เฟิ่งฉู่เกอและอาเฉินคล้ายตัดขาดตนเองจากโลกภายนอกอย่างไม่ไยดี
กระทั่งเมื่อเหอเหลียนจื่อเซวียนผละจากไปแล้ว อาเฉินจึงยืดกายตั้งตรงหันมาจ้องเฟิ่งฉู่เกอพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“แม่นาง เบื้องหน้าต่อไป ห้ามเจ้าแต่งกายงดงามเพียงนี้อีก”
เฟิ่งฉู่เกอผู้เพิ่งส่งผลไม้เข้าปากตนแทบสำลักเมื่อได้ยินเสียงประกาศิตหนักแน่นจากอีกฝ่าย
นางหันมายิ้มกว้างให้เขาคราหนึ่ง
“เห็นจะยากเสียแล้ว ขออภัยที่พี่สาวงดงามแต่กำเนิด”
อาเฉินเลิกคิ้วยกมือขึ้นกอดอก
“ไม่ว่าด้วยเหตุใด เจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้แต่งกายงดงามเบื้องหน้าผู้อื่นอีก”
ผู้รับฟังถึงกับอ้าปากค้าง
นางเพิ่งพบว่าความคิดของเด็กน้อยผู้นี้ช่างยากเกินหยั่งถึงอย่างแท้จริง
*****
ทุกคู่สายตาถูกดึงดูดให้หันมารวมตัวกันทั้งที่ตั้งใจและมิได้ตั้งใจ
แต่ละคนล้วนจ้องเฟิ่งฉู่เกอ กระทั่งนัยน์ตาแทบจะถลนด้วยความรู้สึกที่แตกต่าง
บ้างริษยา บ้างประหลาดใจ บ้างนึกดูแคลน
ท่ามกลางทุกคู่สายตาที่ประชุมรวมกันในที่นั้น มีสองคู่สายตาที่จับจ้องเฟิ่งฉู่เกอชนิดมิอาจคลาดสายตา…
หนึ่งคือสุ่ยอวี้เอ่อร์ผู้นั่งใกล้ ในหัวของนางยังคงประมวลความคิดที่ว่าสตรีผู้เคยพบเจอผู้นี้แท้จริงก็คือเฟิ่งฉู่เกอ…
อีกหนึ่งก็คือเฟิ่งเฉียนเสวี่ยผู้ออกเรือนตบแต่งเข้าสกุลอวิ๋น…
สุ่ยอวี้เอ่อร์ยังคงนั่งนิ่งอึ้งตกอยู่ในห้วงภวังค์อย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว…
ในหัวเริ่มประมวลรวบรวมเรื่องราวเกี่ยวกับสตรีผู้นั่งเคียงข้างที่นางเคยได้ยินได้ฟังผ่านปากของท่านอ๋องสามและท่านอ๋องห้า
เฟิ่งฉู่เกอ…
นางคือ...นางคือเฟิ่งฉู่เกอ…
สุ่ยอวี้เอ่อร์นั่งตาเบิกกว้าง กว้างแล้วยังกว้างได้อีก นัยน์ตาที่บานทะโล่แล้วยังบานทะโล่ได้อีก นางแทบไม่เชื่อหูกับสิ่งที่ตนได้รับฟังเมื่อครู่
ตามถ้อยคำร่ำลือทั่วเมือง เฟิ่งฉู่เกอผู้นี้คือสุดยอดหญิงอัปลักษณ์แห่งสหัสวรรษ ทั้งหลายปีที่ผ่านมา หญิงผู้นี้ยังตกเป็นขี้ปากชาวบ้านให้คนได้หัวเราะเยาะอย่างสนุกสนานทั่วบ้านทั่วเมือง
ทว่ายามนี้ สตรีผู้นี้กลับตะเกียกตะกายถีบตนขึ้นมา กระทั่งกลับกลายเป็นสตรีผู้งดงามน่าตื่นตะลึง หญิงสาวผู้ทำร้ายนางเมื่อหลายวันก่อน แท้จริงก็คือเฟิ่งฉู่เกอ ! ! !
