px

เรื่อง : The Strongest System จบแล้ว!!!
บทที่ 330 : ลงมือในทันที!!


บทที่ 330 : ลงมือในทันที!!

กลิ่นอายน่าสะพรึงกลัวและรัศมีพลังมหาศาลที่เริ่มเล็ดรอดออกมาจากช่องว่างมิติที่ขอบฟ้า ทำให้ทุกผู้คนของนิกายเฉวียนเจวี้ยนตกอยู่ในความกังวล อันที่จริงทั้งหมดไม่ใช่แค่กังวลกลิ่นอายนี้อีกแล้ว แต่ทุกคนกำลังบังเกิดความหวาดกลัว!

มันเป็นความหวาดกลัวที่ยากจะอธิบาย

แต่สำหรับหลินฟ่านนั้น แม้กลิ่นอายนี้จะนับว่าทรงพลังและแข็งแกร่งอย่างมาก  แต่เขายังรู้สึกว่า ยังเป็นอะไรที่เขาสามารถจัดการมันได้ หลังจากที่เขามีแขนนิรันดร์แล้วเขายังต้องกลัวอะไร?

‘และถ้ามันบีบคั้นให้พี่ประมุขต้องลำบากแล้วล่ะก็ พี่ประมุขยังมีอาวุธลับอย่าง กระจู๋ผู้อมตะ นะเฟ้ย! ไม่ว่ามันจะแน่มาจากไหน ถ้าเจอสุดยอดท่าไม้ตาย แยมขาวขุ่นรดหน้า ล่ะก็มันต้องตาย!’

สิ่งเดียวที่ทำให้หลินฟ่านรู้สึกอึดอัดใจก็คือ เชวียนอวิ๋นเซียนที่กำลังยืนอยู่ข้างๆไม่ห่างนี่ล่ะ...เขาสัมผัสได้ถึงสายตาที่เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกของนางที่จับจ้องมายังเขาอย่างไม่ลดละ

"อะแฮ่ม แค่กๆ อีกไม่นานตรงนี้น่าจะมีการปะทะกันอย่างรุนแรง เจ้าหลบไปก่อนดีหรือไม่” หลินฟ่านกล่าวออกมา อันที่จริงแล้วคำที่เขาอยากจะกล่าวก็คือ : สายตาที่เจ้ามองมามันทำให้พี่ประมุขอึดอัดใจ  เจ้าช่วยถอยไปห่างๆ ก่อนจะได้ไหม?

แต่สำหรับเชวียนอวิ๋นเซียนแล้ว คำนี้ช่างมีความหมายนัก

"อื้อ ขอบคุณท่าน" นำเสียงของนางนุ่มนวลอ่อนโยน ซ้ำยังแผ่วเบาราวเสียงกระซิบ...

เชวียนอวิ๋นเซียนสัมผัสได้ถึงความห่วงใยที่มากมายจากประโยคนี้... เขากลัวว่าข้าจักได้รับอันตรายเช่นนั้นหรือ?

หลินฟ่านที่เห็นท่าทางของนาง ก็ทำได้เพียงลอบถอนหายใจ  ...ดูเหมือนเชวียนอวิ๋นเซียนจะเข้าใจผิดอีกแล้ว

นี่เป็นเรื่องที่ทำให้เขาปวดหัวไม่จบไม่สิ้นจริงๆ!

ในขณะที่คนอื่นๆ ต้องใช้กลยุทธ์และวิธีต่างๆมากมายนาๆนับประการเพื่อจีบสาว! แต่พี่ประมุขตอ...แสดงท่าทางพร้อมกล่าววาจาไม่กี่คำ ได้!

หลินฟ่านจับจ้องไปยังสุดขอบฟ้าที่ห่างไกล แม้ตอนนี้กลิ่นอายที่แผ่ซ่านออกมาตอนนี้จะรุนแรงมาก แต่ดูเหมือนว่า...กว่ามันจะมาถึง ยังต้องใช้เวลาอีกสักพัก  ดูเหมือนที่เขาบอกไปไม่ต้องรีบมันก็จะไม่รีบจริงๆซะแล้ว...

ตอนนี้เองหลินฟ่านก็กลับมาสนใจสิ่งที่เขามี เขาคิดในใจก่อนที่จะโยนร่าง ทั้ง 5 ที่พึ่งได้มาเมื่อครู่ ลงเตาหลอมกลั่นสวรรค์และโลก

....

