่บนร่างของเขาให้ยิ่งกระจ่างสว่างพร่างตา
หญิงสาวค่อยถ่ายถอนลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอกเมื่อมั่นใจแล้วว่ายามนี้อาเฉินปลอดภัยไร้รอยขีดข่วน
“ปีศาจน้อย ผู้ใดอนุญาตให้เจ้าออกมาเพ่นพ่านเช่นนี้ ? รู้หรือไม่ยามนี้เรือนเฟิ่งแห่งนี้เต็มไปด้วยภัยอันตรายรอบด้าน ? รู้หรือไม่เจ้าทำให้พี่สาวตกใจแทบตาย !”
อาเฉินหันมากล่าวคำกับนาง
“แม่นาง อย่าได้เรียกแทนตนเองว่าพี่สาวเช่นนี้อีก หาไม่ข้าจะไม่กลับไปกับเจ้า”
“ไม่ให้เรียกพี่สาว แล้วจะให้เรียกอย่างไร ?”
“เหนียงจื่อ*---”
*เหนียงจื่อ หมายถึงภรรยา
อาเฉินตอบพร้อมรอยยิ้มที่สดใสพิมพ์ใจ
มุมปากทั้งสองของเฟิ่งฉู่เกอกระตุกกึก
ที่ผ่านมา แม้อาเฉินจะเคยเอ่ยถามว่านางจะรอออกเรือนไปกับเขา ยามเมื่อเขาเติบใหญ่หรือไม่ ในครานั้น นางเพียงเล่นด้วยจึงตอบรับ ผู้ใดจะคาดคิดว่าอาเฉินจะเก็บจำฝังใจเป็นตุเป็นตะถึงเพียงนี้
“ปีศาจน้อย ยังเล็กเพียงตัวกระเปี๊ยก ! คิดริอ่านแต่งสาวกระนั้นรึ ! มาเลย รีบลงมาเลย !”
“เจ้าเด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม !”
“ข้าไม่สน ! แม่นาง เจ้ารับปากข้าไว้แล้ว หากยามนี้เจ้าคิดจะกลับคำ ข้าก็จะไม่ลงไป แม้นเจ้าขึ้นมาจับข้า ข้าก็จะไม่ยอมลงไปอย่างเด็ดขาด !”
เฟิ่งฉู่เกอย่อมตระหนักดีว่าความคิดอ่านของอาเฉินนั้นเกินวัย ยิ่งยามนี้เขาเลือกใช้น้ำเสียงเข้มหมายข่มขวัญนางเช่นนี้ นางก็ยิ่งอดนึกขันขึ้นมามิได้
ทว่าอย่างไรเสีย เด็กน้อยก็ย่อมเป็นเช่นนี้เอง เกลี้ยกล่อมหลอกล่อนิดหน่อย ประเดี๋ยวก็ยิ้มร่าแล้ว
“เอาล่ะ ๆ ข้ารับปากเจ้า ลงมาได้แล้ว”
“ได้ !!”
ใบหน้าน้อย ๆ ของอาเฉินเผยรอยยิ้มหวานสดใส
เฟิ่งฉู่เกอจ้องใบหน้าเปี่ยมรอยยิ้มของเด็กน้อยด้วยความฉงน
เหตุใดนางจึงรู้สึกว่ารอยยิ้มของอาเฉินช่างให้ความรู้สึกที่คล้ายคลึงกับรอยยิ้มที่ดึงดูดใจของตี้เจวี๋ยเฉินผู้นั้น ?
เฟิ่งฉู่เกอสะบัดหน้า แน่นอนที่สุด เขาคือบุรุษหนุ่มผู้หล่อเหลาที่สุดในใต้หล้าอย่างแท้จริง…
*****
ขณะที่เฟิ่งฉู่เกอกลับมายังสวนใจกลางเรือน ทั้งจื่อหลานและปี้หลัวต่างก็ยืนตาฉ่ำฝันค้างเมื่อบุปผายังคงเบ่งบานสะพรั่งภายในใจ
“พวกเจ้าทั้งสอง พอได้แล้ว”
เฟิ่งฉู่เกออมยิ้มเมื่อเห็นท่าทางหลงเพ้อของคนทั้งคู่
“คุณหนูเจ้าคะ คุณชายตี้เจวี๋ยเฉินผู้นั้นรูปงามจริง ๆ เขาคือบุรุษผู้หล่อเหลาเป็นหนึ่งในใต้หล้าอย่างแท้จริงเลยนะเจ้าคะ”
“ถูกแล้ว ๆ … ข้าไม่เคยเห็นบุรุษใดหล่อเหลาถึงเพียงนี้มาก่อน”
ปี้หลัวผู้เพิ่งคืนสติจากห้วงภวังค์แห่งความหลงเพ้อรีบกล่าวสำทับในทันที
“คุณหนูเจ้าคะ วีรบุรุษผู้กล้าเยี่ยงนี้เท่านั้น จึงจะเหมาะสมกับคุณหนูของพวกเรา”
จื่อหลานรีบนำเสนอความคิดที่พรั่งพรูอยู่ในหัวขณะยืดอกกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“หากได้คุณชายตี้เจวี๋ยเฉินผู้นั้นมาเป็นท่านเขยคู่ขวัญคุณหนู อา… ข้าก็จะมีอาหารตาให้ได้เชยชมมิรู้เบื่อทุกเมื่อเชื่อวัน !!!”
ริมฝีปากของเฟิ่งฉู่เกอกระตุกกึก
นางรู้ดีว่าจื่อหลานคลั่งไคล้ชื่นชมในตัวตี้เจวี๋ยเฉินผู้นั้นมากเพียงไร เพียงไม่คาดคิดว่าจื่อหลานจะเพ้อเจ้อไปได้ไกลลิบถึงเพียงนี้
“เอาล่ะ ๆ นี่ก็ดึกมากแล้ว แยกย้ายกันไปพักผ่อนเถิด !”
“โอย ๆ ๆ ๆ มิได้…มิได้ มิได้แน่แล้วเจ้าค่ะ ข้ามีบุญได้เห็นคุณชายตี้เจวี๋ยเฉินเข้าให้แล้ว ค่ำคืนนี้คงมิอาจข่มตาหลับลงได้อย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
จื่อหลานยังพร่ำเพ้อไม่หยุดปาก
“ปี้หลัว ไหนเจ้าลองตอบข้ามาสิว่า ภาพที่คุณหนูของพวกเรายืนเคียงข้างคุณชายตี้เจวี๋ยเฉินนั้นงดงามเหนือคำบรรยายหรือไม่ ?”
ปี้หลัวรีบพยักหน้าหงึกหงัก
“เหมาะสมคู่ควรหรือไม่ ?”
“อย่างที่สุด !!”
“ทั้งหล่อเหลา ทั้งเก่งกล้า ไหนเลยไม่ควรค่าคู่ควร ?”
ปี้หลัวให้การสนับสนุนอย่างหนักแน่นพร้อมพยักหน้าหงึกหงักอีกครา
กระทั่งอาเฉินเด็กน้อยผู้รับฟังอยู่ด้านข้างยังผงกศีรษะย้ำคำหนักแน่น
“แน่นอนที่สุด คู่ควรอย่างที่สุด !!”
“ดูเถิดคุณหนู เด็กน้อยย่อมมิรู้จักโป้ปด…กระทั่งอาเฉินยังถึงกับออกปากว่าพวกท่านทั้งสองนั้นคู่ควร…”
***จบตอน หล่อเหลาเหนือคำบรรยาย***
พ่อคู๊นอวยตัวเอง
อาเฉินอวยตัวเองน่าดู