1359 วันที่แล้ว
อาเฉินจะได้กินข้าวสุก หรือข้าวดิบหนอ
สุ่ยอวี้เอ่อร์หันมาถลึงตาใส่อีกฝ่ายด้วยท่าทีเกรี้ยวกราด ใบหน้าที่ชุ่มโชกด้วยโลหิตพลันน่าหวาดหวั่นพรั่นพรึง
กระทั่งเจ้าของหอได้เห็นยังเสียวสันหลังวาบถอยกรูดไปถึงสองสามก้าว
“แม่นางสุ่ย นี่มัน...เกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่ ?”
“ข้าอยากจะถามเจ้ามากกว่าว่านางมารที่เดินออกไปเมื่อครู่นี้คือผู้ใดกัน ?”
“แม่นางสุ่ยหมายถึงผู้ใดกระนั้นหรือ ?”
“ก็หญิงแพศยาที่ใส่อาภรณ์สีฟ้าอย่างไรเล่า !
สุ่ยอวี้เอ่อร์คำรามในลำคอ
เจ้าของหอสะดุ้งโหยง
“ข้าเองก็มิรู้ว่านางคือผู้ใด นางเพิ่งมาที่นี่เป็นคราแรก...ไอหย่า หรือทั้งหมดนี้คือฝีมือ...”
ยังไม่ทันจบประโยค ฝ่ามือของสุ่ยอวี้เอ่อร์ก็กระแทกเข้าใส่ใบหน้าของอีกฝ่าย
“ใช่ธุระกงการใดของเจ้าเสียเมื่อไร ! !”
หลังมอบฝ่ามือพระกาฬให้อีกฝ่ายได้สำนึก สุ่ยอวี้เอ่อร์ก็ถอยกลับมายืนขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกระทืบเท้าปึงปังด้วยอาการเดือดดาล
“ท่านพี่ ข้าจะต้องรู้ให้ได้ว่านางสารเลวผู้นั้นคือผู้ใด ! ! ! ท่านพี่ แล้วครานี้ข้าจะทำเช่นไร ใบหน้าของข้ายับเยินเสียปานนี้ มะรืนนี้ข้าจะแบกหน้าไปพบท่านอ๋องสามกับท่านอ๋องห้าได้อย่างไร ท่านดูสารรูปของข้าในยามนี้สิ !”
สุ่ยหวูจี้ทำได้เพียงกล่าวปลอบใจน้องสาว เมื่อเห็นสภาพน้องสาวของตนในยามนี้
“อวี้เอ่อร์ ไม่ต้องห่วง ตระกูลของเรามีโอสถบำรุงผิวที่ปรมาจารย์โอสถขั้นกลางปรุงกลั่นให้อยู่มิใช่หรือ ? เพียงป้ายโอสถวันเดียว ใบหน้าของเจ้าย่อมกลับคืนเป็นปกติ ถึงวันมะรืนที่เจ้าเข้าร่วมงานเฉลิมฉลองในวังหลวงย่อมไม่เป็นปัญหาแต่ประการใด”
“ท่านพูดจริงหรือ ?”
หญิงสาวนัยน์ตาเป็นประกาย
“จริงสิ”
ได้ฟังคำตอบของผู้เป็นพี่ชายเช่นนี้ สุ่ยอวี้เอ่อร์จึงค่อยคลายใจลงได้
“หากข้าพบเจอหญิงชั่วผู้นั้นอีกครา ข้าจะไม่มีวันปล่อยนางไปแน่ ทั้่งเจ้าหน้าขนตัวร้ายนั่นอีก ข้าจะจับมันถลกหนังทั้งเป็นเลย คอยดู ! !
