เฟิ่งฉู่เกอก้มลงมองเจ้าเหมียวน้อยผู้นอนคุ้ดคู้ราวลูกหนังหิมะในมือของตน
“ก็ใช่สิ...มันออกจะน่ารักมิใช่หรือ ?”
เสียงอาเฉินเยาะขึ้นจมูก
“มันหน้าโง่จะตาย”
เจ้าขนฟูเงยหน้าฟึ่บทำท่าค้อนทันทีที่ได้ยินคำว่า ‘โง่’ ทว่าเมื่อต้องประจันเข้ากับแววตาอันเชือดเฉือนของอาเฉิน มันกลับต้องยอมหลุบตาก้มหน้างุด ๆ
เฟิ่งฉู่เกออดหัวเราะร่วนออกมามิได้ เมื่อเห็นปฏิกิริยาของทั้งสองฝ่าย
“เห็นทีลูกชิ้นน้อยจะหวาดกลัวเจ้ามิน้อย”
นางสามารถเป็นประจักษ์พยานในความสุดยอดของเจ้าเหมียวตัวนี้ได้ !
มันไม่เคยหวาดกลัวผู้ใด คราที่เผชิญหน้ากับสองพี่น้องตระกูลสุ่ยมันยังห้าวหาญ และท้าทายทว่ากลับกลัวหงอ เมื่ออยู่เบื้องหน้าอาเฉินตัวน้อย
“ลูกชิ้น ?”
อาเฉินปราดตามองผู้ถูกพาดพิงในทันที
“ชื่อดี เหมาะกับมันมิใช่น้อย…”
เฟิ่งฉู่เกอสะอึกเล็กน้อย
นางเพียงเปรยขึ้นมาลอย ๆ หาได้คิดจริงจังไม่...
หากแต่จะว่าไปก็เป็นชื่อที่เข้ากับมันดีไม่น้อย
หญิงสาวยกมือขึ้นลูบขนของลูกแมวน้อย
“เช่นนั้นข้าจะเรียกเจ้าว่า ลูกชิ้นน้อยก็แล้วกัน…”
ลูกชิ้นน้อยยกอุ้งเท้าสะบัดไปมาเพื่อประท้วง ทว่าครั้นถูกอาเฉินจ้อง มันกลับต้องยอมจำนนสงบเสงี่ยมอาการอย่างฉับไว
เป็นอีกคราที่เฟิ่งฉู่เกอต้องเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ
ยามนี้นางมั่นใจเต็มร้อยว่าลูกชิ้นน้อยหวาดกลัวอาเฉินเสียจริง ๆ
ครั้นเมื่อหางตาตวัดไปเห็นชามบะหมี่บนโต๊ะ หญิงสาวกลับต้องร้องเสียงหลง
“ไอหย่า รีบ ๆ กินเร็วเข้า ประเดี๋ยวจะเย็นชืดเสียหมด”
อาเฉินหันมาคว้าตะเกียบเตรียมลงมือจัดการเป้าหมายเบื้องหน้าอย่างไม่รอช้า
เพียงยัดเข้าปากไปได้แค่คำ สีหน้าของอาเฉินพลันแปรเปลี่ยนไปทันที
“เป็นอย่างไร ? ถูกปากหรือไม่ ?”
หญิงสาวรีบซักไซ้ พร้อมนัยน์ตาที่ลุกวาวด้วยความคาดหวัง
นัยน์ตากลมโตของอาเฉินเปล่งประกายวูบวาบขณะยังคงส่งเส้นบะหมี่เข้าปากอย่างต่อเนื่อง เขาลงมือจัดการบะหมี่ชามโตจนเกลี้ยงไม่เหลือกระทั่งน้ำแกงที่ถูกซดจนหมดจด
“อืม อร่อย ! !”
สีหน้าที่บ่งบอกความพึงพอใจของอาเฉินทำให้เฟิ่งฉู่เกอฉีกยิ้มออกมาได้
“ดีใจที่เจ้าชอบ”
ทว่าสุ้มเสียงเย็นจากเจ้าของเสียงคนเดิม พลันสะท้อนต่อเนื่องตามมาในทันที
“แม่นาง คราหน้า อย่าหยิบเกลือกับน้ำตาลผิดอีกเล่า…”
รอยยิ้มบนใบหน้าของหญิงสาวพลันแข็งค้างในทันที
เกลือสลับกับน้ำตาล…
มันจะยังใช่บะหมี่อยู่อีกกระนั้นหรือ
หญิงสาวขึ้นเสียงดุอาเฉินทันที
“มันไม่อร่อย เจ้าก็ยังจะฝืนกิน เจ้านี่มันซื่อบื้อจริง ๆ !”
