สี่ตระกูลใหญ่ ถูกจัดให้นั่งแบ่งแยกเป็นสอง
ตระกูลหรง และตระกูลอวิ๋นนั่งร่วมกัน
ตระกูลเฟิ่ง และตระกูลสุ่ยอยู่อีกด้าน
ตำแหน่งที่ว่างอยู่นั้น ให้บังเอิญเป็นที่นั่งข้างสุ่ยอวี้เอ่อร์พอดี
สุ่ยอวี้เอ่อร์ผู้นั่งประจำที่อยู่ด้านข้างมีสีหน้าบึ้งบูด ยิ่งได้เห็นเฟิ่งฉู่เกอขยับเยื้องกรายใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ สีหน้าของนางก็ยิ่งหมองคล้ำกระอักกระอ่วน
“เป็นเจ้า !”
สุ่ยอวี้เอ่อร์กัดฟันเค้นเสียงผ่านลำคอออกมาทันทีที่อีกฝ่ายเข้ามาเจียนประชิดกาย…
ผู้ถูกทักทายปรายหางตามองพลางเลิกคิ้ว
“แม่นางสุ่ยได้พบกันอีกแล้ว…”
รอยยิ้มที่คลี่ยกแค่เพียงเล็กน้อย ช่างบาดสายตาสุ่ยอวี้เอ่อร์เป็นที่ยิ่ง
นี่หากมิใช่เพราะพวกนางกำลังเป็นที่ถูกจับตามองของทุกคู่สายตาแล้ว สุ่ยอวี้เอ่อร์คงได้กระโจนเข้าอาละวาดใส่เฟิ่งฉู่เกอให้รู้ดำรู้แดงกันเป็นแน่
“เจ้ามานั่งอันใดที่นี่ ? ใช่ที่ของเจ้ากระนั้นหรือ ?”
เสียงสุ่ยอวี้เอ่อร์เยาะหยัน เมื่อเห็นเฟิ่งฉู่เกอทำท่าจะลงนั่ง
อีกฝ่ายหาได้ตอบคำ ทว่ากลับหย่อนก้นลงนั่งในทันที
“อาเฉิน มานั่งนี่สิ”
เฟิ่งฉู่เกอเรียกอาเฉิน ขณะยกมือขึ้นตบที่รองนั่งข้างกายตน
เพียงเจ้าลูกชิ้นน้อยผู้ถูกอาเฉินข่มเหงมาตลอดทางได้ยินสุ้มเสียงกวนประสาทคุ้นหู มันก็ลุกขึ้นทำจมูกฟุดฟิดนัยน์ตาลุกวาวส่งเสียงร้องขู่
“เหมียว”
ครั้นสุ่ยอวี้เอ่อร์สังเกตเห็นเด็กน้อยอุ้มลูกแมวสีขาวเดินตามหลังเฟิ่งฉู่เกอมาติด ๆ นางก็รีบปิดปากเงียบในทันที
คุณหนูตระกูลสุ่ยยกมือขึ้นลูบใบหน้าของตน
แม้รอยแผลจะจางหาย ทว่าความทรงจำยังคงฝังแน่น
เพียงได้เห็นเจ้าแมวจอมแผลงฤทธิ์ ภาพเหตุการณ์ในวันก่อนพลันผุดขึ้นในหัวของนางทันที
แววตาของสุ่ยอวี้เอ่อร์เหี้ยมเกรียมขึ้นมาทันที ขณะลอบก่นด่าอยู่ในใจ : เจ้าหน้าขน รอก่อนเถิด ไม่ช้า ข้าจะต้องจับเจ้ามาถลกหนังทั้งเป็นให้จงได้ !
หากแต่ประกายตาแห่งความชั่วช้าของคุณหนูตระกูลสุ่ยผู้นี้หาได้เล็ดลอดสายตาอันเฉียบคมของสตรีผู้งดงามน่าตื่นตะลึงที่นั่งเคียงข้างไม่
เพียงครู่ สุ่ยอวี้เอ่อร์กลับต้องหรี่นัยน์ตาเพ่งมอง---
ตำแหน่งที่นั่งว่างอยู่นั้น คือที่นั่งซึ่งสำรองไว้ให้แก่เฟิ่งฉู่เกอ !
เมื่อการมาถึงของเฟิ่งฉู่เกอหญิงอัปลักษณ์สะท้านแผ่นดินปรากฏขึ้นเพียงเสี้ยววินาทีอย่างมิทันมีผู้ใดตั้งตัว ทุกคู่สายตาจึงเคลื่อนทิศเบี่ยงเบนมาในทันที เป็นไปได้หรือว่า…
ขณะที่ทุกผู้คนกำลังจมจ่อมอยู่กับความสับสนงงงวย เสียงร้องตะโกนจากด้านนอกพลันดังแทรกเปลี่ยนวิถีความสนใจของเหล่าผู้สูงส่ง
“เฟิ่งฉู่เกอ เจ้ากล้าดีอย่างไรจึงทำกับหว่านเอ่อร์เช่นนั้น ? !”
