
1819 วันที่แล้ว
นิสัยไม่ดีตบให้คว่ำ
ยามนี้สาวน้อยใบหน้าละเอียดนวลในอาภรณ์สีเหลืองสดใสกำลังจ้องเจ้าแมวขาวราวหิมะตัวน้อยขนปุกปุยในกรง
“เจ้าแมวน้อยตัวนี้ราคาเท่าไร ? ข้าอยากได้ !”
“แม่นาง แมวตัวนี้มีเจ้าของจับจองแล้ว…”
ชายชราในชุดสีดำตอบเสียงเบา
ทั้งขณะเขากล่าวว่าแมวน้อยมีเจ้าของแล้ว เขายังเหลือบชำเลืองมองสตรีในอาภรณ์สีฟ้าผู้อยู่เบื้องหน้า สุ่ยอวี้เอ่อร์เข้าใจได้ในทันทีว่า ‘เจ้าของ’ ที่ชายผู้นั้นกล่าวถึงก็คือสตรีผู้ยืนอยู่ด้านหลัง
สุ่ยอวี้เอ่อร์* คือบุตรเพียงผู้เดียวแห่งตระกูลสุ่ย
*สุ่ยอวี้ แปลว่าแก้วมณี
ตระกูลสุ่ยให้กำเนิดบุตรชายถึงสาม กว่าจะได้บุตรีผู้นี้ เช่นนั้นนางจึงเสมือนแก้วตาดวงใจของทุกคนในครอบครัว ทั้งยังเป็นผู้ถูกเอาอกเอาใจมานับแต่เยาว์วัย และด้วยเหตุนี้ สุ่ยอวี้เอ่อร์จึงมีอุปนิสัยเอาแต่ใจทั้งยังไม่สนผู้ใด ทุกสิ่งที่นางต้องการนางจะต้องได้ครอบครอง หาไม่ ย่อมไม่มีวันที่นางจะยอมรามือ !
คุณหนูเพียงผู้เดียวแห่งตระกูลใหญ่ก้าวขึ้นมาด้วยท่าทีโอหัง
“นี่ เจ้าจ่ายไปเท่าไร ? ข้าขอแมวตัวนี้ ข้าจะจ่ายให้เจ้าเพิ่มเป็นสองเท่า !”
ท่าทีของนางหยิ่งยโสโอหัง ความถือดีของนางท่วมท้นกระทั่งสุมท่วมศีรษะ ความมั่นใจของนางเต็มเปี่ยมเกินธรรมดา
ขณะที่เฟิ่งฉู่เกอกำลังจะบ่ายหน้ากลับไปนั้น พลันนัยน์ตาของนางก็ประสานเข้ากับนัยน์ตาฉ่ำวาวของเจ้าแมวน้อยที่กำลังจับจ้องมองนางเขม็งประหนึ่งมันกำลังเรียกร้องให้นางเร่งตัดสินใจกระทำบางสิ่ง
เมื่อประติดประต่อเรื่องราวทั้งหมดได้ เฟิ่งฉู่เกอกลับต้องนิ่งอึ้งด้วยความตื่นตะลึง
แน่แล้ว ! เจ้าเหมียวตัวนี้มีอุปนิสัยคล้ายคลึงมนุษย์ !
“นี่ เจ้าได้ยินที่ข้าพูดหรือไม่ ? ข้าอยากได้แมวตัวนี้ !”
สุ่ยอวี้เอ่อร์เร่งเสียงขึ้นอีกครา เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังนิ่งไร้การตอบสนอง
“มันเป็นของข้า…”
เฟิ่งฉู่เกอหรี่ตามองสุ่ยอวี้เอ่อร์ด้วยแววตาที่เย็นยะเยียบราวแท่งน้ำแข็ง
นัยน์ตาที่เฉียบคมราวกระบี่น้ำแข็งคู่นั้นทำให้คุณหนูแห่งตระกูลสุ่ยนิ่งชะงักไปในทันที
ทว่าสิ่งที่ทำให้นางนิ่งอึ้งตะลึงค้าง ก็คือรูปโฉมของเฟิ่งฉู่เกอ
แม้สุ่ยอวี้เอ่อร์จะเป็นสตรีผู้มีรูปโฉมงดงามไม่เป็นรองผู้ใด ทว่าย่อมมิอาจเทียบได้กับสตรีผู้อยู่เบื้องหน้า มิอาจเทียบได้แม้เพียงหนึ่งในสิบส่วนด้วยซ้ำ !