'ติ๊ง!! ... ขอแสดงความยินดีการหลอมประสบความสำเร็จ'

'ติ๊ง!! ... ได้รับ 60 โซ่กระแสพลัง'

'ติ๊ง!! ... ได้รับ ดวงจิตเทียมทั้ง 5 : ทอง, ไม้ น้ำ, ไฟและ ดิน'

ตอนที่หลินฟ่านได้ยินเสียงแจ้งเตือนนี้เขาเองก็อดสงสัยไม่ได้ว่า ไอดวงจิตเทียมทั้ง 5 นี่มันอะไร?

'ดวงจิตเทียมทั้ง 5 : สร้างโดยการหลอมรวมดวงจิตเฉพาะต่างๆ ไม่ใช่ดวงจิตที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ จำเป็นต้องใช้ในการเรียนรู้ ‘5 ธาตุ’ '

‘โอ้! ดูเหมือนไอดวงจิตเทียมทั้ง 5 นี่ จะเป็นแค่ของที่สร้างขึ้นมาเฉยๆ ไม่ได้มีอะไรมากมาย’ หากเป็นธาตุดวงจิตที่เกิดขึ้นจากธรรมชาติแล้วล่ะก็ บางทีหลินฟ่านอาจจะไม่กังวลที่จะหลอมรวมมันเข้ากับร่างกายเขา

แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาไม่ควรรีบร้อนที่จะ ทดลอง ไอ 5 ธาตุอะไรนั่น

และตอนนี้หลินฟ่านเองก็มี โซ่กระแสพลังในการครอบครองถึง 75 สาย  แต่เขาก็ไม่รู้ว่าจะเอามันไปใช้ทำอะไรดี จะนำมาเสริมความแข็งแกร่งเข้ากับตัวเองก็ไม่ได้

ในตอนที่เขาได้รู้ว่า โลกจิตอสูรร้ายจะเริ่มบุกมาทำลายโลกเสวียนหวงภายใน 3 ปีต่อจากนี้  เขาก็คิดที่จะยกระดับเพิ่มความแข็งแกร่งของเขาให้เร็วที่สุด

ถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะมีแขนขวาของผู้อมตะ  แต่มันก็ยังนับได้ว่าเป็นความช่วยเหลือจากภายนอก  และยังบอกได้ยากว่า มันจะเพียงพอที่จะรับมือผู้ที่ควบคุมโลกจิตอสูรร้ายนั่นหรือไม่

ครืนนน!

ทันใดนั้นเอง พื้นที่ว่างพลันถูกฉีกกระชากแยกออก   รอยแยกมิติขนาดใหญ่อันน่าสะพรึงกลัวปรากฏขึ้นที่ขอบฟ้า พร้อมร่างๆหนึ่งที่มีกลิ่นอายน่าพรั่นพรึงกำลังเยื้องย่างออกมา

"ท่านต้องระวังให้มาก!" เชวียนอวิ๋นเซียนกล่าวออกมาด้วยใจกังวล

หลินฟ่านพยักหน้ารับอย่างเงียบๆ ก่อนที่จะมองไปยังช่องว่างขนาดใหญ่

มันเป็นประตูมิติที่ดูทรงพลังและน่ากลัวไม่ใช่น้อย

เขาสงสัยนักว่าคนที่มาจะแน่สักแค่ไหน

ภายในช่องว่างมิตินั้นมองไปยังเห็น ประกายสายฟ้าแลบลั่นน่ากลัว ราวกับว่ามันเป็นสิ่งเดียวของโลกอีกด้าน

สำหรับคนที่สามารถก่อให้เกิดปรากฏการณ์และผลกระทบเช่นนี้ได้ แน่นอนว่าต้องเป็นตัวตนระดับสวรรค์อมตะขั้นสูงสุด คำถามเพียงข้อเดียวก็คือ อีกฝ่ายมีโซ่กระแสพลังในครอบครองมากแค่ไหน!

แขนขวาของผู้อมตะนี้ หลินฟ่านเห็นแล้วว่ามันมีโซ่กระแสพลังอยู่จำนวน 100 สาย  ด้วยเหตุนี้หลินฟ่านจึงเข้าใจว่ามันน่ากลัวมากขนาดไหน

และกระจู๋ผู้อมตะนั่นก็ยังกล่าวได้ว่าแข็งแกร่งกว่าแขนนี่ซะอีก  หลินฟ่านเชื่อว่าอย่างน้อยๆมันต้องมีโซ่กระแสพลังอยู่ถึง 120 สาย!

