
1819 วันที่แล้ว
น้องไม่ใด้อัปรักนะ

1824 วันที่แล้ว
รอ

1824 วันที่แล้ว
รอ รอ รอ
เมื่อหวนนึกถึงว่าเด็กน้อยเพียงเท่านี้ต้องประสบพานพบเหตุการณ์อันโหดร้ายเพียงใดบ้าง ก่อนได้มาเจอนางในสภาพย่ำแย่เมื่อครั้งแรกเจอ เฟิ่งฉู่เกอก็อดนึกหดหู่แทนเด็กน้อยเบื้องหน้ามิได้...
นางหันมามองอาเฉินก่อนกล่าววาจาหนักแน่น
“อาเฉิน ตราบเท่าที่เจ้ายังอยู่ที่นี่ จะไม่มีผู้ใดรังแกเจ้าได้ เจ้าจงถือเสียว่าสถานที่แห่งนี้คือเรือนที่แท้จริงของเจ้าเถิด”
จากนั้นหญิงสาวจึงหันหลังปลีกตัวไป
เพียงฝ่าเท้าของนางขยับก้าวออกพ้นประตูห้อง อาเฉินกลับลุกขึ้นทิ้งสายตาแลมองร่องรอยแห่งการจากไปของเฟิ่งฉู่เกอด้วยนัยน์ตาที่เปล่งประกายสีม่วงเรืองรอง…
*****
“คุณหนู ที่สุดท่านก็ออกมาเสียที”
จื่อหลานปรี่เข้ามาหาผู้เป็นนายในทันที
“วังหลวงส่งคนมาเจ้าค่ะ เขาบอกว่าตัวเขาคือท่านอ๋องห้า เขาเชิญเสด็จราชโองการจากฝ่าบาทมาด้วยเจ้าค่ะ”
จื่อหลานชี้ไปทางเหอเหลียนจื่อเซวียนผู้ยืนไกลออกไป
เฟิ่งฉู่เกอผงกศีรษะรับคำเล็กน้อยก่อนค่อย ๆ สืบฝ่าเท้าก้าวไปยังทิศทางที่จื่อหลานชี้บอก
“ท่านอ๋องห้า รบกวนพระองค์แล้วเพคะ…”
“มิได้รบกวน มิได้รบกวนเลย ไม่คาดคิดเลยว่าข้าจะมีลูกพี่ลูกน้องเป็นถึงปรมาจารย์ปรุงโอสถกับเขาด้วย นับว่าข้าได้มีโอกาสเปิดหูเปิดตาแล้ว”
ลูกพี่ลูกน้อง ? สองคิ้วของเฟิ่งฉู่เกอจิกเข้าหากันแน่น
ย่อมเป็นเช่นนั้น เมื่อมารดาของนางคือขนิษฐาขององค์ฮ่องเต้
“มิทราบว่าท่านอ๋องเสด็จมาถึงที่นี่ทรงมีพระประสงค์สิ่งใดหรือเพคะ ?”
เฟิ่งฉู่เกอมุ่งเข้าประเด็นอย่างไม่อ้อมค้อม
“เสด็จพ่อทรงทราบว่าน้องฉู่เกอกลับมาแล้ว จึงมีพระประสงค์จะจัดงานเลี้ยงต้อนรับน้องฉู่เกอ อีกสามวันวังหลวงจะจัดงานเฉลิมฉลองการกลับมาของเจ้า เสด็จพ่อจึงให้ข้ามาแจ้งแก่เจ้าด้วยตนเอง”
เหอเหลียนจื่อเซวียนตอบเสียงเบาท่ามกลางใบหน้าที่ไร้อารมณ์ความรู้สึก
เขามิได้บอกผู้ใดว่าสาเหตุแท้จริงที่เขาอาสานำราชโองการมาด้วยตนเอง เนื่องเพราะเมื่อสองวันก่อน หลังเขาเริ่มระแคะระคายในความพิเศษของลูกพี่ลูกน้องผู้นี้ เขาก็ต้องการมาขุดคุ้ยค้นหาความจริงด้วยตนเองก่อนผู้ใด ! !