“นี่เป็นอาหารที่ว่าที่ฮูหยินของข้าลงมือปรุงด้วยตนเอง ข้าย่อมต้องให้กำลังใจอย่างเต็มที่ !”
อาเฉินยกมือขึ้นกอดอกวางท่าราวหนุ่มใหญ่
ว่าที่ฮูหยิน…
เมื่อได้ยินถ้อยคำเช่นนั้นอีกครา เฟิ่งฉู่เกอถึงกับต้องหรี่ตามองอีกฝ่ายด้วยความเหลือเชื่อ...
เจ้าเด็กคนนี้วัน ๆ คิดแต่เรื่องฮูหยิน...ผู้ใดฝังความคิดเช่นนี้ให้เขากัน ?
เฟิ่งฉู่เกอรีบจุดกำยานหลงรัญจวน เพื่อส่งสัญญาณเรียกหญิงรับใช้ผู้มีความสามารถในการปรุงอาหารจากหอสวรรค์ทันทีที่แยกกับอาเฉิน
ส่วนอาเฉินก็คล้ายจะมิได้รู้สึกรู้สาแต่อย่างใด สองวันมานี้เขาเร่า ๆ อ้อนขอให้เฟิ่งฉู่เกอปรุงอาหารให้เขาอยู่ทุกวี่ทุกวัน
ทั้งหญิงสาวก็ไร้แรงต้านทานเสียงอ้อนร้องขอจากพ่อหนูน้อย คงทำได้เพียงลุกขึ้นมาปรุงอาหารให้เขาด้วยตนเองตามความประสงค์ของอีกฝ่าย
แม้อาหารแต่ละสำรับรสชาติจะยังไม่สามารถไต่ถึงระดับปานกลางทั่วไป กระน้้น อาเฉินก็ยังกินอาหารทุกชุดด้วยท่าทีเอร็ดอร่อย
เพียงไม่นานก็ถึงวันเฉลิมฉลองที่องค์ฮ่องเต้จัดขึ้น เพื่อต้อนรับการกลับมาของเฟิ่งฉู่เกอโดยเฉพาะ
งานเฉลิมฉลองจัดขึ้นในช่วงเย็น
เช่นนั้นเมื่อคล้อยบ่าย จื่อหลานจึงเข้ามาช่วยเฟิ่งฉู่เกอแต่งกาย
ครั้นเห็นจื่อหลาน และปี้หลัวพากันเลือกเครื่องประดับอย่างพิถีพิถัน เปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีกมือเป็นระวิง เฟิ่งฉู่เกอจึงอดหัวเราะคิกคักขึ้นมามิได้
“นี่ พวกเราก็แค่จะไปร่วมกินอาหารเย็นเท่านั้น เหตุใดต้องจัดเครื่องแต่งกายเสียใหญ่โตเช่นนี้ ?”
“คุณหนูเจ้าคะ พวกเราเคยบอกไว้แล้วมิใช่หรือเจ้าคะว่าพวกเราจะต้องแต่งกายคุณหนูให้หรูเลิศที่สุดจะให้เจ้าพวกชอบทำเชิดวางท่าใหญ่โตผงะในความงามของคุณหนูจนหน้าหงายกันให้หมดเลยทีเดียว ! !”
เฟิ่งฉู่เกอบุ้ยปาก
“พวกเรามิอาจทำตัวให้โดดเด่น ควรทำตนต่ำต้อยเข้าไว้”
“อย่างคุณหนูเนี่ยนะเจ้าคะ ? ไม่โดดเด่น ? ต่ำต้อย ? แค่เพียงคุณหนูปรากฏกายทุกคนในที่นั้นก็ต้องตกตะลึงตาค้างกันหมดแล้วเจ้าค่ะ”
จื่อหลานสวนแย้งทันควัน ยามนี้สองตาของนางกำลังเปล่งประกายด้วยความตื่นเต้น เมื่อจินตนาการไปถึงใบหน้าอันตื่นตะลึงพรึงเพริดของผู้ร่วมงานทั้งหลาย ยามได้เห็นรูปโฉมอันงดงามเหนือคำบรรยายของคุณหนูของพวกนาง
***จบตอน กำลังใจแด่ว่าที่ฮูหยิน***