และเพียงแค่มอง คงไม่มีใครที่สามารถบอกได้ว่ากระจู๋ผู้อมตะจะแข็งแกร่งมากมายขนาดนั้น แต่อย่างว่าล่ะคนเราไม่อาจตัดสินเนื้อหาของหนังสือได้จากหน้าปก ...เพราะโลกใบนี้มีสิ่งที่เรียกว่า ไม่ตรงปก อยู่มากมายนัก!

ประมุขหยางบรรลุระดับสวรรค์อมตะขั้นสูงสุดมาแล้วนับร้อยๆปี แต่เขายังสามารถควบรวมโซ่กระแสพลังได้เพียงแค่ 10 กว่าสายเท่านั้น

และพอคิดว่านี่ขนาดแขนขวาผู้อมตะ ยังเป็นเพียงชิ้นส่วนจากร่างกายร่างหนึ่ง ทำให้หลินฟ่านไม่กล้าจินตนาการเลยว่า หากร่างกายทั้งหมดกลับมาหลอมรวมกลับคืนมาอีกครั้ง  มันจะมีความน่าสะพรึงกลัวถึงขีดขั้นไหน

ดังนั้นถึงแม้ว่าหลินฟ่านจะได้รับแขนขวาของผู้อมตะมาแล้ว เขาก็ยังไม่คิดว่าตัวเองอยู่ยงคงกระพันไร้ผู้ต้าน  เขารู้ดีว่าเรื่องราวหลังจากนี้ที่เขาต้องเผชิญต้องไม่ง่ายดายอย่างที่คิดเป็นแน่

และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น! ใครจะไปรู้ว่าพลังอำนาจนอกภายที่เขามีเหล่านี้ วันไหนมันจะหายไป หรือกระทั่งย้อนกลับมาทำร้ายเขา  แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม หลินฟ่านก็ทำได้เพียงระวังและตั้งใจให้มากเข้าไว้เท่านั้น

 

ทันใดนั้นร่างเงาหนึ่งก็ปรากฏออกมาหน้าช่องว่าง ที่เต็มไปด้วยสายฟ้าแลบลั่นและเสียงดังกึกก้อง

ร่างเงานั้นลอยตัวอยู่อย่างสงบ ด้วยชุดคลุมทำให้ไม่อาจมองเห็นใบหน้าอีกฝ่ายได้ อันที่จริงแล้วไม่อาจบอกได้ด้วยซ้ำว่าร่างนั้นมีเพศอะไร

ครืนนนน!

ทันใดนั้นเองกลิ่นอายที่ทรงพลังอำนาจสะกดข่มก็แผ่ซ่านออกมาจากเงาร่างนั้น กลิ่นอายที่แผ่ซ่านออกมาเหนือท้องฟ้าในทันทีทันใดนี้ ก่อให้เกิดพลังอัดกระแทกที่รุนแรงราวกับพายุ พุ่งมาทางหลินฟ่านและนิกายเฉวียนเจวี้ยน

เมื่อมองไปยังพลังงานมหาศาลที่ระเบิดออกและบังเกิดเป็นคลื่นกระแทกอันน่าหวาดหวั่น สีหน้าของคนนิกายเฉวียนเจวี้ยนซีดลงโดยพลัน เพราะพวกนางไม่อาจต้านทานพลังมหาศาลเช่นนี้ ถึงแม้มันจะเป็นเพียงคลื่นพลังก็ตาม

ราวกับกลิ่นอายแห่งความตายกำลังโอบล้อมไปทั่วร่างของผู้คนของนิกายเฉวียนเจวี้ยน ทั้งหมดมีเพียงคำถามเดียว นี่พวกนางกำลังจักตายเช่นนี้หรือ?

"เฮ่อ อย่าได้ทำอะไรไร้สาระหน่า แน่จริงมีอะไรก็มาเจอกับข้านี่มา " หลินฟ่านตะโกนออกมาก่อนที่จะกำมัดและชกออกไปหนึ่งหมัด  ทว่าหนึ่งหมัดนั้นมีพลังอย่างไม่น่าเชื่อ! คลื่นพลังจากหมัดพุ่งไปปะทะคลื่นพลังน่าพรั่นพรึงที่กำลังพุ่งมาจนสลายหายไป เหลือเพียงสายลมแรงๆเท่านั้น!!

