“เปิ่นหวางขอเตือนเจ้าไว้ก่อน หากเจ้ากล้าแตะต้องแม้เพียงปลายผมของหว่านเอ่อร์ เปิ่นหวางจะไม่ละเว้นเจ้าอย่างแน่นอน !”
เหอเหลียนจินอวี่ขึ้นเสียงคำรามขู่
“ท่านอ๋องสามช่างมากมายอารมณ์ขันเสียจริง จะมีผู้ใดหน้าไหนแตะต้องเฟิ่งชิงหว่านของพระองค์ได้เล่า ?”
รอยยิ้มคมคายดั่งมีดอาบยาพิษคลี่ผ่านดวงหน้า
“เฟิ่งชิงหว่านได้รับการปกป้องคุ้มครองจากพระองค์มิใช่หรือเพคะ ? เช่นนั้นพระองค์จะทรงหวั่นวิตกไปไยว่าจะมีผู้ใดกล้าข่มเหงรังแกนาง…”
สีหน้าท่าทาง กระทั่งน้ำเสียงที่เฉยเมยเย็นชาประหนึ่งไม่เคยเห็นหัวผู้หนึ่งผู้ใดของเฟิ่งฉู่เกอ ยิ่งช่วยโหมกระพือความเกรี้ยวกราดของท่านอ๋องหนุ่มได้เป็นอย่างดี
เขาจนปัญญามิอาจเข้าใจได้ว่าด้วยเหตุใด ทุกครั้งที่ปะทะฝีปาก เขาจะต้องกลับกลายเป็นฝ่ายหน้าหงายไปเสียทุกครา
ยิ่งคิด เหอเหลียนจินอวี่ก็ยิ่งหดหู่ใจ…
“เสด็จพี่ เสด็จถึงแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ”
เสียงคนผู้หนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง
“เสด็จพี่ ไยสีพระพักตร์ไม่สู้ดีเลยพ่ะย่ะค่ะ ทรงมีเรื่องหนักพระทัย หรือมีผู้ใดทำให้ทรงขุ่นเคืองพระทัยพ่ะย่ะค่ะ ?”
เหอเหลียนจื่อเซวียน ท่านอ๋องห้าเพิ่งมาถึงจึงยังจับต้นชนปลายไม่ถูก
เหอเหลียนจินอวี่ใช้สายตาเชือดเฉือนเหี้ยมเกรียมส่งให้เฟิ่งฉู่เกอแทนคำตอบ
“เฟิ่งฉู่เกอ พบเจอกันคราก่อน เปิ่นหวางเคยเตือนเจ้าไว้แล้วมิใช่หรือว่าให้สำรวมมารยาทมากกว่านี้”
เมื่อมีผู้ช่วยออกหน้าติเตียน เหอเหลียนจินอวี่จึงสะบัดแขนเสื้อสาวเท้าตรงไปยังที่นั่งของตน ทิ้งให้เหอเหลียนจื่อเซวียนจัดการผู้ยากจะจัดการ
เฟิ่งฉู่เกอส่งสายตาเยาะหยันติดตามไล่หลังเหอเหลียนจินอวี่ผู้นั้นไป ก่อนจะช้อนสายตาขึ้นมองเหอเหลียนจื่อเซวียนผู้กำลังจ้องนางตาไม่กระพริบ…
“ท่านอ๋องห้า...ท่านจ้องข้าเอาเป็นเอาตายจนลูกตาแทบจะถลนออกมาแล้ว”
“เจ้า...เจ้าคือเฟิ่งฉู่เกอตัวจริงกระนั้นหรือ ?”
“ใช่สิ ท่านอ๋องจะประหลาดใจกระไรหนักหนา ?”
“อ้า...มิได้...มิได้….”
