“ฟู่---”
สุ่ยหวูจี้ยังไม่ทันกล่าวจบจื่อหลานกลับหัวเราะสวนขึ้นมา
“คุณหนูเยาว์วัยไร้เดียงสาอันใดกัน เท่าที่ข้ารู้นางแก่กว่าท่านเสียด้วยซ้ำ…”
เฟิ่งฉู่เกอเลิกคิ้วพลางหันมาส่งสายตาหยอกเย้าจื่อหลาน
“จื่อหลาน ที่นี่ใช่สถานที่ซึ่งเจ้าสามารถพูดจาตามใจชอบได้กระนั้นหรือ ? ไยเจ้าจึงเอ่ยอ้างถึงวัยของสตรีหน้าตาเฉยเช่นนั้น ? รู้จักสำรวมวาจาหน่อย หากอยู่ในสถานการณ์เยี่ยงนี้อีก เจ้าจะได้ไม่ทำให้ผู้ใดต้องขายหน้า เจ้านี่ก็ช่างเหลือเกิน มิรู้หรือว่าใครบางคนย่อมต้องอยากแสร้งตีหน้าซื่อทำตัวราวเด็กไร้เดียงสาอยู่เสมอ”
จื่อหลานก้มหน้ายิ้มกริ่มพลางตอบรับด้วยน้ำเสียงหนักแน่นจริงจัง
“จื่อหลานรู้ผิดแล้ว คราหน้าจื่อหลานจะระวังไม่กระทำผิดซ้ำอีกเจ้าค่ะ…”
สุ่ยหวูจี้ให้รู้สึกด้านชาไปทั้งหน้า
ส่วนสุ่ยอวี้เอ่อร์ก็โกรธเกรี้ยวกำหมัดแน่นทั้งสองฝ่ามือ นางอยากโต้กลับให้หนำใจ ทว่ากลับถูกสุ่ยหวูจี้คอยดึงรั้งไว้เสียก่อน
เช่นนั้นหญิงสาวจึงทำได้เพียงนั่งขบเขี้ยวเคี้ยวฟันถลึงตาจ้องเฟิ่งฉู่เกอด้วยความอัดอั้น กระทั่งปลายเล็บแทบจะจิกทิ่มลงในอุ้งมือของตน…
นางไม่อาจยอมรับ...ไม่อาจยอมให้สวะไร้ค่าผู้นี้มากดหัวดูหมิ่นนางอย่างแน่นอน !
ครั้นสิ้นเสียงเห่าหอนของสุ่ยอวี้เอ่อร์ บรรยากาศโดยรอบพลันเงียบสงบลงทันที
หากทว่าสันติสุขย่อมไม่อาจดำรงกับผู้ใดได้ยาวนาน สุ้มเสียงอันคุ้นหูจึงโพล่งขึ้นทำลายความเงียบสงบในที่นั้น
“น้องสี่ ท่านพ่อกับท่านแม่ล่วงเกินเจ้าในเรื่องใด น้องสี่จึงขับท่านทั้งสองออกจากเรือนเฟิ่งเช่นนี้ ?”
เสียงเล็กแหลมแฝงไว้ด้วยความเกรี้ยวกราด และคราบน้ำตาดังบาดแก้วหู
ครั้นเฟิ่งฉู่เกอเชิดหน้าเห็นผู้ปรากฏเบื้องหน้ากลับต้องขมวดคิ้ว
วันนี้ช่างครึกครื้นดีแท้ ! !
“แม้เมื่อหกเดือนที่แล้วท่านพ่อกับท่านแม่จะเคยขับไล่เจ้าออกจากเรือนเฟิ่ง ท่านพ่อก็เปลี่ยนใจนำตัวเจ้ากลับมาแล้วมิใช่หรือ ? กระทั่งเรือนสายนที เรือนที่งดงามที่สุดในตระกูลเฟิ่ง ท่านพ่อก็ยกให้เจ้า ท่านพ่อทำเพื่อเจ้าถึงเพียงนี้ ทว่าเจ้ากลับทดแทนคุณเช่นนี้กระนั้นหรือ ? พวกเราทั้งหมดคือญาติร่วมสายโลหิต เหตุใดเจ้าจึงแร้นแค้นน้ำใจเช่นนี้ ?”
