“ท่านพี่ เหตุใดพวกเราต้องออกจากเรือนด้วย ? เหตุใดพวกเราจึงปล่อยให้คนนอกเข้ามาครอบครองเรือนเฟิ่งเช่นนี้ ?”
ฮูหยินรองเริ่มส่งเสียงตีโพยตีพายใส่เฟิ่งเฉาหยาง
“ท่านพี่ ท่านไม่นึกสงสัยบ้างเลยกระนั้นหรือ ? องค์หญิงเจี้ยนเต๋อทรงตั้งพระครรภ์เพียงแปดเดือนก็ให้ประสูติเด็กที่ไร้ค่าผู้นี้ออกมา หากทว่าทารกที่คลอดก่อนกำหนดกลับมีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงไร้โรคภัย !”
เฟิ่งเฉาหยางสะดุดชั่วครู่
สองตาของฮูหยินรองยิ่งเปล่งประกายวูบวาบ รอยยิ้มชั่วร้ายพลันเอิบอาบใบหน้า
“ท่านพี่ สวะไร้ค่าผู้นี้อาจกำเนิดมาแต่พระครรภ์แห่งองค์หญิงเจี้ยนเต๋อกับบุรุษอื่น ท่านอย่าได้หลงลืมไปสิว่าองค์หญิงเจี้ยนเต๋อทรงหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยนานกว่าขวบเดือน ครั้นทันทีที่องค์หญิงเสด็จกลับวังหลวง ฝ่าบาทก็ทรงประทานสมรสพระราชทานให้แก่ท่านในทันที หากเรื่องนี้มิได้มีความลับซับซ้อน เหตุใดฝ่าบาทจึงต้องทรงรีบพระราชทานสมรสองค์หญิงเร่งด่วนถึงเพียงนั้น ? ก่อนหน้านี้ ข้ายำเกรงที่พระองค์ คือเชื้อสายราชนิกูลผู้สูงศักดิ์ ข้าจึงมิกล้าเผยความคิด ด้วยเกรงผู้อื่นจะติฉินเอาได้ว่าข้าพยายามสร้างเรื่องซุบซิบให้ร้ายองค์หญิง หากทว่ายามนี้ พวกเรากำลังถูกคนนอกกดหัวข่มเหงเช่นนี้ ข้าจะทนได้อย่างไร ! ท่านพี่ ท่านคิดจะปล่อยไปเช่นนี้จริงกระนั้นหรือ ?... เรือนเฟิ่งจะปล่อยให้คนนอกถือครองได้อย่างไร !”
เฟิ่งเฉาหยางตาค้างยืนแข็งทื่อราวรากงอกออกปลายเท้า
คำกล่าวของฮูหยินรองมิได้ผิดเพี้ยนจากความเป็นจริงแต่ประการใด ในตอนนั้น องค์หญิงเจี้ยนเต๋อทรงพระครรภ์เฟิ่งฉู่เกอเพียงชั่วเวลาแปดเดือนจริง หากทว่าในครานั้น หมอทำคลอดชี้แจงกับเขาว่า องค์หญิงทรงสะดุดล้มเป็นเหตุให้มีพระประสูติกาลก่อนกำหนด เขาไม่เคยตั้งข้อสงสัย ทั้งยังเชื่อสนิทใจในเรื่องนี้ แต่ครั้นได้ฟังถ้อยคำระบายความในใจของฮูหยินรอง หวนนึกทบทวนถึงเหตุการณ์เมื่อครั้งพิธีสมรส เฟิ่งเฉาหยางกลับนิ่งตัวแข็ง ใบหน้าแดงก่ำด้วยความเดือดดาล
แท้จริง เฟิ่งฉู่เกอ หาใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของเขาไม่ !
“เฟิ่งฉู่เกอ เจ้ามิใช่คนตระกูลเฟิ่ง เจ้าอาศัยคุณสมบัติใดมายึดเรือนเฟิ่ง ?”
ฮูหยินรองยังคงยืนกรานไม่ยอมผละจากเรือนเฟิ่ง พวกเขาจะไปซุกหัวอยู่ที่ใด หากถูกถีบออกนอกเรือนอย่างกระทันหันเช่นนี้
“จะเป็นเชื้อสายตระกูลเฟิ่งหรือไม่เกี่ยวอันใดกับข้า ? จะมีสายเลือดของเฟิ่งเฉาหยางหรือไม่ ผู้ใดสน ?”
