และเป็นดังที่อาเฉินกล่าว บ่าวไพร่ในเรือนเฟิ่งต่างรีบฉวยโอกาสช่วงที่เฟิ่งฉู่เกอออกนอกเรือนเก็บข้าวของเผ่นหนีตาลีตาเหลือก กระทั่งยามนี้เรือนเฟิ่งรกร้างว่างเปล่าไร้ผู้คนไปเสียแล้ว
ในห้องครัวประกอบด้วยข้าวของเครื่องปรุงพร้อมสรรพมากมาย
และนี่เป็นครั้งแรกที่เฟิ่งฉู่เกอจะวาดลวดลายงานครัวให้เป็นที่ประจักษ์ หญิงสาวพับแขนเสื้อเตรียมปรุงอาหารด้วยท่าทีกระปรี้กระเปร่า
กลุ่มดรุณีน้อยต่างพากันจ้องเฟิ่งฉู่เกอด้วยอาการแตกตื่นใจราวได้เห็นภูตผี
“คุณ...หนู...นี่ท่านคงมิได้คิดจะลงมือปรุงอาหารด้วยตนเองจริง ๆ กระมัง ?”
“กำลังทำอยู่นี่อย่างไรเล่า !”
เสียงอีกฝ่ายยืนยัน
“ทว่า คุณหนู...ท่านไม่เคยทำเรื่องพรรณนี้เลยนะเจ้าคะ…”
“เอาน่า คุณหนูของพวกเจ้าเป็นยอดอัจฉริยะ เพียงเท่านี้ประเดี๋ยวก็เสร็จแล้ว”
เสียงอีกฝ่ายตอบกลับ ขณะเริ่มลงมือล้างชาม
“คุณหนู ให้พวกเราช่วยเถิดเจ้าค่ะ เรื่องเช่นนี้คุณหนูคงไม่คุ้นมือหรอกเจ้าค่ะ”
ทั้งสามรีบกุลีกุจอเข้าไปช่วยทันทีอย่างอดมิได้ที่เห็นคุณหนูของตนต้องลุกขึ้นมาทำหน้าที่นี้
ทว่าเฟิ่งฉู่เกอกลับรีบบอกปัด
“ไม่ต้อง อา...อาเฉินบอกว่าอยากกินอาหารที่ข้าปรุง หากพวกเจ้าช่วยย่อมมิใช่”
ทั้งสามสาวทำได้เพียงเดินคอตกเบะปากกลับไป
อาเฉินเป็นแค่เพียงเด็กน้อยเท่านั้น…
คุณหนู...ท่านจะดีกับเจ้าหนูผู้นั้นมากเกินไปแล้ว
เมื่อสามสาวเห็นเฟิ่งฉู่เกอยืนกรานหนักแน่นไม่ต้องการความช่วยเหลือ ทั้งสามนางจึงจำต้องยืนมองอยู่เพียงห่าง ๆ
โดยมีอาเฉินคอยส่งเสียงเร่งท้องคราดรออยู่ในเรือนสายนที
พลังยุทธของเขาสิ้นสูญไปนับแต่ต้องพิษครานั้น ยามนี้ภายใต้สภาพร่างของเด็กน้อย เขาไม่อาจเป็นแม้เพียงคู่ประมือของคนสามัญธรรมดาเสียด้วยซ้ำ
อาเฉินชะเง้อคอมองกลุ่มควันดำโขมงที่ลอยก่อตัวเหนือห้องเครื่องตระกูลเฟิ่งพร้อมรอยยิ้มและแววตาที่เปล่งประกาย
เฟิ่งฉู่เกอกำลังปรุงอาหารให้เขาด้วยตนเอง…
“เมี้ยว~~~”
ที่ปลายเท้า คล้ายได้ยินเสียงแมวตัวน้อย
ครั้นเมื่อก้มลง อาเฉินจึงเห็นเจ้าลูกเหมียวสีขาวขนปุกปุย
นัยน์ตาสีฟ้าของมันเปล่งประกายแวววาวเงางามมันยืนส่งเสียงร้องเหมียว ๆ
อาเฉินนัยน์ตาลุกวาว เมื่อได้เห็นแววตาของลูกแมวตัวน้อย
นี่มัน...สัตว์เวท ! !