นางจะยอมรับความจริงข้อนี้อย่างไรได้ ?
“แท้จริง เจ้าก็คือเฟิ่งฉู่เกอ…”
สุ่ยอวี้เอ่อร์พ่นเสียงแสดงความเป็นอริออกมาพร้อมนัยน์ตาที่เบิกกว้างแทบจะถลน
อีกฝ่ายหันมาสบตาคราหนึ่งก่อนผงกศีรษะรับ
“อืม~~ ก็ข้านี่ล่ะ”
“เฟิ่งฉู่เกอ...เจ้าแตกต่างจากข่าวลือที่ทุกคนร่ำลือกันอย่างสิ้นเชิง”
กล่าวไป สุ่ยอวี้เอ่อร์ก็กวาดตาผ่านไปยังจื่อหลานผู้ยืนพิทักษ์เฟิ่งฉู่เกออยู่ด้านหลัง
นางยังคงจำได้ดีว่าในตลาดมืดวันวาน หญิงรับใช้ผู้นี้คือผู้เข้ามาเกะกะขวางทาง ขณะนางกำลังจะลงมือโจมตีเฟิ่งฉู่เกอ
เพียงได้เห็น ในหัวสุ่ยอวี้เอ่อร์ก็ประมวลได้ในทันที ข่าวลือที่ว่าเฟิ่งฉู่เกอสยบตระกูลเฟิ่ง กระทั่งราบคาบพับเสื่อ เห็นทีจะด้วยอาศัยหญิงรับใช้ผู้นี้ ด้วยความสามารถของเฟิ่งฉู่เกอผู้นี้จะทำสิ่งไรได้
ยิ่งคิด สุ่ยอวี้เอ่อร์ก็ยิ่งนึกดูแคลน
ก็แค่เพียงได้พึ่งใบหน้าที่สวยสดสะคราญตาให้เชิดหน้าชูคอ ที่สุด เจ้าก็เป็นแค่เพียงอาจมที่น่ารังเกียจกองหนึ่งเท่านั้น !
“ภายใต้ไม้ใหญ่ ร่มเงาย่อมหนาทึบ แม่นางเฟิ่งคงจะมีผู้สนับสนุนที่ทรงอำนาจ ยามนี้จึงไม่ต้องนึกพะวงสิ่งใด แม้แท้จริงตัวเจ้าจะเป็นเพียงคนไร้ค่าผู้หนึ่งก็ตามที”
เฟิ่งฉู่เกอทำหูทวนลมไม่ใส่ใจถ้อยคำเชือดเฉือนของอีกฝ่าย แม้ผู้นั่งข้างจะผายลมเพ้อเจ้อเพียงไรล้วนหาได้เกี่ยวข้องอันใดกับนางไม่
หากแต่อุปนิสัยของจื่อหลานมักอารมณ์ร้อน ทั้งยังไม่เคยปล่อยผู้ใดหน้าไหนที่กล้าแหยมผู้เป็นนายให้หลุดรอดลอยนวลไปได้ ครั้นเมื่อเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของสุ่ยอวี้เอ่อร์ลอยมาเข้าหู นางก็ลมออกหูได้ทันควันเช่นกัน
“เมื่อครู่เจ้าว่ากระไรนะ ?”
เพียงถูกสายตาปลิดวิญญาณของจื่อหลานจ้องมอง สุ่ยอวี้เอ่อร์ก็รีบก้มหน้างุด ๆ ตัวสั่น
“แม่นางเฟิ่ง น้องสาวของข้ายังเยาว์วัย ยังมิรู้สิ่งใดควรเอ่ยสิ่งใดมิควรเอ่ย...ขอแม่นางเฟิ่งโปรดอย่าได้ถือสา”
สุ่ยหวูจี้ผู้นั่งจับสังเกตสถานการณ์มาโดยตลอดรีบออกตัวขอโทษขอโพยแทนน้องสาวในทันที
***จบตอน ภายใต้ไม้ใหญ่ ร่มเงาย่อมหนาทึบ***