1379 วันที่แล้ว
เป็นไงละเป็นปึกๆเลย
“เจ้าสมองกลวง พวกเราคงมิได้มาเดินเล่นกันกระมัง”
เพียงเริ่ม จื่อหลานก็ได้ลับฝีปากในทันที
“ถูกแล้ว จื่อหลานกล่าวได้ถูกต้อง”
เฟิ่งฉู่เกอช่วยสำทับ ก่อนจะยกฝ่าเท้าขยับก้าวเข้าสู่ด้านใน
“เข้าไปกันเถิด กิจการทั้งหลายย่อมเปิด เพื่อทำการค้า”
สี่ดรุณีน้อยเดินเรียงแถวเข้าสู่ด้านในอย่างพร้อมเพรียง
“ไอหย่า แม่นางทั้งสี่ เห็นทีสถานที่แห่งนี้คงมิใช่ที่สำหรับพวกเจ้ากระมัง”
เพียงกำลังจะเข้าไป สตรีผู้สวมใส่อาภรณ์ตบแต่งอย่างหรูหราทั้งยังโบกเครื่องประทินโฉมมาอย่างเต็มที่ราวแบกโต๊ะเครื่องแป้งมาทั้งชุดก็โผล่ขึ้นตรงหน้า
ทว่าเฟิ่งฉู่เกอกลับมิได้แยแสแม้เพียงปรายตามอง นางยังคงสาวเท้าก้าวเข้าสู่ด้านในด้วยท่าทีเฉยชา
“อ้าว อ้าว ไม่ได้ยินที่ข้าพูดกระนั้นหรือ ? หรือพวกเจ้าคิดมาตามสามีกัน ?”
สตรีคนเดิมส่งเสียงไล่หลังตามมาทั้งยังตรงเข้ามาขวางทางเฟิ่งฉู่เกอไว้เสียด้วย
นางกวาดตามองเฟิ่งฉู่เกอตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า…
“หน้าตาก็สะก็สวย ทว่ากลับมัดใจสามีไว้ไม่อยู่ เห็นทีฝีมือการเอาอกเอาใจของเจ้าจะย่ำแย่ล่ะสิท่า !”
เพียงได้ยินถ้อยคำปรามาสเช่นนั้น จื่อหลานก็ควันออกหูขึ้นมาทันที
นางรีบก้าวขึ้นตามต่อฝีปากอย่างไม่ลดราวาศอก
“ให้ข้าช่วยล้างปากให้เจ้าสักทีจะดีหรือไม่ ?”
เฟิ่งฉู่เกอยกมือขึ้นปรามจื่อหลาน
ก่อนจะหันมาจ้องหน้าสตรีผู้นั้น
“ไปเรียกมาม่าของเจ้ามาพบข้า…”
“อ้า ข้าเข้าใจแล้ว ที่แท้พวกท่านมิได้มาตามหาสามี ทว่าต้องการมาใช้บริการหอฝันภิรมย์ของเรานั่นเอง โอ้…”
“ไม่ต้องพูดมาก รีบไปตามเจ้าของหอมา...หาไม่ ก็จงระวังหัวของเจ้าไว้ให้ดี !”
เฟิ่งฉู่เกอหรี่ตามอง พร้อมน้ำเสียงเย็นชาที่ตอกย้ำเตือนอีกฝ่าย
สุ้มเสียงเย็นชา กระทั่งแทบจะเย็นยะเยือก ผนวกกับสีหน้าไร้ไมตรีส่งให้สตรีผู้นั้นเสียวสันหลังวาบขึ้นทันที
เพียงเพ่งมองสีหน้าที่ยังคงเรียบเฉยของเฟิ่งฉูเกอสตรีผู้นั้นย่อมสามารถประเมินได้ทันทีว่าดรุณีน้อยผู้งดงามเบื้องหน้า หาใช่ผู้ที่สามารถกล่าวสรรพยอกหยอกเย้าได้
ไหนเลยสตรีผู้นั้นยังจะกล้าเล่นลิ้นต่อคำได้อีก
“เจ้าค่ะ เจ้าค่ะ เจ้าค่ะ ข้าจะรีบไปรายงานมาม่าเดี๋ยวนี้เลยเจ้าค่ะ”
เพียงครู่ เจ้าของหอฝันภิรมย์ผู้ถูกเรียกว่ามาม่าก็ออกมา
เพียงได้เห็นสาวน้อยผู้งดงามทั้งสี่เบื้องหน้า นัยน์ตาเจ้าของหอพลันเปล่งประกายขึ้นทันใด
“แม่นางน้อยทั้งสี่ ไม่ทราบท่านเรียกหาข้าด้วยประสงค์สิ่งใดกระนั้นหรือ ?”
