px

เรื่อง : ฮูหยินข้าดีเลิศประเสริฐสุด
ตอนที่ 39 แม่นาง ข้าหิว !


สุ่ยอวี้เอ่อร์หันมาถลึงตาใส่อีกฝ่ายด้วยท่าทีเกรี้ยวกราด ใบหน้าที่ชุ่มโชกด้วยโลหิตพลันน่าหวาดหวั่นพรั่นพรึง

 

กระทั่งเจ้าของหอได้เห็นยังเสียวสันหลังวาบถอยกรูดไปถึงสองสามก้าว

 

“แม่นางสุ่ย นี่มัน...เกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่ ?”

 

“ข้าอยากจะถามเจ้ามากกว่าว่านางมารที่เดินออกไปเมื่อครู่นี้คือผู้ใดกัน ?”

 

“แม่นางสุ่ยหมายถึงผู้ใดกระนั้นหรือ ?”

 

“ก็หญิงแพศยาที่ใส่อาภรณ์สีฟ้าอย่างไรเล่า !

 

สุ่ยอวี้เอ่อร์คำรามในลำคอ

เจ้าของหอสะดุ้งโหยง

 

“ข้าเองก็มิรู้ว่านางคือผู้ใด นางเพิ่งมาที่นี่เป็นคราแรก...ไอหย่า หรือทั้งหมดนี้คือฝีมือ...”

 

ยังไม่ทันจบประโยค ฝ่ามือของสุ่ยอวี้เอ่อร์ก็กระแทกเข้าใส่ใบหน้าของอีกฝ่าย

 

“ใช่ธุระกงการใดของเจ้าเสียเมื่อไร ! !”

 

หลังมอบฝ่ามือพระกาฬให้อีกฝ่ายได้สำนึก สุ่ยอวี้เอ่อร์ก็ถอยกลับมายืนขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกระทืบเท้าปึงปังด้วยอาการเดือดดาล

 

“ท่านพี่ ข้าจะต้องรู้ให้ได้ว่านางสารเลวผู้นั้นคือผู้ใด ! ! ! ท่านพี่ แล้วครานี้ข้าจะทำเช่นไร ใบหน้าของข้ายับเยินเสียปานนี้ มะรืนนี้ข้าจะแบกหน้าไปพบท่านอ๋องสามกับท่านอ๋องห้าได้อย่างไร ท่านดูสารรูปของข้าในยามนี้สิ !”

สุ่ยหวูจี้ทำได้เพียงกล่าวปลอบใจน้องสาว เมื่อเห็นสภาพน้องสาวของตนในยามนี้

 

“อวี้เอ่อร์ ไม่ต้องห่วง ตระกูลของเรามีโอสถบำรุงผิวที่ปรมาจารย์โอสถขั้นกลางปรุงกลั่นให้อยู่มิใช่หรือ ? เพียงป้ายโอสถวันเดียว ใบหน้าของเจ้าย่อมกลับคืนเป็นปกติ ถึงวันมะรืนที่เจ้าเข้าร่วมงานเฉลิมฉลองในวังหลวงย่อมไม่เป็นปัญหาแต่ประการใด”

 

“ท่านพูดจริงหรือ ?”

 

หญิงสาวนัยน์ตาเป็นประกาย

 

“จริงสิ”

 

ได้ฟังคำตอบของผู้เป็นพี่ชายเช่นนี้ สุ่ยอวี้เอ่อร์จึงค่อยคลายใจลงได้

 

“หากข้าพบเจอหญิงชั่วผู้นั้นอีกครา ข้าจะไม่มีวันปล่อยนางไปแน่ ทั้่งเจ้าหน้าขนตัวร้ายนั่นอีก ข้าจะจับมันถลกหนังทั้งเป็นเลย คอยดู ! !