มิใช่แค่เพียงสุ่ยอวี้เอ่อร์ที่ถูกสะกดให้ตกตะลึงอยู่กับความงามของเฟิ่งฉู่เกอ กระทั่งสุ่ยหวูจี้ยังตกอยู่ในภวังค์ราวถูกสะกด
ทว่าเฟิ่งฉู่เกอหาได้ใส่ใจปฏิกิริยาของทั้งคู่ หญิงสาวสืบฝ่าเท้าก้าวเข้าหาชายชราผู้นั้น
“ท่านผู้เฒ่า ข้าอยากได้แมวตัวนี้”
“ฮ่าฮ่าฮ่า...ย่อมได้ !”
ชายชราผู้นั้นหัวเราะอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะหันไปเปิดกรงอุ้มลูกแมวส่งให้อีกฝ่าย
“แม่นางเบื้องหน้าต่อไป จงดูแลมันให้ดี...มันมีวาสนาร่วมกันกับเจ้า”
“ไม่ต้องห่วง ท่านผู้เฒ่า ข้าจะดูแลมันเป็นอย่างดี”
เฟิ่งฉู่เกอตอบคำ ขณะยื่นมือรับเจ้าแมวน้อยที่ยังนอนขดตัวกลมราวลูกหนังปุกปุย
เพียงเฟิ่งฉู่เกอยื่นมือสัมผัส เจ้าเหมียวน้อยก็โผเข้าใส่อ้อมอกของนางในทันที
สุ่ยอวี้เอ่อร์ยิ่งเดือดดาล เมื่อเห็นลูกแมวที่ตนอยากได้กระโจนเข้าใส่อ้อมแขนของผู้อื่นด้วยท่าทีสุขใจเช่นนั้น
นางกระทืบเท้าร้องโวยวาย
“นี่ เจ้าไม่ได้ยินที่ข้าพูดหรืออย่างไร ? ข้าบอกว่าข้าจะเอาแมวตัวนี้ ! ข้าพร้อมจะจ่ายให้เจ้าเพิ่มถึงสองเท่า !”
น้ำเสียงที่เย็นยะเยียบเสียดกระดูกของเฟิ่งฉู่เกอดังก้องเข้าถึงโสตประสาท
“ไม่ขาย !”
พร้อมคำตอบกลับให้หน้าหงายคือฝีเท้าที่ก้าวฉับ ๆ กลับไปอย่างไม่แยแส
พวกจื่อหลานรีบสาวเท้าก้าวติดตามผู้เป็นนายไปในทันที
“ไยคนผู้นี้จึงดื้อรั้นถึงเพียงนี้ ?”
การถูกปฏิเสธอย่างไร้เยื่อไยยิ่งจุดประกายความเกรี้ยวกราดให้สุ่ยอวี้เอ่อร์
“ท่านพี่ ! ข้าอยากได้แมวตัวนั้น”
สุ่ยอวี้เอ่อร์หันมาออดอ้อนบุรุษผู้ยืนอยู่ด้วยกัน
สุ่ยหวูจี้ย่อมรู้จักอุปนิสัยของน้องสาวตนเป็นอย่างดี หากนางไม่ได้ในสิ่งที่ตนปรารถนา เกรงว่าน้องสาวผู้นี้คงจะได้อาละวาดฟาดหาง กระทั่งกลับกลายเป็นเรื่องใหญ่โต
เขาจำต้องรวบรวมความกล้าเอ่ยปากร้องขอ
“แม่นาง...ข้ารู้ดีว่าเป็นการเสียมารยาทอย่างยิ่งสำหรับการร้องขอเช่นนี้ ทว่าน้องสาวของข้าชอบใจลูกแมวตัวนี้จริง ๆ มิทราบเจ้าจะเห็นเป็นอย่างไร หากเราเพิ่มตำลึงเงินให้เจ้าอีกเท่าตัวยังไม่เพียงพอ เช่นนั้นแม่นางต้องการจะเรียกร้องสักสี่เท่าหรือกี่เท่า ขอแม่นางโปรดเอ่ยปากเถิด”
***จบตอน มันเป็นของข้า***
นิสัยไม่ดีตบให้คว่ำ