เฟิ่งฉู่เกอหันมาตอบคำอย่างไม่รอช้า
“พวกเราค่อย ๆ เดินไปคุยกันไปเถิด”
เพียงเลี้ยวเข้ามุมอับ เจ้าของหอก็ขยับถอยออกมาเล็กน้อย ก่อนค่อย ๆ กวาดตามองสตรีผู้งดงามในอาภรณ์สีฟ้าอ่อนเบื้องหน้าด้วยความประหลาดใจ เมื่อยิ่งก้าวเดิน คลื่นพลังที่กดดันร่างของนางก็ยิ่งหนาแน่นขึ้นเรื่อย ๆ
“แม่นาง นี่เจ้าต้องการที่จะ…”
ทว่าถ้อยคำที่เหลือกลับถูกเติมเต็มด้วยเสียงแทรกของเฟิ่งฉู่เกอ
“พาข้าไปตลาดใต้ดิน---”
เจ้าของหอแทบทรุด เมื่อได้ยินคำร้องขอจากเฟิ่งฉู่เกอ
ตลาดใต้ดินเป็นที่ชื่นชอบของเด็กในตระกูลผู้รากมากดี ตลอดถึงทายาทตระกูลผู้ทรงอิทธิพลทั้งหลาย
นั่นเพราะสถานที่แห่งนี้เป็นตลาดมืดที่ทำการค้าขายอย่างลับ ๆ เช่นนั้นน้อยคนนักที่จะรู้ว่าสถานที่แห่งนี้เพียงเปิดหอคณิกาขึ้นเพื่อบังหน้าเท่านั้น
เช่นนั้นเจ้าของหอจึงประหลาดใจกับการที่สาวน้อยเบื้องหน้าล่วงรู้ฐานะที่แท้จริงของตลาดใต้ดินแห่งนี้ มาม่าพยายามปั้นรอยยิ้มประดับบนดวงหน้าอีกคราก่อนกล่าวคำ
“แม่นาง ใช่ว่าทุกคนสามารถเข้าตลาดใต้ดิน...หากท่านหมายจะเข้าไปจริง จำต้องวางเงินไว้ห้าล้านตำลึง...ตลาดใต้ดินหาใช่สถานที่ซึ่งทุกคนสามารถเข้าออกได้ตามใจปรารถนา”
กฎการเข้าสู่ตลาดใต้ดินคือผู้ต้องการเข้าไปเลือกหาสินค้าด้านในจำต้องวางเงินไว้ล่วงหน้าห้าล้านตำลึง
เหตุผลประการหนึ่งก็คือเพื่อคัดเฉพาะผู้มีฐานะให้เข้าร่วม อีกเหตุผลก็คือเพื่อป้องกันมิให้มีผู้อาศัยตลาดใต้ดินเป็นที่สืบข่าวลับ
“ห้าล้านตำลึงเงินกระนั้นหรือ ?”
เฟิ่งฉู่เกอเอ่ยย้ำ
“ถูกแล้วแม่นาง ห้าล้านตำลึงเงิน ทว่าหากเจ้าไม่มี ย่อมไม่อาจได้รับอนุญาตให้เข้าสู่ตลาดใต้ดิน”
เจ้าของหอตอบอย่างติดจะรำคาญด้วยคาดเดาว่าสาวน้อยเบื้องหน้า ย่อมไม่มีกำลังทรัพย์มากมายถึงเพียงนั้น
ทว่าเพียงพริบตาที่กำลังจะหันหลังกลับ ปี้หลัวกลับโผล่ขึ้นขวางหน้าหญิงสูงวัยเจ้าของหอผู้นั้น
และแทบจะในเวลาเดียวกัน ปี้หลัวก็ควักตั๋วเงินออกมาจากแขนเสื้อปึกหนึ่ง…
เพียงได้เห็นตั๋วเงิน สีหน้าของเจ้าของหอพลันแปรเปลี่ยนในทันที
เมื่อด้านบนตั๋วเงินปรากฏตัวอักษรสีทองที่เปล่งประกายแวววาว ‘เทียน’ อย่างชัดเจนเต็มสองตา
ตั๋วเงิน ‘เทียน’ คือตั๋วเงินชนิดพิเศษของแคว้นอวิ๋นเทียน
ตั๋วเงินที่ปรากฏตัวอักษร ‘เทียน’ คือตั๋วเงินที่มีมูลค่าเทียบเท่าเงินสดหนึ่งล้านตำลึง
และในยามนี้ ปี้หลัวกำลังนับตั๋วเงิน ‘เทียน’ ออกมาจากปึกเป็นจำนวนห้าใบ
***จบตอน ตั๋วเงิน 'เทียน' ยกปึก***
เป็นไงละเป็นปึกๆเลย