“ได้ยินมาว่าคุณหนูตระกูลเฟิ่งผู้นี้หน้าบานราวซาลาเปา เอวหนาราวถังสุรา ปรื้อ… น่าเกลียดพิลึก”
เสียงวิพากษ์วิจารณ์เริ่มดังขึ้น
“ซ้ำคุณหนูผู้นี้ยังเป็นคนไร้ค่า กระทั่งย่างเข้าวัยสิบปีแล้ว พลังวัตรสักนิดก็ยังมิปรากฏ นางคือความอัปยศแห่งวงศ์ตระกูลโดยแท้ นี่อย่างไรเล่า เฟิ่งเฉาหยางจึงเฉดหัวนางออกจากเรือนเฟิ่งนับแต่ยังเป็นเพียงเด็กน้อย”
“ไม่คิดเลยว่าหกปีให้หลัง ตระกูลเฟิ่งจะกลับกลายตกอยู่ในสภาพเยี่ยงนี้...”
“เห็นจะมีผู้คอยหนุนหลังเฟิ่งฉู่เกออยู่เป็นแน่ มิเช่นนั้นนางคงจะไม่เหิมเกริมมากมายถึงเพียงนี้...”
“ฮ่าฮ่าฮ่า… ข้าชักอยากเห็นโฉมหน้าของคุณหนูผู้นี้ขึ้นมาเสียแล้ว ได้ยินมาว่าในตระกูลเฟิ่งมีสาวงามผู้เลอโฉมสยบแผ่นฟ้าสะเทือนถึงสวรรค์ ทั้งขณะเดียวกันก็มีเฟิ่งฉู่เกอผู้นี้เป็นนางอัปลักษณ์ผู้สะเทือนขวัญสยบลมหายใจเช่นกัน”
*****
เพียงชั่วอึดใจ เสียงวิพากษ์วิจารณ์เยาะเย้ยถากถางพลันดังสะท้อนก้องจากปากสู่ปากอย่างไม่หยุดยั้ง
ผู้ได้รับเชิญเข้าร่วมงานเฉลิมฉลองในวังหลวงครานี้ต่างตั้งตาหมายรอชมรูปโฉมอันแสนอัปลักษณ์เป็นที่เลื่องลือขจรขจายไปทั่วแคว้นของเฟิ่งฉู่เกอ
เฟิ่งฉู่เกอเดินนำอาเฉิน และจื่อหลานเข้าสู่สถานที่จัดงานเฉลิมฉลอง ทันทีที่ฝ่าเท้าย่างกรายเฉียดใกล้ ทุกคนย่อมได้ยินบทสนทนาอันแสนระคายหูของเหล่าผู้รับเชิญในงาน
สีหน้าของจื่อหลานแปรเปลี่ยนไปทันที
นางก้าวเท้าฉับ ๆ ด้วยอาการฮึดฮัดขึ้นมาด้านหน้าอย่างรวดเร็ว ทว่ากลับถูกผู้เป็นนายขวางไว้
“คุณหนู พวกมันจะมากเกินไปแล้ว”
เฟิ่งฉู่เกอกวาดสายตามองไปทางกลุ่มชนชั้นสูงผู้นั่งเรียงราย ก่อนริมฝีปากแดงราวกลีบกุหลาบจะยกขึ้นพร้อมน้ำเสียงเย็นชา
“นิ่งไว้”
แนวสายตาของนางเคลื่อนมาหยุดอยู่ตรงที่นั่งที่ยังว่างอยู่
“พวกเราไปนั่งที่นั่น”
เพียงได้รับคำสั่ง จื่อหลานก็ค่อย ๆ สาวเท้าติดตามผู้เป็นนายไปยังตำแหน่งเป้าหมายอย่างไม่รอช้า…
ท่ามกลางกลุ่มผู้ไร้นัยน์ตา ทว่ายังมีผู้เฉียบคมปะปน คนผู้นั้นส่งเสียงอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ
“ไอหย่า แม่นางผู้นี้คือผู้ใดกัน ?”
