แต่แน่นอนว่าหลินฟ่านย่อมไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมา ถึงจะรู้สึกผิดในใจเล็กน้อย ‘อา เหล่าลูกแกะหลงทางที่น่าสงสาร ถูกความแค้นเข้าครอบงำจนหน้ามืดตามัว..’
'แต่ก็ดีแล้วล่ะ เพราะยังไงบนโลกใบนี้ ก็ไม่มีแรงจูงใจอะไรจะยิ่งใหญ่ไปกว่าความเกลียดชังอีกแล้ว บางทีความเกลียดชังนี้จะไปกระตุ้นพวกมันให้ขยันและตั้งใจฝึกฝน จนทำให้พวกมันบรรลุความสามารถไปอีกขั้น...ตามบทมันต้องเป็นงี้ป่าววะ? น่าจะใช่แหล่ะ ต้องลองดูตามแผน และทีนี้คงมีสักวัน ที่พวกมันจะต้องมาคุกเข่าขอบคุณเราประมุข ที่มีส่วนช่วยทำให้พวกมันประสบความสำเร็จ เพราะเราประมุขได้สร้างแรงบันดาลใจให้พวกมันด้วยการเสียสละตัวเองให้พวกมันโกรธแค้น อา...เหตุใดเราถึงเป็นคนดีเช่นนี้?’
ถ้าหากเขาสามารถนำเหล่าลูกแกะที่หลงทางเหล่านี้ ให้กลับมาสู่โลกแห่งความจริง และทำให้มันสำนึกรวมทั้งปลุกจิตวิญญาณความตั้งใจในการฝึกฝนของพวกมันขึ้นมาอีกครั้ง... ทุกอย่างก่อนหน้านี้ก็นับว่าคุ้มค่าแล้ว
และเมื่อมาถึงตอนนี้แล้ว ! สิ่งที่เขาควรทำยามนี้ควรจะเป็น...การสร้างความเกลียดชังเพิ่มขึ้นไปอีก!! เพื่อเป็นแรงผลักดันให้แก่พวกมัน ทำให้พวกมันฮึดสู้! ในความเป็นจริงแล้วพวกมันทุกคนล้วนมีความสามารถ มีศักยภาพอยู่ไม่น้อย แต่พวกมันเฉื่อยชามากเกินไป เขาจะปลุกมัน ปลุกวิญญาณนักสู้ ให้พวกมันฮึดขึ้นมาสู้สุดใจเหมือนยามที่พวกมันยังเด็ก แหกปากร่ำร้องสุดใจขาดดิ้น เพื่อควานหานมแม่มาดูดดื่ม! เขาจะปลุกความเป็นนักสู้ในตัวพวกมัน!
ท่าทางของหลินฟ่านเปลี่ยนไปโดยพลัน ใบหน้าแย้มยิ้มเขาของสลายลงไป ก่อนจะเป็นใบหน้าเมินเฉยไม่แยแส และเงยหน้าขึ้นมาเล็กน้อย ใช้มุมมองราวกับเหลือบลงมามองพวกมัน ก่อนที่จะชี้นิ้วออกมา...ท่านี้ช่างคุ้นๆนัก
"พวกเจ้ากล้าใช้สายตาเช่นนั้นมองข้างั้นหรือ! ข้าประมุขมาถึงที่นี่แล้วแท้ๆ เหตุใดพวกเจ้ายังไม่มาต้อนรับ หรือทำความเคารพข้าอย่างนอบน้อม"
เมื่อมองไปยังเหล่าศิษย์ของขุนเขาต้านติ่งที่อยู่รอบๆ หลินฟ่านก็เริ่มดำเนินการแผนการออกมาทันที
ส่วนเหล่าศิษย์ของขุนเขาต้านติ่งที่ถูกมาหยามหยันจนบังเกิดความอัปยศอดสูนั้น ดวงตาของมันเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด พวกเขาสาบานว่าหากพวกเขาไม่อาจเหยียบย่ำบุรุษตรงหน้าได้สักครั้งล่ะก็พวกเขาไม่ขอเป็นผู้เป็นคน!
