อาเฉินยังคงใช้สายตาเชือดเฉือนอีกฝ่ายอย่างไม่ลดละ
แววตาคมกริบที่เปล่งประกายวูบวาบบาดสายตาทิ่มแทงใส่ลูกชิ้นน้อยอย่างไร้ความปรานี
หากทว่าเจ้าเหมียวตัวต้นเหตุกลับยังคงซ่อนตัวมุดหน้างุด ๆ อยู่ในอ้อมแขนของเฟิ่งฉู่เกออย่างไม่สะทกสะท้าน
มันตระหนักดีว่าในสถานการณ์เช่นนี้อาเฉินย่อมไร้สิ้นน้ำยา
ลูกชิ้นน้อยมีความเข้าใจในธรรมชาติของมนุษย์ดีเยี่ยมจนเหลือเชื่อ
ทั้งตัวมันเองยังแสนจะภูมิใจในความล้ำลึกยากเกินจะหยั่งของตนเสียด้วยซ้ำ…
สงครามเย็นที่ปะทุขึ้นอย่างเงียบเชียบจึงจำต้องค่อย ๆ ปิดม่านลงอย่างเชื่องช้า…
เฟิ่งฉู่เกอมิได้ระแคะระคายการห้ำหั่นผ่านม่านแววตาอันเหี้ยมเกรียมระหว่างอาเฉินกับเจ้าเหมียวน้อยแม้เพียงสักนิด เมื่อยามนี้นางกำลังเอนกายพิงผนังงีบอยู่ในรถม้า
กระทั่งฝีเท้าอาชาหยุดกึก เสียงจื่อหลานร้องเรียกจากด้านนอกดังแทรกขึ้น
“คุณหนูเจ้าคะ ถึงวังหลวงแล้วเจ้าค่ะ...
หญิงสาวค่อย ๆ เผยอเปลือกตาขึ้นทีละน้อย
“อาเฉิน ถึงแล้ว ลงมาได้แล้ว”
เฟิ่งฉู่เกอเดินนำลงไปก่อน ทว่ารั้งรออยู่นาน อาเฉินกลับมิยอมขยับกาย
ครั้นเมื่อเลิกผ้าม่านขึ้น หญิงสาวกลับเห็นอาเฉินยังคงนั่งนิ่งสีหน้าไร้ความรู้สึก
“เกิดอะไรขึ้น ? ไม่ลงมาหรือ ?”
อาเฉินยกมือขึ้นกอดอก สีหน้าของเขาเย็นชาน้ำเสียงหยิ่งผยอง
“มันสูงเกินไป ลงไม่ได้”
หญิงสาวก้มลงดูเกี้ยวที่ค่อนข้างสูงห่างจากตัวรถม้าด้านใน ก่อนจะส่งเสียงพึมพำ
“ข้าช่วยอุ้มเจ้าลงมาก็ได้”
นัยน์ตาของอาเฉินเป็นประกายขึ้นมาทันที รอยยิ้มบนใบหน้าน้อยสดใสกว่าที่เคยเพียงได้ยินเสียงเสนาะจากอีกฝ่าย
เพียงขยับ เฟิ่งฉู่เกอจึงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าลูกชิ้นน้อยยังคงนอนขดตัวกลมอยู่ในอ้อมแขนของนาง ทั้งย่อมไม่สมควรที่จะวางมันลงเช่นนี้
ครั้นกำลังจะหันไปเรียกจื่อหลานเข้ามาช่วยอุ้ม อาเฉินกลับแทรกขึ้นมาเสียก่อน
“ข้าจะอุ้มลูกชิ้นน้อย...เจ้าจะได้อุ้มข้า”
“เหมียว~~”
สถานการณ์ถึงคราวคับขันเช่นนี้ ไหนเลยเจ้าลูกชิ้นจะยังทนนิ่งเฉยอยู่ได้ มันรีบส่งเสียงแสดงอาการไม่ยินยอม
ทว่าที่สุด ความพยายามประท้วงกลับไม่เป็นผล
เมื่อเฟิ่งฉู่เกอตอบกลับอีกฝ่าย
“ได้”
ด้วยเหตุนั้น หญิงสาวจึงส่งลูกชิ้นน้อยให้อาเฉิน ก่อนจะเหยียดมืออุ้มเด็กชายร่างน้อยลงจากรถม้า
อาเฉินคลี่ยิ้มหน้าบาน เมื่อถูกอุ้มลงมายืนบนพื้น
“วันนี้ฝากลูกชิ้นน้อยไว้กับข้าเถิด ให้เจ้าอุ้มมันไปตลอดงานเช่นนี้เห็นจะมิสะดวก…”
เฟิ่งฉู่เกอแย้มยิ้มด้วยความพึงพอใจในความละเอียดรอบคอบของเด็กน้อย
“เช่นนั้นคงต้องรบกวนฝากภาระใหญ่ไว้ที่อาเฉินเสียแล้ว”
เป็นเช่นนั้นจริง หากให้นางอุ้มลูกชิ้นน้อยร่อนไปมาทั้งงานย่อมไม่สะดวกอย่างแน่นอน
ยิ่งกว่านั้นอาจทำให้นางกลายเป็นที่จับตามองของผู้คน
หญิงสาวหันมากำชับเจ้าขนฟู
“ลูกชิ้นน้อย วันนี้เจ้าต้องทำตัวเป็นเด็กดีนะ”
เจ้าตัวกลมส่งเสียงโอดครวญ
“~”
แทนคำตอบ
เป็นเด็กดีกับผีน่ะสิ ! !