เพียงได้ยินเสียงร้องลั่น ผู้คนทั้งหลายในที่นั้นต่างเปลี่ยนทิศทางหันมายังซุ้มทางเข้างานอย่างพร้อมเพรียง
อิสตรีผู้บอบบางอรชรในอาภรณ์สีขาวสะอาดตากำลังเยื้องย่างกรายเข้ามาหาพวกเขาอย่างแช่มช้อย
ตลอดทั่วเรือนกายสาวน้อยผู้นั้นถูกห่อหุ้มด้วยเนื้อผ้าสีขาวนุ่มตา เรือนผมเกล้ายกสูงอย่างเรียบง่าย
ดวงหน้าน้อย ๆ ยิ่งงดงามดึงดูดใจให้สั่นไหว เมื่อได้รับการประทินโฉมด้วยเครื่องสำอางชั้นเลิศ
นัยน์ตาคู่นั้นกระจ่างใสล้ำลึก ประดุจคลื่นน้ำในทะเลสาบอันยากจะหยั่งถึง มันเปล่งประกายแวววาวล้อแสงตะวัน ระยิบระยับจับตายิ่งเสียกว่าอัญมณีอันล้ำค่า
ทุกก้าวย่างที่นางขยับเคลื่อนไหว เผยให้เห็นเรือนร่างอันอวบอิ่มงดงาม พร้อมด้วยส่วนเว้าส่วนโค้งที่พอเหมาะพอดีราวบุปผาที่เบ่งบาน
ทุกคู่สายตากลับมารวมลงบนความงดงามอย่างเหนือคำบรรยาย เสียงจ้อกแจ้กจอแจทั่วทั้งบริเวณพลันเงียบกริบลงทันที
แต่ละคนต่างเริ่มคิดใคร่ครวญทบทวนในหัวว่า แม่นางผู้งดงามน่าตื่นตะลึงผู้นี้คือผู้ใด ?
สวรรค์ นางคือคุณหนูตระกูลใดหรือนี่ ?
แว่นแคว้นของพวกเราปรากฏโฉมสะคราญผู้สยบแผ่นฟ้าเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร ?
เหตุใดพวกเขาจึงไม่เคยล่วงรู้เลยว่าในกลุ่มตระกูลใหญ่ผู้ทรงอิทธิพลจะปรากฏคุณหนูผู้งดงามเลอโฉมถึงเพียงนี้”
งานเฉลิมฉลองในครานี้ ทั้งสี่ตระกูลใหญ่ และสำนักใหญ่เลื่องชื่อต่างก็ได้รับเทียบเชิญให้เข้ามาร่วมสังสรร
สุ่ยอวี้เอ่อร์ และสุ่ยหวูจี้ต่างอยู่ร่วมในงานเฉลิมฉลองครานี้เช่นกัน
โชคดีที่รอยแผลบนใบหน้าที่สุ่ยอวี้เอ่อร์ถูกลูกชิ้นน้อยตะกุยข่วนนั้นได้รับการรักษาจากโอสถขั้นกลางซึ่งเป็นสมบัติประจำตระกูล กระทั่งยามนี้แทบไม่เห็นสภาพอันน่าสลดสังเวช
ทว่าหากมองเฉียดในระยะใกล้ ย่อมสามารถเห็นร่องรอยแผลข่วนเป็นทางจาง ๆ
สุ่ยอวี้เอ่อร์นั่งอมยิ้มนึกขัน ขณะเงี่ยหูฟังเสียงนินทากันอย่างออกรส
นางไม่เคยเห็นคุณหนูเฟิ่งผู้นี้อยู่ในสายตามานานแล้ว
เฟิ่งฉู่เกอ คุณหนูแห่งตระกูลเฟิ่งผู้นี้เป็นเพียงตัวตลกในกลุ่มสังคมชั้นสูง
ขณะกำลังนั่งนึกเยาะอยู่ในใจ เสียงแตกตื่นจากกลุ่มผู้ร่วมงานพลันดังขึ้น
นางเบนสายตาไปตามแนวเสียง…
เพียงได้เห็นสตรีในอาภรณ์สีขาว ใบหน้าของสุ่ยอวี้เอ่อร์พลันกระตุกกึก
เป็นนาง ! !
เป็นสตรีผู้ได้พบเจอกันในตลาดใต้ดินครานั้น ! !
*****
หน้าตาท่าทางของผู้อยู่ร่วมในงานเฉลิมฉลองเหลอหลาน่าขันสิ้นดี
กระทั่งจื่อหลานที่หัวเสียฉุนเฉียวจากฝีปากอันเผ็ดร้อนของคนกลุ่มนี้ยังกลับนึกขันอยู่ในที เมื่อได้เห็นสีหน้าท่าทางอันตื่นตะลึงตกอยู่ในภวังค์ อ้าปากค้างนัยน์ตาบานของแต่ละคนในที่นั้น
นางอยากจะดูน้ำหน้าพวกมันนักเชียวว่า หากเจ้าพวกคนหัวสูงกลุ่มนี้ได้ล่วงรู้ว่าสตรีผู้งดงามปานเทพธิดาผู้นี้ ก็คือเฟิ่งฉู่เกอยอดหญิงอัปลักษณ์แห่งตระกูลเฟิ่ง ท่านผู้สูงส่งทั้งหลายจะปั้นหน้ากันเช่นไร
***จบตอน เฟิ่งฉู่เกอในสายตาผู้คน***