สำหรับหลินฟ่านตอนนี้รู้สึกดีอย่างมาก ใครจะไปรู้ หากเขายั่วให้พวกมันโมโหจนถึงขีดสุดแล้วบังเกิดแรงฮึด แสดงศักยภาพแฝงเร้นออกมา กลับไปฝึกฝนบ่มเพาะศาสตร์โอสถจนมีความก้าวหน้าอะไรขึ้นมา นี่ไม่เรียกทำสำเร็จหรือ?
หลินฟ่านยังคงตะโกนออกมาอย่างหยิ่งยโส เสียงของดังนั้นมันราวกับฟ้ารองก้องคำรามดังสนั่น จนเหลือเพียงเสียงอื้ออึงในรูหูของเหล่าศิษย์แห่งขุนเขาต้านติ่ง
“ยังจะยืนทำหน้าโอหังเช่นนี้อีก พวกเจ้าไม่เข้ามาคารวะข้าประมุขเช่นนี้รู้ความผิดตัวหรือไม่ ฐานะพวกเจ้าเป็นตัวอะไร ฝีมือพวกเจ้าห่วยแตกถึงเพียงไหน ยังไม่รู้สำนึกอีกหรือไร คุกเข่า!!”
ครืนนนนน แรงกดดัน ที่แผ่ออกมาหลังจากลอบใช้ระลอกคลื่นถาโถมอย่างแยบยลลงพื้นดินจนบังเกิดแรงสั่นสะเทือนและกลิ่นอายพรั่นพรึงประการหนึ่ง
ทุกคนที่ได้รับฟังเริ่มหวาดกลัวอย่างมาก ยามนี้ร่างของพวกมันสั่นระริกราวกับลูกนก แล้วพวกมันก็ค่อยๆหลับตาลง
‘เออ เริ่มเหลืออดกันแล้วสิ! ระเบิดออกมา! ฮึดเข้าไว้ ปลดปล่อยความเกรี้ยวกราดของพวงเอ็งออกมา’
หลังจากหลินฟ่านกราดสายตามองท่าทางของทุกคนรอบๆ เขาก็รู้ว่าเขามาถูกทางแล้ว เขาเลือกใช้วิธีได้ถูกและเหมาะสม การด่าและกดขี่ข่มเหงพวกมันแบบนี้จะทำให้พวกมันฮึดสู้....นี่เป็นเรื่องที่ต้องกระทำ!
แต่แน่นอนว่าหลินฟ่านไม่ได้ใจร้ายไส้ระกำถึงขั้นลงมือลงไม้ เขาไม่คิดที่จะทุบตีผู้คนอะไรทำนองนั้น เขาทำแค่ตะโกนด่าทอเท่านั้น เพราะหากทุบตีพวกมันไปเดี๋ยวความสัมพันธ์จะกู่ไม่กลับ เขาไม่อยากทำร้ายศิษย์ร่วมนิกาย
ทว่าในขณะที่หลินฟ่านคิดจะเดินจากไป และมุ่งหน้าไปยังแปลงสมุนไพร โดยปล่อยให้พวกมันคับแค้นใจและเกิดแรงฮึดนั้น ก็บังเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น
ไม่คิดเลยว่าเหล่าศิษย์ทั้งหลายที่ถูกเขาด่าทอและกดขี่ข่มเหงให้บังเกิดความอัปยศอดสู ด้วยคำพูดหยามหยันของเขา จะเลือกตะโกนออกมาอย่างพร้อมเพรียงว่า....
"ขอทำความเคารพท่านประมุขน้อย ... !"
"ขอทำความเคารพท่านประมุขน้อย ขอคารวะท่านประมุขน้อย!"
....
‘เชี่ยไรเนี่ยยยยย!’
หลินฟ่านอึ้งจนพูดไม่ออก นี่ไม่ใช่อะไรแบบที่เขาคิดไว้สักกะนิด! ‘อะไรของพวกแม่งวะเนี่ย พวกมันมีศักดิ์ศรีบ้างป่าวว้า ความหยิ่งยโสพวกมันมีแค่นี้เรอะ!’
