
1819 วันที่แล้ว
อีกหน่อยพี่สาวก็จะรู้น้องนะโตแล้วจริงๆ
“แม่นาง ไยต้องกล่าวให้มากความ ?”
อาเฉินละสายตาจากเม็ดโอสถ เพื่อจ้องมองเฟิ่งฉู่เกอตาเขม็ง
“ข้าเพียงอยากให้เจ้าเตรียมใจไว้บ้างก็เท่านั้น”
มุมปากของเฟิ่งฉู่เกอขยับยกพร้อมรอยยิ้ม
“เมื่อเจ้ามิได้เติบใหญ่ดังคาดหวังหลังได้กลืนกินโอสถชุดนี้ เจ้าจะได้ไม่ผิดหวังมากมายนัก”
“ข้าไม่เติบใหญ่รวดเร็วถึงเพียงนั้นหรอก”
อาเฉินก้มหน้าก้มตาบ่นอุบ
“แม่นาง ข้าต้องกินโอสถนี้ทุกเดือนติดต่อกันเป็นเวลาอย่างน้อยสิบสองเดือน…”
“สิบสองเดือน !”
เฟิ่งฉู่เกออ้าปากกว้าง กระทั่งกรามแทบติดพื้น
“เป็นเช่นนั้น”
อาเฉินก้มหน้าก้มตางุด ๆ มองพื้น ทว่าลึก ๆ ในแววตาคู่นั้นยังแฝงไว้ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเหลือล้น
มีเพียงได้รับโอสถชุดนี้อย่างต่อเนื่องยาวนานถึงสิบสองเดือนเท่านั้นจึงจะสามารถสลายพิษที่ฝังอยู่ในร่างของเขาให้หมดสิ้นได้
และเมื่อถึงเวลานั้น เขาจะกลับไปล้างแค้นเจ้าเฒ่าพวกนั้นให้สาสม !
เพียงคิดถึงคนกลุ่มนั้น นัยน์ตาของอาเฉินพลันเปล่งประกายวูบขึ้นทันที
เมื่อครึ่งเดือนก่อน ขณะที่เขากำลังจะข้ามเข้าสู่วรยุทธขั้นที่ 7 ปราณจักรพรรดิ์ เจ้าเฒ่าคร่ำครึแห่งเทียนตี้ฝู่พวกนั้นรวมหัวกันลอบโจมตีเขาช่วงพลังยุทธยังไม่เสถียร
เมื่อเริ่มเข้าสู่วรยุทธขั้นต่อไป พลังยุทธของคนผู้นั้นย่อมไม่มั่นคง เช่นนั้นเจ้าเฒ่ากลุ่มนั้นจึงฉวยโอกาสนี้ลอบโจมตีหมายจะปลิดชีวิตเขาให้สิ้นชื่อในยุทธภพ
ทั้งระหว่างการต่อสู้ พวกมันยังลอบจู่โจมเขาด้วยพิษ
และพิษชนิดนี้นี่เองที่ส่งผลให้เขากลับกลายเป็นเด็กน้อยวัยหกขวบในทันที ไม่เพียงเท่านั้น พลังยุทธในร่างของเขาทั้งหมดล้วนขาดหายสิ้นในทันทีเช่นกัน
และด้วยเหตุนี้ เขาจึงอยู่ในร่างของเด็กน้อยวัยห้าหรือหกปี กระทั่งเมื่อค่ำคืนยามจันทรากระจ่างเต็มดวง คือช่วงเวลาที่ขุมพลังทั่วชั้นบรรยากาศรวมตัวหนาแน่นสูงสุด และสามารถกดฤทธิ์พิษในร่างของเขาได้ชั่วคราว ส่งผลให้เขาสามารถกลับคืนสู่ร่างปกติของตนได้…
ขณะที่ตี้เจวี๋ยเฉินกำลังจ่อมจมอยู่กับห้วงคิดทบทวนความหลัง ฝ่ามือที่เย็นยะเยียบพลันสัมผัสเหนือแผ่นหน้าผากเด็กน้อย
ครั้นเมื่อเงยหน้าขึ้น เขาจึงพบว่าเฟิ่งฉู่เกอกำลังสัมผัสหน้าผากของตนอยู่
“เอ...ก็ไม่มีไข้นี่…”
เสียงของนางบ่นพึมพำ
เสียงอาเฉินสวนกลับทันควัน
“แม่นาง เป็นเจ้าสิที่มีไข้ !”