และเป็นเช่นนั้นจริง สวรรค์เบื้องบนยังคงเที่ยงธรรมเสมอ แม้ด้วยสภาพร่างกายของเฟิ่งฉู่เกอไม่อาจฝึกวรยุทธ ผนวกกับรูปโฉมแสนอัปลักษณ์เหยียบย่ำนางให้อยู่ในสภาพสวะผู้ไร้ค่า หากทว่าสิ่งที่ขาดแคลนเป็นที่ต้องการของผู้คนเหนืออื่นใดบนแผ่นดินนี้ก็คือผู้ปรุงโอสถ
เพียงสามารถเป็น ‘ผู้ปรุงโอสถ’ เฟิ่งฉู่เกอย่อมอยู่อย่างสุขสบายโดยไม่ต้องห่วงกังวลใดอีกตลอดช่วงชีวิตที่เหลืออยู่นี้
ความสามารถในการเป็นผู้ปรุงโอสถคือสิ่งที่เหล่าตระกูลผู้ทรงอำนาจทั้งหลายปรารถนาใคร่ครอบครอง ทว่าย่อมมิอาจ
ยามนี้หญิงสาวเพิ่งเสร็จสิ้นจากการปรุงโอสถ ตลอดทั้งใบหน้าของนางจึงเลอะเทอะไปด้วยฝุ่นเขม่าจากการเผาเตาหลอมโอสถ ไหนเลยเหอเหลียนจื่อเซวียนจะสามารถแลเห็นรูปโฉมที่แท้จริงของนางได้
ท่านอ๋องหนุ่มย่อมยังคงปักใจเชื่อมั่นว่าเฟิ่งฉู่เกอคือสตรีผู้มีรูปโฉมอัปลักษณ์ได้ใจดังคำร่ำลือ
หากทว่าเฟิ่งฉู่เกอกลับไม่ทันเห็นแววตาแฝงความผิดหวังเล็กน้อยของเหอเหลียนจื่อเซวียน นางมิได้กล่าวคำใดให้มากความ เพียงโน้มกายลงเล็กน้อยด้วยกิริยาที่แช่มช้อย
“ฝ่าบาททรงเมตตาหม่อมฉันถึงเพียงนั้นเชียวหรือเพคะ ?”
“แน่นอน… เสด็จพ่อคือเสด็จลุงของเจ้า เมื่อพระองค์ทรงทราบข่าวการกลับมาของเจ้า ย่อมต้องทรงดีพระทัยเป็นธรรมดา”
เฟิ่งฉู่เกอยิ้มเยาะอยู่ในใจลึก ๆ ขณะรับฟังทุกถ้อยคำของเหอเหลียนจื่อเซวียนอย่างตั้งใจ
เสด็จลุงกระนั้นหรือ ?
ครั้งนางถูกตระกูลเฟิ่งถีบหัวส่งเมื่อหกปีก่อน เหตุใดเสด็จลุงผู้นี้จึงไม่เคยเอ่ยปาก หรือโผล่หน้ามาให้เห็นสักครา
หากเพียงองค์ประมุขแห่งแว่นแคว้นกระดิกนิ้วหรือพ่นลมแค่เพียงครั้ง ชะตาชีวิตของร่างนี้คงไม่น่าสังเวชถึงเพียงนั้น ! ! !
เฉลิมฉลองต้อนรับนาง หรือ...เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นในตระกูลเฟิ่งทำให้เขาอยากรู้ว่ายามนี้นางแปรเปลี่ยนไปเพียงไร
“น้องฉู่เกอ เจ้ากำลังคิดสิ่งใดอยู่กระนั้นหรือ ?”
เมื่อเหอเหลียนจื่อเซวียนเห็นท่าทีอีกฝ่ายแปลกไป แววตานั้นคล้ายแฝงความดูแคลน คล้ายกำลังนึกเยาะหยันอยู่ในที…
เฟิ่งฉู่เกอเงยหน้าขึ้นด้วยท่าทีสงบนิ่งไร้พิรุธ นางผงกศีรษะรับ
“เพคะ สามวันให้หลัง หม่อมฉันจะเข้าวังหลวง เมื่อเสด็จลุงทรงประทานงานเลี้ยงเฉลิมฉลอง เพื่อต้อนรับหม่อมฉันถึงเพียงนี้ หม่อมฉันจะไม่ไปได้อย่างไร ?”
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว ข้ายังมีเรื่องต้องทำ คงต้องขอตัวก่อน เจอกันอีกสามวันให้หลัง”
“เพคะ อีกสามวันให้หลัง เจอกันเพคะ”
เมื่อท่านอ๋องห้าหลีกพ้นประตูเรือน จื่อหลานจึงร้องอุทานขึ้นมาในทันที
“ไอหย่า คุณหนู เหตุใดเมื่อเขารู้ว่าคุณหนูสามาถปรุงโอสถได้ ทว่ากลับไม่มีท่าทีตื่นตระหนกตกใจ น่าแปลกจริงเชียว”
***จบตอน เสด็จลุง***
น้องไม่ใด้อัปรักนะ
รอ
รอ รอ รอ