มันพยายามยามดิ้นรนออกจากอ้อมแขนมรณะของอาเฉิน ทว่าอีกฝ่ายกลับยิ่งรัดแน่นแทบคอหลุด…
ลูกชิ้นน้อยรับรู้ได้ถึงฝ่ามือเพชรฆาตที่แฝงความเหี้ยมเกรียม มันใช้แรงกำลังอย่างเต็มที่ เพื่อผลักดันตนเองให้พ้นอุ้งมือมารผู้ร้ายกาจ
“เมี้ยว...”
ลูกชิ้นน้อยส่งเสียงคร่ำครวญอีกครา…ทว่าในหูกลับแว่วเสียงมารน้อย
“ลูกชิ้นน้อย เจ้าไม่ชอบอาเฉินกระนั้นหรือ ? เหตุใดเจ้าจึงดูลำบากใจถึงเพียงนี้ ? หากผู้อื่นเห็นเข้าอาจเข้าใจได้ว่าอาเฉินกำลังรังแกเจ้า อาเฉินออกจะเอ็นดูเจ้า เจ้าทำเช่นนี้อาเฉินจะเสียใจรู้หรือไม่…”
อาเฉินก้มหน้าทำท่าสลดน่าเห็นใจอย่างสุดซึ้ง นัยน์ตากลมโตคล้ายแวววาวด้วยประกายน้ำ
ฝ่าเท้าของเฟิ่งฉู่เกอหยุดกึก นางหันขวับกลับมาหาผู้กำลังพร่ำบ่นในทันที
ภาพที่เห็น สถานการณ์ยามนี้ ใช่สิ่งที่อยู่ในวิสัยความสามารถควบคุมของเด็กน้อยเสียเมื่อไร
หญิงสาวคลี่ยิ้ม…
เจ้าตัวปุย...ไยทำตัวมากเรื่อง ?
นางหันมาหาอาเฉินผู้ยืนหน้าสลดสุดรันทด ก่อนจะย้ายสายตาเข้มมาหาลูกชิ้นน้อยในมือของอาเฉิน
“ลูกชิ้นน้อย อย่าสร้างเรื่องวุ่นวายเข้าใจหรือไม่ หาไม่ คืนนี้เจอดีแน่…”
เจ้าลูกชิ้นทำจมูกฟุดฟิดคล้ายยอมจำนนต่อความอยุติธรรมที่ตนได้รับอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง มันจำต้องนอนขดตัวสั่นอยู่ในวงแขนมรณะของอาเฉินด้วยความจนใจ
*****
งานเลี้ยงเฉลิมฉลองในครานี้จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่
เมื่อองค์ฮ่องเต้ใช่เพียงเชิญตัวเฟิ่งฉู่เกอมาร่วมงานเท่านั้น เขายังเชิญสี่ตระกูลใหญ่แห่งเทียนฉีเข้ามาร่วมในงานเฉลิมฉลองครานี้เช่นกัน
ผู้คนจากสี่ตระกูลใหญ่ผู้ทรงอิทธิพลค่อย ๆ ทยอยผ่านประตูวังหลวงเข้ามาเรื่อย ๆ
ผู้คนที่เข้าร่วมงานต่างพากันสนทนาถึงเฟิ่งฉู่เกอผู้ได้รับพระราชทานงานเลี้ยงฉลองต้อนรับด้วยความใคร่รู้
***จบตอน ไยต้องมากเรื่อง***