เหอเหลียนจื่อเซวียน
เหอเหลียนจื่อเซวียนส่ายหน้าเป็นระวิง ก่อนจะฉีกยิ้มกว้าง
“แม่นางเฟิ่งเป็นสตรีที่ลึกลับน่าอัศจรรย์จริง ๆ ”
“ผู้มืดบอดย่อมมิอาจประจักษ์เนื้อแท้ของสิ่งที่ปรากฏแม้เบื้องหน้า…”
เฟิ่งฉู่เกอเสริมคำพร้อมมุมปากที่ขยับยกขึ้นเล็กน้อย
เหอเหลียนจื่อเซวียนจุกเสียดคล้ายท้องผูกกระทันหันขึ้นมาทันที
ถูกแล้ว เขาเคยพบเห็นนางมาก่อนหน้า
กระทั่งได้พบเจอนางแล้ว เขากลับยังมีความคิดว่านางย่อมต้องเป็นหญิงอัปลักษณ์คนเดิม
เหอเหลียนจื่อเซวียนอารมณ์ดีขึ้นทันควัน
“ที่แท้ ลูกพี่ลูกน้องของข้าก็เป็นเทพธิดาจำแลงนี่เอง…”
ถูกแล้ว สมองของเขาต้องเลอะเลือนอย่างหนักแน่นอน จึงจมปลักกับความคิดในอาจมมาโดยตลอดว่าเฟิ่งฉู่เกอคือสุดยอดหญิงอัปลักษณ์ผู้น่าสยดสยองเป็นหนึ่งในใต้หล้า
ผู้คนทั่วหล้าต่างจดจำได้ดีว่าองค์หญิงเจี้ยนเต๋อ พระมารดาของเฟิ่งฉู่เกอนั้นคือสตรีผู้สยบผืนฟ้าแผ่นธรณีด้วยความงดงามอันเป็นหนึ่ง…
เมื่อนางคือบุตรีแห่งองค์หญิงเจี้ยนเต๋อ ไหนเลยจะเป็นรองผู้อื่นด้านรูปโฉมอันงดงาม
เหอเหลียนจื่อเซวียนยังคงยืนจ้องเฟิ่งฉู่เกอตาค้างอย่างไม่รู้ตัวเช่นเดิม
อาเฉินผู้นั่งข้างที่นั่งของเฟิ่งฉู่เกอจับสังเกตเห็นแววตาน่าระแวงของอีกฝ่ายขึ้นมาเสียแล้ว อายแห่งความเย็นยะเยียบแผ่กระจายผ่านนัยน์ตากลมโตคู่น้อยนั้นในทันที…
“เมียจ๋า ข้าอยากกินอันนั้น”
อาเฉินพยายามยัดเยียดตัวเข้าหาเฟิ่งฉู่เกอ ขณะมือหนึ่งชี้ไปที่ผลไม้บนโต๊ะ ส่วนอีกมือก็ตวัดไปมาให้มันขวางหูขวางตาเหอเหลียนจื่อเซวียนเสียอย่างนั้น
แม้สุ้มเสียงของเจ้าหนูจะง้องแง้ง ทว่ากลับเผยถึงอำนาจครอบครองทั้งไม่ยอมให้ผู้ใดปฏิเสธความต้องการ
เหอเหลียนจื่อเซวียนก้มลงมองตามจึงเพิ่งพบว่าที่นั่งข้างเฟิ่งฉู่เกอคือเด็กชายตัวน้อย
หากแต่เพียงเห็นเขากลับต้องใจสั่นขนลุก
เมื่อทั่วร่างของเด็กน้อยผู้นี้กลับคุกรุ่นไปด้วยอายสังหารอันแรงกล้า ! !
หากแต่เมื่อครู่…
เมียจ๋า ? เจ้าหนูผู้นี้เรียกเฟิ่งฉู่เกอว่าเมียจ๋ากระนั้นหรือ ?
เหอเหลียนจื่อเซวียนขมวดคิ้วมุ่น ครั้นเมื่อหันกลับไปมองอาเฉินอีกครา เขากลับต้องผงะกับสายตาเย็นชาขู่พิฆาต
ราวตกอยู่ในอุ้งมือมัจจุราช เส้นขนทุกเส้นบนร่างลุกขึ้นชูชันให้รู้สึกเสียววาบไปทั้งไขสันหลัง…
เหอเหลียนจื่อเซวียนตระหนักชัดแล้วว่า ยามนี้ตนกำลังถูกคุกคามอย่างแท้จริง
อาเฉินก้มหน้าที่แดงระเรื่อด้วยความขัดเขินเล็กน้อย ก่อนจะฉุดกระชากแขนของเฟิ่งฉู่เกอเข้ามาอิงแอบอ้าปากรอรับการป้อนองุ่นหวาน เฟิ่งฉู่เกอลงนั่งปอกองุ่นให้เด็กน้อยด้วยตนเอง
เขาทำให้นางตระหนักซึ้งเสมอว่าการปฏิเสธความต้องการของอาเฉินช่างเป็นเรื่องยากเย็นจนเกินไป
ภาพของหนึ่งดรุณีน้อย หนึ่งเด็กน้อยสร้างบรรยากาศอบอุ่นให้อบอวลไปทั่วอุทยานกว้าง ซึ่งถูกจัดตบแต่งอย่างงดงามเพื่องานเฉลิมฉลอง
***จบตอน ผู้ไร้นัยน์ตา***