แม้จะโดนเขาแสดงท่าทีหยามหยันไปขนาดนั้น แต่พวกมันยังกล้ามาคารวะเขาอย่างคนไร้ยางอาย! แล้วความภาคภูมิใจ ความยโสโอหังของพวกมัน เอาไปไว้ที่ไหนหมดกัน?
‘พวกมันนี่...แม่ง ห่วยแตกชิบ’
หลินฟ่านอดถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ รุ่นเยาว์ของขุนเขาต้านติ่งช่างอ่อนปวกเปียกเสียเหลือเกิน ‘เฮ่อ ขี้กลัวไม่มีความหยิ่งอะไรแบบนี้ พวกมันจะทำเรื่องยิ่งใหญ่ได้อย่างไร กลัวใจในอนาคตของขุนเขาต้านติ่งชิบ มีไอพวกปวกเปียกนี่เป็นคนรุ่นต่อไป’
....
แต่สำหรับทางฝั่งเหล่าศิษย์ของขุนเขาต้านติ่งแล้ว พวกมันเห็นหลินฟ่าน แทบไม่ต่างอะไรกับ ราชันย์มาร
พวกมันล้วนหวาดกลัว ...หวาดกลัวจนถึงขีดสุด จนไม่กล้าต่อต้านอะไรอีกต่อไป
ความสามารถในการหลอมโอสถนั้นไม่ต้องกล่าวถึง มันช่างยอดเยี่ยมยิ่งกว่าปรมาจารย์ของพวกมันเสียอีก อีกทั้งเขายังชอบเข้าสังคมและเป็นกันเองกับผู้ที่เป็นมิตร ทำให้มีแต่คนล้วนชมชอบเขาทุกคนล้วนสนับสนุนเขา และที่สำคัญที่สุด แม้แต่ปรมาจารย์ของขุนเขาต้านติ่งยังเข้าข้างเขา
แล้วเรื่องมันถึงขนาดนี้แล้วพวกเขาจะไปมีปัญญาต่อกรอะไรได้? ผลลัพธ์หลังจากโยนไข่ไปกระทบหิน มันเป็นอย่างไรแน่นอนพวกเขาทุกคนล้วนรู้ดี แล้วพวกเขาจะรนหาที่ทำไม
แน่นอนพวกเขาย่อมรู้ดีว่า ต้องทำตัวอย่างไร... มีคำกล่าวที่ว่า ถ้าไม่สามารถเป็นศัตรูกับมันได้ ก็จงเข้าร่วมกับมันซะ ไม่งั้นฝืนต่อต้านไปจนไร้ชีวิต แล้วยังจะเหลืออะไรให้ภาคภูมิใจอีกเล่า
"ท่านประมุขน้อยหลิน! ท่านมาถึงที่นี่มีอันใดให้พวกเราช่วยเหลือหรือขอรับ?"
"พวกเรานับว่าคุ้นเคยกับพื้นที่ของขุนเขาต้านติ่งนี้ดี หากท่านต้องการอันใดเพียงแค่เอ่ยปากเท่านั้น พวกเราพร้อมจะกระทำให้ท่านโดยไม่หวาดหวั่นหรือต้องเสียค่าใช้จ่ายเท่าใดก็ตาม !"
เหล่าศิษย์ของขุนเขาต้านติ่งมาห้อมล้อมหลินฟ่าน พร้อมทั้งกล่าวว่าจายกยอปอปั้น ถึงขั้นที่ว่า หากพวกมันเลียตูดเขาได้คงทำไปแล้ว...