เมื่อเห็นว่าคลื่นพลังของตนถูกหลินฟ่านใช้เพียงหมัดเดียวซัดทำลายหายไป ดูเหมือนเงาร่างนั้นจะสั่นไหวเล็กน้อย  แต่อาการสั่นไหวนั้นก็หายไปอย่างรวดเร็วเกินกว่าจะมีใครรู้ว่ามันเกิดขึ้น

"เจ้าเองก็แข็งแกร่งมิเบา แต่นับว่าโง่เขลานัก ที่เจ้ากล้าฆ่าพวกเขาต่อหน้าข้า"ทันใดนั้นช่องว่างมิติพลันเปิดออกเหนือนิกายเฉวียนเจวี้ยน เงาร่างนั่นเดินทางผ่านช่องว่างที่ว่าจนมาปรากฏตัวในพริบตา

แม้จะได้ยินเสียงของอีกฝ่ายแล้วแต่ก็ยังฟังไม่ออกว่าเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงกันแน่ น้ำเสียงออกไปทางกลางๆ  ทว่าดวงตาที่จับจ้องมาจากภายใต้ผ้าคลุมนั่นดูเหมือนจะคมกล้าไม่น้อย

เมื่อมองไปยังร่างของหลินฟ่านที่สามารถใช้เพียงหมัดเดียวก็ทำลายคลื่นพลังมหาศาลน่าพรั่นพรึงลงได้ ภายในใจของทุกคนนิกายเฉวียนเจวี้ยนพลันเต้นระรัวราวกับจะกระดอนออกจากอก  ตอนนี้ทุกคนทำได้เพียงฝากความหวังไว้ที่หลินฟ่านแล้ว

"ท่านพ่อของข้าจะฆ่าใครก็เป็นเรื่องของท่าน ไม่ใช่ธุระกงการอันใดที่เจ้าจักมาสอด!" ทันใดนั้นเองคนที่เคารพและชื่นชมหลินฟ่านมากที่สุดในที่นี้ ก็โพล่งคำกล่าวดุร้ายออกมาอย่างไม่สนใดๆทั้งสิ้น

"หลิ่งฟง เงียบ!" สีหน้าของเชวียนอวิ๋นเซียนแปรเปลี่ยนในทันใด นางรีบพุ่งไปลากหลิวหลิ่งฟงออกมาทันที

ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ใครจะกล่าววาจาล้อเล่นออกมาได้  ทันใดนั้นร่างที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าก็ระเบิดรัศมีพลังออกมาอีกครั้ง กลิ่นอายนี้ช่างมีอำนาจสะกดข่มทุกผู้คนให้ศิโรราบ รู้สึกราวกับตัวไร้ค่าดั่งมดปลวก

"ฮึ่ม" ด้วยการสบถคำเพียงสั้นๆทว่าคลื่นเสียงที่เปล่งออกมาครานี้ ไม่ต่างอะไรไปจากโซนิคบูม  มันฉีกกระชากอากาศที่ว่างเปล่าพุ่งไปรวดเร็วราวกับจะฆ่าหลิวหลิ่งฟงให้ตกตาย

ใบหน้าของเขวียนอวิ๋นเซียนซีดเผือดไร้สีเลือดในทันใด

แต่ทันใดนั้นเอง หลินฟ่านพลันยกมือขึ้นมาสะบัดเบาๆ ทำลายคลื่นโซนิคบูมน่ากลัวนั่น จนสลายหายไป

"อย่าให้มันมากเกินไปนัก  เดี๋ยวเจ้าจะตายไม่รู้ตัว" หลินฟ่านกล่าวออกมาด้วยความรังเกียจ  ไอคนที่เอะอะก็คิดฆ่าฟันผู้อื่นนี่เขาเกลียดที่สุด พวกบ้าอำนาจไร้เหตุผล!