ครั้นเฟิ่งฉู่เกอกลับมาถึงเรือนสายนที จึงพบว่าอาเฉินมานั่งรออยู่ในห้องโถงใหญ่นานแล้ว
เพียงเห็นกลุ่มสาว ๆ เดินลิ่วมาแต่ไกล อาเฉินก็รีบลุกขึ้นรับ
“แม่นาง พวกเจ้ากลับมาแล้ว”
“อาเฉินน้อย พวกเราไปแค่เพียงไม่นาน เจ้าก็คิดถึงพี่สาว กระทั่งต้องมานั่งชะเง้อคอมองเสียแล้วกระนั้นหรือ ?”
อาเฉินทำหูทวนลม ขณะเปลี่ยนเป็นฝ่ายตั้งคำถาม
“แม่นาง พวกเจ้าไม่รู้สึกว่าในวันนี้ เรือนแห่งนี้เงียบเชียบจนน่าใจหายกระนั้นหรือ ?”
เฟิ่งฉู่เกอขมวดคิ้วเมื่อถูกอาเฉินชี้นำ
“ก็คล้ายจะเป็นเช่นนั้น...จริงเสียด้วย…”
“พวกเขาดูจะหวาดกลัวเจ้า จึงฉวยโอกาสช่วงที่พวกเจ้าออกไปข้างนอกเก็บข้าวเก็บของพากันหนีไปหมดแล้ว…”
หอบผ้าหอบผ่อนหนีกันไปหมด…
มุมปากของเฟิ่งฉู่เกอกระตุกกึก
นี่นางน่ากลัวถึงเพียงนั้นเชียวหรือ ?
ฉับพลัน กลับได้ยินเสียงก้องสนั่นขึ้น เฟิ่งฉู่เกอหันไปหาอาเฉินผู้ยืนทำท่าขัดเขินอยู่ด้านข้าง
“แม่นาง ข้าหิวแล้ว…”
“อ้อ ! ที่เจ้ามาชะเง้อคอคอยหาพวกเราก็เพื่อให้พวกเรากลับมาหาอาหารให้กระนั้นสิ”
อาเฉินพยักหน้าหงึกด้วยท่าทีอึกอัก
“เช่นนั้นก็ไปกันเถิด ออกไปหาอะไรกินข้างนอกกัน…”
หญิงสาวคว้ามืออาเฉินลากไปทันที
“แต่...ข้าอยากกินอาหารฝีมือเจ้า…”
เฟิ่งฉู่เกอนิ่งค้าง…
อาหารฝีมือนาง…
ทว่า นางทำอาหารไม่เป็น กระทั่งหุงข้าวยังไม่เคยเสียด้วยซ้ำ
หญิงสาวหันมาทำหน้าเลิ่กลั่กใส่จื่อหลาน ปี้หลัว และลวี้จู ทั้งหมดทำได้เพียงยืนส่ายหน้าอย่างหมดอาลัย
เพราะทุกนาง ล้วนไร้ฝีมือในการปรุงอาหาร
ที่ผ่านมาทั้งสามดรุณีน้อยต่างเพียงทำหน้าที่ดูแลและร่วมเป็นสหายร่ำเรียนวรยุทธ ส่วนเรื่องการหุงหาอาหาร ซักผ้าเก็บเรือน พวกนางเคยแตะเสียเมื่อไร…
ขณะกลุ่มสาว ๆ กำลังมองหน้ากันด้วยท่าทีเหลอหลา เสียงเหน็บแนมแกมหยอกเย้าของอาเฉินพลันลอยเข้าหู
“แม่นาง หรือพวกเจ้าจะปรุงอาหารไม่เป็น ?”
สุ้มเสียงเช่นนี้ ถ้อยคำเยี่ยงนี้มันช่างยั่วแรงฮึดได้ดีเยี่ยม !
เฟิ่งฉู่เกอหันขวับกลับมาสวนกลับในทันที…
“เจ้าตัวร้าย รอข้าประเดี๋ยว !”
***จบตอน แม่นาง ข้าหิว !***
อาเฉินจะได้กินข้าวสุก หรือข้าวดิบหนอ