เพราะเมื่อหวนระลึกไปถึงวันนั้นยามที่พวกมันไปหาเรื่องหลินฟ่านที่ขุนเข้าต้านติ่ง พวกมันย่อยยับกลับมาไม่ว่า แต่พอกลับมาถึงพวกมันก็โดนปรมาจารย์ขุนเขากล่าววาจาตำหนิเสียจนแทบจะขับไล่ออกจากนิกาย พวกมันนับว่าได้รับบทเรียนที่สาสมนัก
แม้กระทั่งผู้อาวุโสกู่เอง ยามนี้ก็ถูกลงโทษให้กลับกลายเป็นแค่ศิษย์สายนอกธรรมดาๆ ไม่มีอำนาจใดๆอีกต่อไป ทั้งพวกเขาก็โดนลดทรัพยากร รวมถึงต้องเป็นผู้รับผิดชอบหากหลอมโอสถล้มเหลวอีกด้วย
และเรื่องราวสะเทือนขวัญสั่นสะท้านแผ่นดินเช่นนี้ ล้วนเกิดขึ้นเพราะประมุขน้อยหลินคนนี้ พวกเขาทั้งหมดมาเข้าร่วมขุนเขาต้านติ่งแห่งนี้ก็เพื่อประโยชน์และทรัพยากรที่จะทำให้พวกเขาใช้ชีวิตได้อย่างสบายๆ
แต่ตอนนี้มันเป็นไปไม่ได้อีกต่อไปที่จะกระทำแบบนั้น และตอนนี้พวกเขาก็ไม่เหลือทางเลือกอะไร จะให้ไปต่อต้านปีศาจตนนี้หรอ แล้วหากเรื่องราวมันแย่กว่าเดิมเล่า? พวกเขาเองก็ต้องใช้ชีวิตต่อไปนะ!
ตอนนี้พวกเขาก็ได้แต่ยอมจำนนฟ้าดิน...ชีวิตพวกเขาคงจบสิ้นหากไม่ยอมลงให้หลินฟ่าน พวกเขาได้แต่ทำความเคารพ คารวะหลินฟ่านและประจบหลินฟ่านเช่นนี้ ความหยิ่งยโสหรืออะไรนั้นน่ะเหรอ มันกินอิ่มท้องหรือไม่เล่า!
‘จะอย่างไรคนพวกนี้ก็นับได้ว่าเป็นศิษย์ของเรา! เฮ่อ ในเมื่อตอนนี้พวกมันกลับตัวกลับใจแล้ว เราก็ไม่ต้องลำบากไปเปลี่ยนแปลงอะไรพวกมัน’
หลินฟ่านเริ่มผ่อนคลายสีหน้าลง ก่อนที่จะกล่าวออกมา “อืม เช่นนั้นก็ดี ...ไม่เลว ...”
คราวนี้หลินฟ่านเองก็ไม่ต้องไปกระตุ้นศักยภาพอะไรพวกมันให้ลำบากอีกต่อไป ‘ตอนนี้พวกมันนับถือเราประมุขแล้ว เช่นนั้นต่อไปเราประมุขก็จะดูแลมันเอง แม้พวกมันจะเคยไปหาเรื่องเราถึงขุนเขาไร้นาม แต่เราก็เป็นคนดีที่สุดแสนจะใจกว้าง ย่อมให้อภัยพวกมันได้’
...
ปังงงง!
เสียงถีบประตูดังสนั่นลั่นออกมา ก่อนที่จะปรากฏร่างชายคนหนึ่งเดินมาด้วยความเกรี้ยวกราด
เมื่อตรวจสอบผู้ที่มาใหม่อย่างละเอียด หลินฟ่านก็จดจำได้ ‘ศิษย์คนนี้ ที่ชื่อลี่ชุนนี่หว่า แลดูเกรี้ยวกราดไม่เบา!’