เพียงคำว่า ‘เฟิ่งฉู่เกอ’ ดังขึ้น สีหน้าของทุกคนพลันแปรเปลี่ยนไปได้อีก…
เฟิ่งฉู่เกอ…
สตรีผู้งดงามสยบแผ่นดินนางนี้ ก็คือเฟิ่งฉู่เกอกระนั้นหรือ ?
ไม่น่า...นี่มันเรื่องล้อเล่นใช่หรือไม่ ?
ทั่วหล้าต่างร่ำลือกันหนาหูว่าเฟิ่งฉู่เกอคือสาวน้อยอัปลักษณ์มิใช่หรือ ?
ทั้งเมื่อครู่ พวกเขายังตั้งวงปาถกความอัปลักษณ์ของเฟิ่งฉู่เกอผู้นี้กันอยู่ด้วยซ้ำ
หากทว่า รูปโฉมของสตรีผู้ปรากฏเบื้องหน้าพวกเขานี้ คือสตรีผู้งดงามเกินสรรหาถ้อยคำบรรยายมิใช่หรือ ?
เมื่อจื่อหลานผู้ยืนคุ้มกันเฟิ่งฉู่เกออยู่ด้านหลังเห็นสีหน้ากระอักกระอ่วนราวถูกบังคับกินอาจมของบรรดาผู้สูงส่งที่พากันนินทารูปโฉมของคุณหนูตนเช่นนั้นก็ยิ่งกระหยิ่มยิ้มย่องด้วยความลำพอง !
หากทว่าเฟิ่งฉู่เกอหาได้ใส่ใจปฏิกิริยาของผู้คนรอบข้างไม่ นางกำลังเพ่งความสนใจไปยังต้นเสียงที่ร้องตะโกนโหวกเหวกอยู่ด้านนอก
เหอเหลียนจินอวี่ ท่านอ๋องสามผู้อยู่ในชุดคลุมสีดำสนิทปรากฏกายขึ้นด้วยท่าทีเกรี้ยวกราด
ยามนี้ ใบหน้าหล่อเหลามีเพียงอายแห่งการเข่นฆ่าสังหาร
ผู้คนในตระกูลเฟิ่งถูกริบทรัพย์ขับออกจากเรือนกระทั่งไม่มีแม้ที่ซุกหัวนอน ทั้งหมดทั้งมวลล้วนเกิดแต่ฝีมือสตรีนางนี้ !
ยิ่งเมื่อหวนนึกถึงใบหน้าที่อาบไปด้วยหยาดน้ำตาของหว่านเอ่อร์ ยามเมื่อเขามอบที่พักพิงให้แก่นาง เหอเหลียนจินอวี่ก็ยิ่งชังน้ำหน้าเฟิ่งฉู่เกอขึ้นมาอีกหลายส่วน
ในสายตาของเขา เฟิ่งฉู่เกอผู้นี้คือนางอสรพิษ คือนางมารใจอำมหิต!
ยามนี้กระทั่งใบหน้าอันงดงามของหว่านเอ่อร์ผู้น่าเวทนาก็ถูกทำลาย กระทั่งไม่เหลือดี
ปรมาจารย์โอสถขั้นต้นในวังอ๋องรายงานว่าจำต้องได้ผงโอสถเกล็ดหิมะมาใช้ในการรักษาบาดแผลบนใบหน้าของเฟิ่งชิงหว่าน
หาไม่ เกรงว่ารอยแผลบนใบหน้าของเฟิ่งชิงหว่านจะมิอาจเยียวยาให้สมานสนิท
เฟิ่งฉู่เกอค่อย ๆ ช้อนดวงหน้างามขึ้นมองคู่สนทนา ครั้นเมื่อรำลึกได้ว่าบุรุษเบื้องหน้าคือผู้ใดนางจึงคลี่ยิ้มตอบคำด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“อ้า... ท่านคือท่านอ๋องสามมิใช่หรือ ?”
“เฟิ่งฉู่เกอ เจ้ามาทำบ้าอันใดที่นี่ ?”
เหอเหลียนจินอวี่โกรธจนตาลุกเป็นไฟ
“ท่านอ๋องผู้นี้ พวกเรามิได้เกี่ยวดองร่วมสัมพันธ์กัน ข้ากระทำสิ่งใด ไปเยือนที่ใด คงมิต้องคอยส่งรายงานท่านกระมัง ?”
เฟิ่งฉู่เกอลอยหน้าลอยตาตอบด้วยท่าทีเฉยชาราวอีกฝ่ายไร้ตัวตน
***จบตอน โฉมงามอสรพิษ***