“แน่นอนว่าว่าเจ้าคิดอยากจะทำอะไรเจ้าก็มีสิทธิ์ทำได้...แต่ต่อหน้าข้าประมุข เรื่องเหลวไหลแบบนี้ หากคิดจะทำก็ต้องถามข้าประมุขก่อน”

เงาร่างนั้นไม่ใส่ใจคำกล่าวของหลินฟ่าน มันเพียงหันไปทางประมุขนิกายเฉวียนเจวี้ยนพร้อมกล่าวคำออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบๆ  “กระบี่ขนาดใหญ่นี่ เป็นข้าทิ้งมันเอาไว้เอง  ยามนี้ข้าคิดเอามันกลับไป แล้วเจ้ายังจักมีปัญหาอันใด”

ทุกคนของนิกายเฉวียนเจวี้ยนนั้นต่างสงสัยว่าคนๆนี้เป็นใคร  แต่เมื่อได้ยินคำกล่าวของคนลึกลับตรงหน้า ทั้งหมดอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง หันหน้ามองกันด้วยความเหลือเชื่อ

"เจ้าเป็นใครกันแน่?" ประมุขเฉวียนยังล่าวถามออกมาด้วยน้ำเสียงยากจะเชื่อ

นางเป็นประมุขของนิกายเฉวียนเจวี้ยน แน่นอนความลับเบื้องหลังของนิกายเฉวียนเจวี้ยนนางเองก็ย่อมรู้

"ข้าเป็นใครมิได้สำคัญ   สำคัญที่ว่าเจ้ามีปัญหาอันใดกับคำที่ข้ากล่าว?" น้ำเสียงของร่างลึกลับเริ่มแข็งขึ้นเรื่อยๆ ระดับพลังงานเองก็ดูเหมือนจะเพิ่มพูนสูงขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน

สีหน้าประมุขเฉวียนเริ่มเปลี่ยนเป็นซีดเซียว นางผงะถอยหลังไปอย่างหวาดกลัว ตอนนี้นางไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร  ในที่สุดนางก็มองไปยังร่างลึกลับที่ลอยอยู่บนฟ้า "ท่านมีหลักฐานยืนยันตัวตน ว่ากระบี่นี้เป็นของท่านหรือไม่"

ทันใดนั้นคนลึกลับบนฟ้าก็โยนของสิ่งหนึ่งลงมาสู่มือของประมุขเฉวียน  "เจ้ารู้จักตราประทับนี่หรือไม่"

เมื่อได้รับตราประทับมา สีหน้าของประมุขเฉวียนเริ่มแปรเปลี่ยนในทันใด "นี่ ... นี่มัน ... !"

แน่นอนว่านางย่อมรู้! มันถูกบันทึกไว้ในบันทึกลับที่จะส่งต่อกันสำหรับประมุขของนิกายเท่านั้น  ย้อนกลับไปในครั้งอดีตยามที่บรรพชนกำลังหาสถานที่ก่อตั้งนิกาย ท่านก็ได้พบพานกับเจ้าของกระบี่นี่  อย่างไรก็ตามเจ้าของกระบี่นั่นก็อนุญาตให้นิกายเฉวียนเจวี้ยนตั้งรกรากที่นี่ เพราะเห็นว่ามีเรื่องสำคัญต้องไปกระทำเป็นเวลานานแสนนาน

แต่ในขณะที่เจ้าของกระบี่กำลังจะจากไป ก็ได้โยนตราประทับหนึ่งให้แก่บรรพชนผู้ก่อตั้งเอาไว้ แล้วบอกว่ายามที่พานพบตราประทับนี้อีกครา ยามนั้นกระบี่นี้จักหวนกลับคืนสู่มือเจ้าของ

แต่นางไม่คาดคิดเลยว่ามันจะเป็นตอนนี้

เมื่อหลินฟ่านเห็นสีหน้าตะลึงและอับจนหนทางของประมุขเฉวียน เขาก็รับรู้ได้ทันทีว่า ท่าทางเรื่องที่คนลึกลับในชุดคลุมนั่นพูดจะเป็นเรื่องจริงมากกว่าหลอก  แต่สำหรับหลินฟ่านแล้วต่อให้มันเป็นความจริง ทว่าความจริงก็อาจจะถูกบิดเบือนได้  หากใครสักคนมัวแต่ตรงแด่วรู้จักแต่สีขาวไม่ก็ดำไม่รู้จักสีเทา ชีวิตไม่น่าสงสารแย่หรือ?

