สองคิ้วของเฟิ่งฉู่เกอขยับเข้าหากันเล็กน้อย
“ทว่า ! ก็อีกนั่นล่ะ พี่รองกับคุณชายอวิ๋นสมรสกันก็เพียงในนาม แม้นหากพี่รองปรารถนาอยากออกเรือนอีกคราย่อมเป็นการสมควร จะอย่างไรเสีย พี่รองก็ยังอยู่ในวัยสาวสะพรั่งจะปล่อยทิ้งให้เหี่ยวเฉาร่วงโรยคาเรือนก็น่าเสียดายเกินไป”
ขณะกล่าวคำยอกย้อน เฟิ่งฉู่เกอยังจงใจลากหางเสียงให้ยาวไปถึงท้ายวัง
สิ้นสุดเสียงวิเคราะห์ ไม่เพียงสามารถทำให้เฟิ่งเฉียนเสวี่ยหน้าเสีย กระทั่งคนตระกูลอวิ๋นผู้นั่งห่างออกไปไม่ไกลยังมีสีหน้าไม่ต่างกัน
แม้คุณชายรองแห่งตระกูลอวิ๋นจะเป็นบุรุษเขลาเบาปัญญา ทว่าอย่างน้อย เขาก็เป็นแก้วตาดวงใจของนายท่านและอวิ๋นฮูหยิน
ครั้นได้ยินถ้อยคำค่อนขอดของเฟิ่งฉู่เกอ พวกเขาจึงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า ไยเฟิ่งเฉียนเสวี่ยจึงแต่งกายด้วยสีสันฉูดฉาดสดใส ในช่วงไว้ทุกข์ให้แก่สามีเยี่ยงนี้
ใบหน้าของคนตระกูลอวิ๋นยามนี้หม่นมัวอย่างเห็นได้ชัด
พฤติกรรมของเฟิ่งเฉียนเสวี่ยแสดงให้เห็นถึงการไร้ความเคารพในผู้ใหญ่สกุลอวิ๋น !
เฟิ่งเฉียนเสวี่ยไหวตัวทันจึงรีบเปลี่ยนเรื่องในทันที
“เฟิ่งฉู่เกอ เจ้าอย่าได้เฉไฉปั้นเรื่องเพ้อเจ้อไรสาระ !”
“พี่รอง ที่ข้ากล่าว ผิดที่ใด ?”
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นบุ้ยปากมองอีกฝ่ายด้วยท่าทีทุกข์ใจ
“ก็เมื่อข้าเห็นพี่รองสวมใส่อาภรณ์สีแดงแปร๊ดเช่นนี้ ข้าจึงเข้าใจว่าพี่รองมิอาจแบกรับความเดียวดายแต่เพียงลำพัง จึงต้องตระเตรียมแผนการงาบพี่เขยมาให้ฉู่เกอได้ชื่นใจอย่างไรเล่า…”
ผู้นั่งรายล้อมที่ได้ฟังต่างหลุดหัวเราะกันครืน
เฟิ่งเฉียนเสวี่ยออกเรือนไปกับคุณชายรองผู้ได้ชื่อว่า ‘บุรุษไร้สมอง’ ทว่ากลับทำให้อีกฝ่ายขวัญผวาตื่นกลัว กระทั่งหัวใจวายตายคาห้องหอ เรื่องนี้กลายเป็นที่โจษจันกล่าวขวัญกันอย่างครื้นเครงในวงน้ำชา ทั้งเป็นเรื่อบขบขันสร้างความบันเทิงเรียกน้ำย่อยบนโต๊ะอาหารได้เป็นอย่างดี
ทว่ายามนี้ เมื่อพวกเขาได้ฟังถ้อยคำเสียดสีเป็นเรื่องเป็นราวของเฟิ่งฉู่เกอ จะให้พวกเขากลั้นหัวเราะไหวได้เยี่ยงไร
เสียงหัวเราะที่ดังกึกก้อง ยิ่งทำให้เฟิ่งเฉียนเสวี่ยประสาทเสีย
ครั้งหนึ่งนางเคยเป็นจอมยุทธหญิงรุ่นเยาว์ยอดอัจฉริยะแห่งตระกูลเฟิ่ง นางเคยเป็นคุณหนูรองแห่งตระกูลเฟิ่งที่ยิ่งใหญ่ เป็นคุณหนูที่ผู้คนทั่วหล้าต่างพากันประคบประหงมเอาอกเอาใจราวไข่มุกในฝ่ามือ
ทว่าเพราะเฟิ่งฉู่เกอผู้นี้โดยแท้ ทุกวันนี้นางจึงตกต่ำถึงระดับนี้
ความเกรี้ยวกราดลุกโพลงภายในใจ กระทั่งที่สุดก็ระเบิดออก
“เจ้าสวะไร้ค่า เจ้ากล้าติเตียนข้ากระนั้นหรือ ! ข้าจะเลาะฟันเจ้าให้หมดปาก ! ข้าจะปลิดลมหายใจของเจ้าทิ้ง !”