 

ครั้นเฟิ่งฉู่เกอกลับมาถึงเรือนสายนที จึงพบว่าอาเฉินมานั่งรออยู่ในห้องโถงใหญ่นานแล้ว

 

เพียงเห็นกลุ่มสาว ๆ เดินลิ่วมาแต่ไกล อาเฉินก็รีบลุกขึ้นรับ

 

“แม่นาง พวกเจ้ากลับมาแล้ว”

 

“อาเฉินน้อย พวกเราไปแค่เพียงไม่นาน เจ้าก็คิดถึงพี่สาว กระทั่งต้องมานั่งชะเง้อคอมองเสียแล้วกระนั้นหรือ ?”

 

อาเฉินทำหูทวนลม ขณะเปลี่ยนเป็นฝ่ายตั้งคำถาม

 

“แม่นาง พวกเจ้าไม่รู้สึกว่าในวันนี้ เรือนแห่งนี้เงียบเชียบจนน่าใจหายกระนั้นหรือ ?”

 

เฟิ่งฉู่เกอขมวดคิ้วเมื่อถูกอาเฉินชี้นำ

 

“ก็คล้ายจะเป็นเช่นนั้น...จริงเสียด้วย…”

 

“พวกเขาดูจะหวาดกลัวเจ้า จึงฉวยโอกาสช่วงที่พวกเจ้าออกไปข้างนอกเก็บข้าวเก็บของพากันหนีไปหมดแล้ว…”

 

หอบผ้าหอบผ่อนหนีกันไปหมด

 

มุมปากของเฟิ่งฉู่เกอกระตุกกึก

 

นี่นางน่ากลัวถึงเพียงนั้นเชียวหรือ ?

 

ฉับพลัน กลับได้ยินเสียงก้องสนั่นขึ้น เฟิ่งฉู่เกอหันไปหาอาเฉินผู้ยืนทำท่าขัดเขินอยู่ด้านข้าง

 

“แม่นาง ข้าหิวแล้ว…”

 

“อ้อ ! ที่เจ้ามาชะเง้อคอคอยหาพวกเราก็เพื่อให้พวกเรากลับมาหาอาหารให้กระนั้นสิ”

 

อาเฉินพยักหน้าหงึกด้วยท่าทีอึกอัก

 

“เช่นนั้นก็ไปกันเถิด ออกไปหาอะไรกินข้างนอกกัน…”

 

หญิงสาวคว้ามืออาเฉินลากไปทันที

 

“แต่...ข้าอยากกินอาหารฝีมือเจ้า…”

 

เฟิ่งฉู่เกอนิ่งค้าง

 

อาหารฝีมือนาง

 

ทว่า นางทำอาหารไม่เป็น กระทั่งหุงข้าวยังไม่เคยเสียด้วยซ้ำ

 

หญิงสาวหันมาทำหน้าเลิ่กลั่กใส่จื่อหลาน ปี้หลัว และลวี้จู ทั้งหมดทำได้เพียงยืนส่ายหน้าอย่างหมดอาลัย

 

เพราะทุกนาง ล้วนไร้ฝีมือในการปรุงอาหาร

 

ที่ผ่านมาทั้งสามดรุณีน้อยต่างเพียงทำหน้าที่ดูแลและร่วมเป็นสหายร่ำเรียนวรยุทธ ส่วนเรื่องการหุงหาอาหาร ซักผ้าเก็บเรือน พวกนางเคยแตะเสียเมื่อไร

 

ขณะกลุ่มสาว ๆ กำลังมองหน้ากันด้วยท่าทีเหลอหลา เสียงเหน็บแนมแกมหยอกเย้าของอาเฉินพลันลอยเข้าหู

 

“แม่นาง หรือพวกเจ้าจะปรุงอาหารไม่เป็น ?”

 

สุ้มเสียงเช่นนี้ ถ้อยคำเยี่ยงนี้มันช่างยั่วแรงฮึดได้ดีเยี่ยม !

 

เฟิ่งฉู่เกอหันขวับกลับมาสวนกลับในทันที

 

“เจ้าตัวร้าย รอข้าประเดี๋ยว !”

 

***จบตอน แม่นาง ข้าหิว !***

รีวิวผู้อ่าน

sunida.pop@gmail.com
1359 วันที่แล้ว

อาเฉินจะได้กินข้าวสุก หรือข้าวดิบหนอ


  แสดงความคิดเห็น