"เอาล่ะเลิกพูดเรื่องเหลวไหลได้แล้ว เป็นกระบี่ของเจ้าแล้วจะยังไง  ตอนนี้ข้าเองก็อยากได้กระบี่นี้ขึ้นมาซะแล้ว เจ้ามีปัญหาอะไรล่ะ?" หลินฟ่านเพียงมองไปยังคนบนฟ้าแล้วกล่าวท้าทายออกมา

"เจ้ากล้าดียังไง…!" เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายบังเกิดโทสะไม่น้อย

"ฮึ่ม! โลกใบนี้เข้มแข็งอยู่อ่อนแอตกตาย  มีเพียงผู้ที่เข้มแข็งเท่านั้นที่คงอยู่ได้ ตอนนี้ข้าประมุขบอกว่า ข้าอยากได้กระบี่นี่ ข้าประมุขก็ต้องได้! มันเป็นของเจ้าแล้วยังไง ก็ข้าจะเอา! " ทันใดนั้นทั่วทั้งร่างของหลินฟ่านก็แผ่ซ่านกลิ่นอายทรงพลังมหาศาลออกมาเช่นกัน  เอาสิ! เขาเองก็ดื้อเป็นเหมือนกันนะ!!

บุตรชาย มั้ง??  อย่างหลิวหลิ่งฟงเองก็ตั้งอกตั้งใจชมดูหลินฟ่านสำแดงความหยิ่งยโสแกร่งกร้าว ด้วยสองตาเป็นประกาย บิดามันผู้นี้ยอดเยี่ยมยิ่งใหญ่นัก!!

"ฮึ่ม ... !" คนลึกลับแค่นเสียงออกมาอีกครั้งๆ

"โอ๊ย จะฮึ่มๆ อะไรนักหนาวะ คิดว่าฮึ่มเป็นคนเดียวรึไง?  ข้าประมุขก็ทำได้เช่นกัน !!”

“ ฮึม! ฮึ้มมม ... ฮึ๊มมม!  ฮึ่มมม!!”  หลินฟ่านพูดจบ ก็ฮึ่มๆ สวนไปบ้าง แถมจัดไปเป็นชุด  ตอนนี้ใครต้องกลัวใครกันแน่? หากอีกฝ่ายไม่พอใจ ก็เข้ามาได้เลย!!

"เจ้า…!" กลิ่นอายของคนลึกลับแผ่ซ่านออกมาอย่างไม่หยุดยั้ง รัศมีพลังเองก็เปล่งออกมามหาศาล ผ้าคลุมถึงกับโบกกระพือ ในที่สุดมันก็หลุดออกไป เผยให้เห็นโฉมหน้าที่ปิดซ่อนเอาไว้

ในตอนนั้นเองหลินฟ่านที่กำลังมีอารมณ์สนุกสนาน ก็กลับกลายเป็นเงียบงัน แววตาของเขาแปรเปลี่ยนต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง

ราชินีสวรรค์ ...!!

หลินฟ่านไม่อาจละสายตาออกจากใบหน้านี้ได้  มันเป็นใบหน้าที่ต่อให้เขาต้องตายก็จะไม่มีวันลืม!!

มันเป็น หนึ่ง ในคนที่ร่วมมือในการทำลายล้างนิกายปีศาจศักดิ์สิทธิ์!  ราชินีสวรรค์ที่หลินฟ่านเคยกัดไปที่คอของอีกฝ่ายจนเนื้อหลุดมาเป็นคำ

เป็นนางไม่ผิดแน่!

ไม่มีใครสังเกตเห็นถึงเพลิงโทสะจากก้นบึ้งของหัวใจ ที่กำลังลุกโชนในแววตาของหลินฟ่าน

กลิ่นอายของร่างที่ลอยบนฟ้าเริ่มสงบลง  "ข้าไม่ต้องการมีเรื่องราวอะไรกับพวกเจ้า สิ่งที่ข้าต้องการมีเพียงกระบี่เล่มนี้ ... "

และทันใดนั้นทุกคนก็ต้องตกตะลึงกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น

“อีสารเลวลูกสำส่อน! ราชินีสวรรค์!! ข้าจะฉีกร่างสวะโสโครกของเจ้าให้เป็นชิ้นๆ!!”

หลินฟ่านพุ่งทะยานด้วยความเกรี้ยวกราดขึ้นไปหาราชินีสวรรค์ด้วยจิตสังหารอันน่าสะพรึงกลัว ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีกลับกลาย กลิ่นอายทรงพลังอำนาจเจือไปด้วยความกระหายเลือดอำมหิตด่งอสูรเริ่มทะลักล้นออกมา

รีวิวผู้อ่าน