เมื่อลี่ชุนเดินมาถึง ดวงตาของเขาก็แดงก่ำ มันท่วมท้นไปด้วยโทสะราวกับจะพุ่งทะลวงไปถึงสรวงสวรรค์ ยิ่งเมื่อเขาเห็นเหล่าศิษย์จากขุนเขาต้านติ่งไปห้อมล้อมและคอยประจบสอพลอหลินฟ่านราวกับจะเลียตูดขนาดนั้น ตัวเขาก็สั่นระริกจากความโกรธ
แม้ว่าลี่ชุนนั้นมีตำพูดเป็นล้านคำที่อัดอั้นจนอยากจะตะโกนด่าทอหลินฟ่านออกไป ...ทั้งยังโมโหเสียจนแทบบ้า แต่เขาก็ไม่ได้โง่ เขาจะกล่าววาจาออกมาได้อย่างไร เพราะอีกฝ่ายนั้นมีอำนาจและอาวุโสเหนือกว่าเขา เขาจึงได้แต่ถลึงตามองไปยังหลินฟ่านด้วยสายตาปานจะกินเลือดกินเนื้อ
สำหรับลี่ชุนแล้ว หลินฟ่านเป็นศัตรูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเขา เป็นมารในใจที่ไม่อาจลบเลือนได้โดยง่าย
ตอนนี้ชีวิตของลี่ชุนเรียกได้ว่า พังยับเยินเกินกว่าจะอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้...ไม่เพียงแต่ชีวิตเขาไม่มีเหลืออำนาจอะไรให้ใช้ประโยชน์ แม่แต่เด็กรับใช้ที่ผ่านคืนวันอันหนาวเหน็บมาด้วยกัน ก็กลายเป็นตีจาก...เมื่อคิดถึงใบหน้าของเด็กรับใช้ชาย ที่ได้ลาจากไปแล้ว ลี่ชุนพลันรู้สึกไม่ยินยอมและรับไม่ได้
เรื่องทั้งหมดล้วนเกิดจากชายตรงหน้านามหลินฟ่านคนนี้ หากไม่มีมันสักคน ป่านนี้ตัวเขาลี่ชุน ยังคงมีอำนาจและสุขสบาย มีเด็กชายรับใช้ที่น่ารักคนนั้นคอยเคียงข้าง เป็นที่นับหน้าถือตาของขุนเขาต้านติ่ง เป็นคนที่หลอมสร้างโอสถเก่งกาจที่สุดสำหรับนิกายสายนอกแห่งนี้!!
แต่ลี่ชุนก็ได้แต่เก็บคำพูดด่าทอมันเอาไว้ในปากไม่อาจเอื้อนเอ่ยออกไป เพราะเขาไม่กล้าที่จะดูหมิ่นมันต่อหน้า แต่เขาอยากให้มันรับรู้ความโกรธแค้นของเขา จึงมายืนถลึงตามองมันเช่นนี้
เพราะเขาอยากให้ชายตรงหน้ารับรู้ว่าเขารังเกียจเดียดฉันท์มันขนาดไหน
"ศิษย์พี่ลี่ เห็นหรือไม่ ท่านประมุขน้อยหลินอุตส่าห์มาเยือน!"
"ท่านประมุขน้อยหลิน! ศิษย์พี่ลี่ต้องตื่นเต้นและตื้นตันมากแน่ๆเลยขอรับที่ท่านประมุขน้อยหลินมาปรากฏตัวต่อหน้าเช่นนี้ เขาคงดีใจจนอยากจะร่ำไห้"
...
เมื่อได้ฟังวาจาของเหล่าศิษย์สายนอกลีชุนนั้นแทบจะกระอักโลหิตตาย อันที่จริงเขาแทบอยากจะพุ่งไปฆ่าพวกมันเสียให้ตายให้หมด โทษฐานที่กล่าววาจาอุบาทว์เช่นนั้นออกมา 'ไอพวกสวะบัดซบ มารดาเจ้าสิตื้นตัน ผู้ใดจะไปดีใจที่ตัวอุบาทว์นี่มา จนอยากหลั่งน้ำตากัน?
"ลี่ชุนเหตุใดไม่ทำความเคารพท่านประมุขน้อยหลินเล่า ท่านอุตส่าห์มาเยือนถึงที่นี่?" อาวุโสกู่ที่ถูกลดขั้นกลายเป็นศิษย์สายนอกต๊อกต๋อยกล่าวตำหนิลี่ชุนออกมา
อดีตผู้อาวุโสกู่ย่อมเป็นคนที่รับรู้สถานการณ์ปัจจุบันของตนเองดี เขารู้ว่า...การรู้รักษาตัวรอดย่อมเป็นยอดคน ตอนนี้เขาพยายามกระทำทุกอย่างให้เหมาะสมและไม่ให้มีอะไรผิดพลาด เพื่อที่เขาจะได้ตำแหน่งผู้อาวุโสกลับคืนมา
หลินฟ่านหัวเราะออกมา เขาไม่คิดเลยว่าลี่ชุนคนนี้ยังไม่ยินยอมสยบ ถึงขั้นนี้แล้วมันยังคงกล้าไม่พอใจ และต่อต้านเขาประมุข!