“อาเฉิน นี่ข้าพูดจริงนะ โอสถใดในใต้หล้าล้วนไม่อาจทำให้เจ้าเติบโตเป็นหนุ่มใหญ่ได้อย่างแท้จริง ล้มเลิกความคิดเช่นนี้ไปเถิด”
อาเฉินส่ายหน้ายิก
“เจ้ายังไม่เข้าใจ”
“ข้าไม่เข้าใจอันใด ?”
เฟิ่งฉู่เกอทอดถอนใจ
“ข้าเข้าใจ นี่เป็นความคิดแสนวิเศษ ทว่าความเป็นจริงช่างโหดร้าย ข้ารู้ว่าเจ้าอยากเติบใหญ่ ทว่าการเติบโตของร่างกาย จำต้องอาศัยการพัฒนาทีละน้อย ซึ่งแน่นอนว่าในเรื่องนี้ข้าย่อมไม่อาจช่วยเจ้าได้ อาเฉิน...พี่สาวบอกแล้วว่า…”
เฟิ่งฉู่เกอหันมาเตรียมกล่าวคำกับอาเฉิน ทว่ากลับเป็นอีกฝ่ายที่พริ้มตาเอนกายลงกับเตียง
“อาเฉิน...อาเฉิน…”
เฟิ่งฉู่เกอเข้ามาเขย่าตัวเด็กน้อย
หากทว่าตี้เจวี๋ยเฉินยังคงนิ่งเฉย ไม่แม้กระทั่งจะเผยอเปลือกตาขึ้นเหลือบมอง เขาเพียงขยับปากเพื่อเปล่งน้ำเสียงเย็นเยียบ
“ข้าจะพักผ่อน อย่ารบกวน”
สุ้มเสียงนั้นทรงอำนาจราวกับผู้ใหญ่ น้ำเสียงนั้นเย็นยะเยียบ กระทั่งผู้รับฟังยังต้องเสียววาบ
“เจ้ามารตัวน้อย เจ้าหยอกข้าเล่นอีกล่ะ หึหึ”
เฟิ่งฉู่เกอหัวเราะคิกคัก
“แม่นาง มีคนรอเจ้าอยู่ด้านนอก”
เปลือกตาทั้งสองของอาเฉินยังคงปิดสนิท ขณะส่งเสียงกล่าวเตือนนาง
เฟิ่งฉู่เกอจึงเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าจื่อหลานเข้ามาแจ้งกับนางว่ามีคนจากวังหลวงมารอพบนาง
“เช่นนั้นข้าต้องไปก่อนล่ะ”
หญิงสาวขยับลุกจากเก้าอี้ พลางก้าวเท้าตรงไปยังบานประตู ก่อนจะล่วงผ่านบานประตูนั้น นางยังหันมาย้ำคำ
“อาเฉิน...พี่สาวยังอยากย้ำเจ้าอีกคราว่าโอสถเสริมส่งให้เจริญวัย…”
“แม่นาง เจ้าไปเถิด---”
น้ำเสียงนุ่มนวล ทว่าเย็นยะเยียบดังแทรกประโยคที่เหลือของนางในทันที
เฟิ่งฉู่เกอบุ้ยปากด้วยความนึกฉงนที่ยังคั่งค้างภายในใจ
เด็กคนนี้ ทั้งการพูดจา ทั้งการกระทำล้วนเหมือนผู้ใหญ่ ไม่เหมือนเด็กน้อยเอาเสียเลย
***จบตอน ไม่มีไข้***
อีกหน่อยพี่สาวก็จะรู้น้องนะโตแล้วจริงๆ