
1819 วันที่แล้ว
ใด้ๆสิโตใด้
เสียงระเบิดคำรามของผู้เป็นนายส่งผลให้จื่อหลานรีบกระถดถอยย่นคอในทันที
ด้วยสัญชาตญาณ จื่อหลานยกมือขึ้นปิดปาก ไม่กล้าหลุดเสียงใดให้เล็ดรอด
“อภัยเถิด ท่านก็เห็นแล้วว่า คุณหนูของพวกเราไม่ชอบให้ผู้ใดรบกวน ขณะปรุงกลั่นโอสถ”
จื่อหลานหันมาเอ่ยคำกับบุรุษผู้ยืนอยู่ด้านข้าง
“แปลกจริง ไม่คิดเลยว่าแม่นางเฟิ่งจะเป็นปรมาจารย์ปรุงโอสถด้วย”
ชายผู้นี้ก็คือผู้อัญเชิญราชโองการฮ่องเต้มาจากวังหลวงนั่นเอง
บุรุษผู้นี้รูปร่างสูงโปร่ง เขาสวมใส่ชุดคลุมสีดำสนิทหรูหราที่ตัดกับใบหน้าขาวสะอาดราวเนื้อหยก รอยยิ้มอ่อนบางส่งมอบให้แก่จื่อหลานผู้กล่าวชี้แจง
“ถูกต้อง… คุณหนูของพวกเราน่าทึ่งเสมอ”
ใบหน้าของจื่อหลานสดใสขึ้นมาทันทีที่เอ่ยอ้างถึงคุณหนูของตน
“ผู้คนต่างเล่าลือกันไปว่าคุณหนูของพวกเราเป็นคนไร้ค่า ทว่าผู้ใดจะล่วงรู้ว่าแท้จริง คุณหนูของพวกเราคือผู้มีพรสวรรค์อันล้ำเลิศ ไอ้พวกที่กล่าวหาว่าคุณหนูของพวกเราเป็นคนไร้ค่า มันนั่นแหละที่ตาไร้แวว !”
สองตาของเหอเหลียนจื่อเซวียนลุกวาวด้วยความสนใจ เมื่อได้ฟังถ้อยคำของจื่อหลาน
เหอเหลียนจื่อเซวียนผู้นี้ก็คือท่านอ๋องห้า บุตรชายคนที่ห้าของฮ่องเต้องค์ปัจจุบันแห่งเทียนฉี
ครั้งวัยเยาว์ เขาถูกเก็บตัวอยู่แต่เพียงในวังหลวง เพราะโรคภัยไข้เจ็บที่รุมเร้า กระทั่งเติบใหญ่เข้าวัยสิบสองปี
ทั้งยังเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เฟิ่งฉู่เกอถูกขับออกจากตระกูลเฟิ่ง และในวันนั้นเอง ที่นามของ เฟิ่งฉู่เกอ ถูกสลักลึกลงในห้วงแห่งความทรงจำของเขา และยืนยาวมาโดยตลอด
“ดูเหมือนแม่นางเฟิ่งกำลังติดภารกิจสำคัญ… เช่นนั้น ข้าจะรอด้านนอก”
เพียงหันหลังกลับ เสียงดัง ‘ตูม’ พลันดังขึ้นจากด้านใน ติดตามมาด้วยเสียงหัวเราะร่าของเฟิ่งฉูเกอ
“ฮ่าฮ่าฮ่า… สำเร็จ !”
บานประตูถูกผลักออกแทบจะในเวลาเดียวกัน กลิ่นฉุนที่ลอยคลุ้งออกมาจากห้องพร้อมกลุ่มควันกระแทกใส่จมูกทุกคนอย่างเต็มแรง กระทั่งแทบสำลัก
เฟิ่งฉู่เกอปรากฏกายหลังกลุ่มควันหนา
อาภรณ์สีขาวสะอาดแต่เดิมยามนี้กลับกลายเป็นสีเทาหมอง
“คุณหนู สำเร็จแล้วหรือเจ้าคะ ?”