จิตวิญญาณของมันนับว่าแข็งแกร่งไม่ธรรมดา!
หลินฟ่านก้าวออกมาอย่างช้าๆ ในขณะเดียวกัน ลี่ชุนก็ก้าวถอยหลังไปเล็กน้อย ดูเหมือน มันจะรู้สึกหวาดกลัวจนผวา
"อา ที่แท้เป็นศิษย์น้องลี่นี่เอง! เรื่องอะไรที่มันผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไปเถิด เจ้าก็อย่าได้เคืองแค้นและกักเก็บความเกลียดชังเอาไว้เช่นนั้นอีกต่อไปเลย ตัวข้าเองยังให้อภัยทุกสิ่งที่เจ้ากระทำได้" หลินฟ่านตบไหลลี่ชุนเบาๆ ราวกับสหายเก่าอย่างไรอย่างนั้น
ลี่ชุนขมวดคิ้วเล็กน้อย มันไม่รู้ว่าคนตรงหน้าคิดจะทำอะไรกันแน่
ส่วนเหล่าศิษย์สายนอกคนอื่นๆ ได้แต่มองหลินฟ่านด้วยความตื้นตัน พวกมันบังเกิดความรู้สึกผิดแล่นวูบขึ้นมาในหัวใจ! พวกมันไม่คิดเลยว่าประมุขน้อยหลินจะใจกว้างและยินยอมละทิ้งอดีตความขัดแย้งได้ง่ายดายเช่นนี้!!
หลังจากที่ทุกคนก็รู้ดีว่า ลี่ชุนได้ล้ำเส้นเขาไปก่อน แต่ประมุขน้อยหลินก็ไม่ถือโทษโกรธแค้น หรือเอาเรื่องเก่ามาพูด ระดับความอดทนสูงส่งนี้สมควรให้ทุกคนเคารพนับถือ
"เจ้าคิดจะทำอะไร?" ลี่ชุนมองไปยังหลินฟ่านอย่างระแวง
“อา ศิษย์น้องลี่! เจ้าอย่าได้กังวล ข้านั้นเคยร่ำเรียนศาสตร์การดูโหงวเฮ้งจากใบหน้าผู้คนมาก่อน และเพียงแค่การดูคร่าวๆ เมื่อครู่นี้ ข้าก็ตระหนักได้ทันทีว่าเจ้านั้นช่างมี เค้าโครงใบหน้าที่ล้ำค่า ดั่งอัญมณีที่ยังไม่ได้เจียรนัย พรสวรรค์ของเจ้านับว่าหาได้ยากยิ่ง ในโลกนี้ไม่ได้มีให้เห็นกันบ่อยนัก” หลินฟ่านกล่าวออกมาพร้อมกับเริ่มลูบๆไปที่ใบหน้าของลี่ชุน
เป้าหมายหลักของหลินฟ่านตอนนี้ ก็คือทดลองวิธีการของเขา ตอนนี้ก็มีโอกาสมาถึงแล้ว ถ้าเขาไม่ได้ลงมือทดลองปฏิบัติตามแผนเก่าของเขา ก็ถือว่าเขาผิดแก่ปนิธานตัวเองแล้ว
ลี่ชุนนั้นเบิกตากว้างและใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตกใจ ตัวเขาน่ะหรืออัญมณีที่ยังไม่ได้เจียรนัย?! ทว่าเขาก็กลับมาระแวงอีกครั้ง
"เอาล่ะ ศิษย์น้องลี่ตามข้ามา ให้ข้าประมุขได้ปลุกศักยภาพซ่อนเร้น และขุมพลังแฝงที่หลับใหลอยู่ในก้นบึ้งของเจ้าออกมา หวังว่าข้าประมุขคงไม่ได้ดูผิดพลาด" หลินฟ่านกล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้ม เขาตบไหล่ลีชุนเบาๆ ก่อนที่จะเดินนำไปยังบ้านหลังหนึ่ง