แม้นางจะตกต่ำสักเพียงไร ทว่า นางคือเฟิ่งเฉียนเสวี่ย จอมยุทธขั้นสอง ปราณยอดยุทธ
เฟิ่งเฉียนเสวี่ยกระโจนขึ้นฟ้า ร่างสีแดงเพลิงพุ่งตรงลงมาหาเฟิ่งฉู่เกออย่างรวดเร็ว
เพียงเห็นอีกฝ่ายพุ่งเข้าโจมตีผู้เป็นนาย จื่อหลานผู้คอยพิทักษ์อยู่ด้านหลังก็กระโดดขึ้นขวางหน้าในทันที
เหล่าตระกูลใหญ่ทั้งหลายผู้ประชุมกันในที่นั้นต่างไม่คิดยื่นมือเข้าแซกแทรง เมื่อยามนี้พวกเขากำลังร่วมชมการแสดงฉากพิเศษอันน่าตื่นตา การขัดแทรกผู้แสดงย่อมมิใช่มารยาทอันสมควร
ขณะเรื่องราวกำลังชุลมุนวุ่นวายอยู่นั้น เสียงประกาศก้องพลันดังมาจากที่ไกล
“ฝ่าบาทเสด็จ”
เสียงประกาศนั้นสามารถสยบทุกความเคลื่อนไหวในงานเฉลิมฉลองครั้งใหญ่ได้อย่างราบคาบ
เฟิ่งเฉียนเสวี่ยหยุดชะงักกึก
แววตาแห่งความสำนึกผิดฉายวาบขึ้นคราหนึ่ง
นางวู่วามเกินไป…
บุ่มบ่ามกระทั่งเกือบทำเสียแผน
หญิงสาวพยายามกัดฟันฝืนกลั้นความเดือดดาลไว้ภายใน
“เฟิ่งฉู่เกอ รอก่อนเถิด ข้าไม่มีวันปล่อยเจ้าไปแน่ !”
สิ้นคำขู่ นางหันหลังเดินกลับไปยังที่นั่งของตน
องค์ฮ่องเต้แห่งเทียนฉีปรากฏกายในอาภรณ์อันสูงส่งสีเหลืองทอง เขาค่อย ๆ ก้าวเข้าสู่บริเวณงานด้วยท่าทีสง่างาม
โดยมีองค์ฮองเฮาติดตามมาด้านหลัง
เมื่อทั้งคู่ขึ้นประทับเหนือบัลลังก์ องค์ฮ่องเต้แห่งเทียนฉีจึงกวาดตามองบรรดาผู้ได้รับเชิญให้เข้าร่วมงาน
“ฮ่าฮ่าฮ่า หาได้ยากยิ่งที่สี่ตระกูลใหญ่จะมารวมตัวกันพร้อมหน้าเช่นนี้...ทว่าเมื่อครู่ เกิดเรื่องใดขึ้นกระนั้นหรือ ? เสียงเอะอะโวยวายดังไปถึงด้านนอก”
เพียงถูกถาม ทุกคนในที่นั้นต่างก็มีท่าทีกระอักกระอ่วน
เพียงครู่ เฟิ่งเฉียนเสวี่ยจึงค่อย ๆ ลุกขึ้น…
“ทูลฝ่าบาท เพียงเกิดเรื่องเข้าใจผิดเพคะ พวกเราพี่น้องมิได้พบเห็นหน้ากันมานานจึงหยอกล้อกันนิดหน่อยเพคะ”
“เจ้าก็คือ…”
องค์ฮ่องเต้ถอนสายตามาหาเฟิ่งเฉียนเสวี่ย
“หม่อมฉันคือคุณหนูรองแห่งตระกูลเฟิ่ง พี่สาวของเฟิ่งฉู่เกอเพคะ…”
เมื่องานเฉลิมฉลองในวันนี้เป็นเพียงละครโรงใหญ่ ชุดเสด็จลุงรับขวัญหลานสาวหัวแก้วหัวแหวน
เช่นนั้น เมื่ออีกฝ่ายอ้างนามเฟิ่งฉู่เกอ เขาจึงมิได้สืบสาวหาความ
บุรุษผู้ยิ่งใหญ่กวาดตามองฝูงชนผู้ได้รับเกียรติให้เข้ามาร่วมงานเลี้ยง กระทั่งไปหยุดอยู่ตรงที่นั่งซึ่งจัดเตรียมไว้ให้แก่ตระกูลเฟิ่ง…
***จบตอน พี่รองยังสาวสะพรั่ง***