จื่อหลานยักแย่ยักยันเข้ามาด้วยท่าทางตื่นเต้น
นางตระหนักดีว่าคุณหนูของตนใช้ความเพียรพยายาม อีกทั้งทุ่มเทมากมายเพียงไร เพื่อปรุงโอสถชุดนี้
“ใช่ ! สำเร็จ !”
เฟิ่งฉู่เกอกล่าวรับรองพร้อมยกฝ่าเท้าเตรียมก้าวเข้าสู่ห้องถัดไปอย่างไม่รอช้า
นั่นคือห้องของอาเฉิน
ยามนี้ อาเฉินกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง ความสม่ำเสมอของลมหายใจบ่งบอกว่า ยามนี้เขากำลังเดินพลังภายใน
เพียงบานประตูถูกผลักออก อาเฉินก็เปิดเปลือกตาขึ้น ใบหน้าที่ขมุกขมัวด้วยเขม่าดำของเฟิ่งฉู่เกอยื่นประจันอยู่ตรงหน้า
“แม่นาง นี่เจ้าไปทำอันใดมา ? เจ้ายื่นหน้ามุดเข้าเตาฟืนด้วยเหตุใด ?”
เฟิ่งฉู่เกอตวัดสายตาเย็นยะเยียบเชือดเฉือนใส่อีกฝ่าย
“ข้าสู้อุตส่าห์หลอมตัวยาหนอนไหมโลหิตเยือกแข็งกับไหลพันใบให้เข้ากันได้แล้ว หากเจ้าคิดจะโยนมันใส่กองไฟให้กลับกลายเป็นยาแก้ไข้แสนสามัญข้าก็จะอยู่รอชม”
อาเฉินเข้าใจความหมายที่ซ่อนเร้นภายใต้ประโยคยืดยาวของอีกฝ่ายทันที
“เจ้าสามารถปรุงโอสถชุดนั้นได้แล้วกระนั้นหรือ ?”
เฟิ่งฉู่เกอคลายฝ่ามือเผยเม็ดโอสถที่อยู่ด้านใน
เม็ดโอสถสีแดงดั่งโลหิตส่องประกายแวววาวระยิบระยับทันทีที่ตกต้องสะท้อนแสงประทีป
กลิ่นที่คุ้นเคย ความรู้สึกที่คุ้นเคย ส่งให้อาเฉินจ้องเม็ดโอสถในมืออีกฝ่ายด้วยความอัศจรรย์ใจอย่างมิอาจบรรยาย
“ใช่ ! ใช่จริง ๆ !”
อาเฉินยื่นมือหมายหยิบเม็ดโอสถในมืออีกฝ่าย
ทว่าเฟิ่งฉู่เกอกลับหดฝ่ามือหนี
“ข้าขออธิบายให้กระจ่างอีกครา โอสถชุดนี้มิอาจทำให้ผู้ใดเจริญวัยเติบใหญ่ขึ้นได้ มากสุด มันเพียงมีสรรพคุณขับพิษช่วยยืดอายุขัยให้ยืนยาวเท่านั้น”
สองตาของอาเฉินจ้องเขม็งอยู่เพียงเม็ดโอสถชุดนั้น ไม่ว่าเฟิ่งฉู่เกอจะพร่ำพูดอธิบายสิ่งใดยืดยาวเพียงไร เขาเพียงผงกศีรษะรับทุกถ้อยคำโดยดุษฎี
เด็กน้อยจ้องเม็ดโอสถสีแดงในมือของอีกฝ่ายชนิดตาไม่กระพริบ ราวพ่อหนูน้อยกำลังจ้องเขม็งอยู่กับลูกกวาดที่ตนหมายตา…
เฟิ่งฉู่เกอยื่นเม็ดโอสถส่งให้อีกฝ่าย เมื่อพ่อหนูน้อยผงกศีรษะรับทราบทุกรายละเอียด
“ข้าขอย้ำเจ้าอีกครา โอสถชุดนี้ ไม่อาจทำให้เจ้าเจริญเติบโตเป็นหนุ่มใหญ่ขึ้นมาได้…”
***จบตอน ปรุงโอสถ***
ใด้ๆสิโตใด้