เฟิ่งฉู่เกอยิ้มกว้าง ขณะส่งเสียงหัวเราะหึหึในลำคอ อย่างไรเสีย นางก็มิใช่บุตรของเฟิ่งเฉาหยางผู้นี้อยู่แล้ว เมื่อแท้จริงนางคือจิตวิญญาณที่ข้ามมาจากอีกโลกหนึ่งต่างหากเล่า !
เมื่อรับฟังข้อกล่าวหาด้วยความบันเทิงใจแล้ว หญิงสาวจึงค่อยคว้าแผ่นลงนามจำนองเรือนเฟิ่ง ซึ่งปรากฏรอยพิมพ์ลายนิ้วมือของทั้งสองฝ่ายขึ้นแสดงต่อหน้าทุกคน ก่อนจะคลี่ยิ้มด้วยความสะใจ
“ความจำของข้าไม่ใคร่จะดีนัก จดจำสิ่งใดล้วนเลอะ ๆ เลือน ๆ คงมีเพียงน้ำหมึกกับแผ่นกระดาษนี้ที่ข้าสามารถจดจำได้อย่างแม่นยำ !”
กล่าวจบ เฟิ่งฉู่เกอก็หันกลับไปออกคำสั่งกับพวกจื่อหลาน
“ไล่พวกที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปให้หมด...อย่าให้มันมาอยู่เกะกะขวางหูขวางตาข้า”
“เจ้าค่ะ !”
จื่อหลาน ปี้หลัว และลวี้จูปรี่เข้ามารวบคนทั้งสามในทันที
ฮูหยินรองไม่คาดคิดว่าเฟิ่งฉู่เกอจะไม่ใส่ใจไยดีภูมิหลังที่แท้จริงของตนเองถึงเพียงนี้ ที่สุดนางย่อมไม่เหลือหนทางเลือกอื่นใด
“เฟิ่งฉู่เกอ เจ้าสวะไร้ค่า ! ข้าขอเตือนเจ้าไว้ก่อน เฟิ่งเหยี่ยนหาง บุตรชายของข้าอยู่สถานศึกษาอวิ๋นเทียน ทั้งยามนี้ยังได้ขึ้นเป็นผู้นำ เบื้องหน้าย่อมต้องสามารถเข้าเทียนตี้ฝู่ได้อย่างแน่นอน”
“อ้อ ! หากบุตรชายของเจ้าสามารถผ่านเข้าเทียนตี้ฝู่ได้แล้วเกี่ยวอันใดกับข้าเล่า ?”
“หากเจ้าดูแลพวกเราอย่างดี เมื่อถึงยามที่บุตรชายของข้าเข้าสู่เทียนตี้ฝู่ได้ พวกเราย่อมต้องพาเจ้าย้ายเข้าไปเช่นกัน ทว่าหากเจ้าขับพวกเราออกจากเรือนยามนี้ ย่อมไม่ต่างใดกับคิดฆ่าแกงพวกเรา หากบุตรชายของข้ากลับมา เขาย่อมไม่มีวันอภัยให้เจ้าอย่างแน่นอน”
ฮูหยินรองส่งเสียงเอะอะเอ็ดตะโรลั่น กระทั่งได้ยินกันทั่วเรือน นางมั่นใจอย่างยิ่งว่าหลังประกาศศักดาของบุตรชาย เฟิ่งฉู่เกอจะขยาดกลัวจนหัวหด กระทั่งต้องยินยอมปล่อยวางพวกเขา ไหนเลยนางจะคาดคิดว่าสิ่งที่ตนได้รับตอบ กลับกลายเป็นท่าทีอันเฉยเมยเย็นชาของอีกฝ่าย
“บุตรชายของเจ้ายังไม่ทันได้เข้าเทียนตี้ฝู่มิใช่หรือ เช่นนั้นก็รอให้เขาเข้าเทียนตี้ฝู่ได้แล้วค่อยกลับมาคิดบัญชีกับข้า ทว่าก่อนจะถึงตอนนั้น...จื่อหลาน มัวรีรออันใดอยู่ ข้าไม่ชอบขี้หน้าหญิงแก่ปากมากผู้นี้เอาเสียเลย”
***จบตอน คนนอกในเรือนเฟิ่ง***