น้ำเสียงอัดอั้นแบกรับความทุกข์โศกโศกาอาดูรก้องสะท้อนสะท้านกระทบความรู้สึกทุกผู้คนในที่นั้น
ผู้พร่ำรำพันความทุกข์เศร้าย่อมมิใช่ผู้ใดอื่น หากทว่าคือเฟิ่งเฉียนเสวี่ยผู้ออกเรือนไปกับตระกูลอวิ๋น
นับแต่แต่งเข้าตระกูลอวิ๋นสร้างเรื่องสยองขวัญทำคุณชายรองหวาดผวา กระทั่งหัวใจวายตายคาเรือนหอ เฟิ่งเฉียนเสวี่ยก็ได้รับยกย่องให้เป็นตัวกาลกิณีชั้นยอดแห่งตระกูลอวิ๋น
ตราบถึงทุกวันนี้ สิ่งที่นางต้องอดทนกล้ำกลืนแบกรับก็คือสายตาอันเย็นชาเชือดเฉือนจากผู้คนในเรือนอวิ๋น
ด้วยเหตุนี้ นางจึงทั้งเกลียด ทั้งเคียดแค้น ทั้งชิงชังเฟิ่งฉู่เกอ กระทั่งเข้ากระดูกดำ---
หากมิใช่เพราะเฟิ่งฉู่เกอ ไหนเลยนางจะพบชะตาชีวิตอันน่าสังเวชดังเช่นทุกวันนี้ ?
เช่นนั้น ทันทีที่ได้ข่าวว่าเฟิ่งฉู่เกอจะมาเข้าร่วมงานเฉลิมฉลองในวังหลวงวันนี้ แผนชั่วร้ายที่น่าเกลียดน่ากลัวพลันผุดขึ้นในหัวของเฟิ่งเฉียนเสวี่ยทันที…
เดิมที ด้วยฐานะที่มี นางย่อมไม่อาจเข้าร่วมงานเฉลิมฉลองในครานี้ ทว่าไหนเลยนางจะเลิกล้มความตั้งใจ เช่นนั้นเฟิ่งเฉียนเสวี่ยจึงเข้าไปขออนุญาตจากผู้นำตระกูลอวิ๋น
และเมื่อเฟิ่งฉู่เกอคือน้องสาวของเฟิ่งเฉียนเสวี่ย ทั้งงานเลี้ยงเฉลิมฉลองในครานี้ก็จัดขึ้นเพื่อต้อนรับการกลับมาของเฟิ่งฉู่เกอ เช่นนั้นท่านผู้นำตระกูลอวิ๋นจึงจำใจตกปากรับคำ
*****
เฟิ่งเฉียนเสวี่ยพร่ำเพ้อรำพันฟูมฟายกล่าวยกเรื่องราวสารพัดขึ้นแฉท่ามกลางที่ประชุมชน
ยามนี้ทุกคู่สายตาที่จับจ้องมองมายังเฟิ่งฉู่เกอ กลับกลายบ่งบอกความรู้สึกที่แตกต่างผิดแผกจากก่อนหน้า---
ชั่วร้าย
เฟิ่งฉู่เกอรับฟังเฟิ่งเฉียนเสวี่ยขุดคุ้ยเรื่องราวขึ้นโพนทะนาด้วยใบหน้าระรื่น
ไยนางจึงไม่เคยล่วงรู้มาก่อนว่าทักษะความสามารถในการพลิกลิ้นกลับดำเป็นขาว ขาวเป็นดำของเฟิ่งเฉียนเสวี่ยจะล้ำเลิศน่าประทับใจถึงเพียงนี้ !
ด้วยความซาบซึ้งในวาทะศิลป์อันยอดเยี่ยมนางจึงอนุญาตให้เฟิ่งเฉียนเสวี่ยวาดลวดลายแสดงความสามารถได้อย่างเต็มที่
เฟิ่งเฉียนเสวี่ยพ่นพูดไม่หยุดปาก กระทั่งเริ่มจะหมดแรงจึงยอมสงบคำลงได้ เมื่อนั้นเฟิ่งฉู่เกอจึงค่อย ๆ ช้อนดวงหน้าขึ้นกล่าวยอกย้อน
“พี่รอง ไม่พบเจอกันแค่เพียงไม่นาน ท่านแลดูผ่ายผอมไปมาก แม้นภายใต้อาภรณ์สีแดงเข้มเช่นนี้ก็ยังไม่อาจปกปิดใบหน้าที่หมองคล้ำของท่านได้...คุณชายรองแห่งตระกูลอวิ๋นเพิ่งสิ้นบุญ ท่านเองคงทุกข์เศร้ามิน้อย ทว่า…พี่รอง ยามนี้ท่านกำลังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์มิใช่หรือ ? เหตุใดยามนี้จึงแต่งกายสีสันสดใสแสบตาถึงเพียงนี้ ? นี่หากข้าเป็นผู้อื่นคงเข้าใจว่าพี่รองคือสตรีโสดผู้ยังมิได้ออกเรือนเป็นแน่”
***จบตอน ใจไม้ไส้ระกำ***