ในดินแดนแห่งนี้ สัตว์เวทคือสิ่งที่พบเห็นได้ยากยิ่ง
ไม่คิดเลยว่าเขาจะได้พบเจอมันในสถานที่เช่นนี้
เจ้าแมวน้อยคล้ายเริ่มระแวดระวังเมื่อเห็นอาเฉินสนใจในตัวมัน
เสียงร้องของมันเริ่มเปลี่ยนไป ทั่วร่างของมันเริ่มแผ่กระแสอายแห่งการเข่นฆ่า
อาเฉินหรี่ตามองเจ้าตัวน้อย
ปลายนิ้วมือน้อย ๆ ปรากฏอายพลังอันเย็นยะเยียบแผ่ซ่าน…
ริมฝีปากบางกระตุกน้อย ๆ เผยสีหน้าจริงจังเกินกว่าวัย
นัยน์ตาสีม่วงคู่นั้นเปล่งประกายวูบวาบ
แม้ยามนี้เขาจะอยู่ในร่างของเด็กตัวน้อย ทว่าคลื่นพลังที่แผ่ซ่านยังคงหนาแน่นเฉกเช่นตี้เจวี๋ยเฉินคนเดิมผู้สามาถย่ำยีผู้คนทั่วหล้าให้สยบอยู่เพียงใต้ฝ่าเท้า
หนึ่งแมวน้อย หนึ่งเด็กน้อย กำลังประหัตถ์ประหารกันด้วยสายตาอย่างไม่มีผู้ใดยอมลดราวาศอกให้แก่กัน ! !
“เมี้ยว~”
เจ้าแมวน้อยร้องตัวสั่น นัยน์ตาสีฟ้าเริ่มอ่อนกำลัง ร่างของมันคล้ายมิอาจฝืนต้านทานความสั่นสะท้าน
อาเฉินเลิกคิ้วจ้องตาสัตว์เวทตัวน้อย ก่อนค่อย ๆ เปล่งวาจาน้ำเสียงข่ม
“อย่าได้ริอ่านหาญสู้ เจ้าจะได้มิต้องพบกับความปราชัย”
เจ้าเหมียวส่งเสียงขู่ฟ่อ ๆ ด้วยความไม่พอใจ ลึกลงไปในแววตาของมันยังอัดแน่นด้วยความไม่ยินยอมพร้อมใจ ทว่ายามนี้มันยังมิกล้าขยับเคลื่อนไหวแม้เพียงก้าว…
ทว่า ทันทีที่เสียงฝีเท้าอันเร่งรีบด้านนอกดังสะท้อน ประหนึ่งได้พบเจอแสงสว่างแห่งทางรอดพ้น เจ้าเหมียวน้อยก็รีบพุ่งกระโจนออกไปในทันที
เฟิ่งฉู่เกอถือชามใบใหญ่เดินเข้ามา
“มากินสิ…”
หญิงสาววางชามบะหมี่ลงบนโต๊ะพร้อมเสียงกล่าว
“แม่นาง เจ้าเป็นผู้ลงมือปรุงเองจริงหรือ ?”
เสียงอาเฉินถามไถ่
“แน่นอน ข้าบอกว่าทำเองก็ทำเองสิ”
พร้อมคำกล่าว นางก็เหยียดมือออกอุ้มเจ้าเหมียวน้อยผู้ซึ่งรีบเข้ามาซุกอกนางตัวกลมราวลูกชิ้นในทันที
อาเฉินเหล่มองพฤติกรรมอันไร้ยางอายของเจ้าหน้าขนตัวน้อย
“เจ้าเหมียวหน้าโง่ตัวนี้คือแมวของเจ้ากระนั้นหรือ ?”
***จบตอน อย่าริอ่านหาญสู้***