“เย่โม่ ฉันต้องการความช่วยเหลือของนาย” น้ำเสียงของฉูจิงเหวินเหมือนกับเธอกำลังอาย เย่โม่คิดกับตัวเองว่า ‘ฉันรู้อยู่แล้วว่ามันต้องเกิดเรื่องแบบนี้!’ อย่างไรก็ตามความประทับใจของเย่โม่ที่มีต่อฉูจิงเหวินก็ไม่ได้แย่นัก จากครั้งแรกที่เย่โม่เห็นฉูจิงเหวินหมดหวังในการรักษาแม่ของเธอ เขาก็รู้เลยว่าผู้หญิงแบบนี้ควรค่าแก่การช่วยเหลือ ยิ่งไปกว่านั้นคือ ถึงแม้ว่าครั้งล่าสุดที่เขาเข้าโรงพักไปก็เพราะเธอ เนื่องจากเธอทำไปด้วยความหวังดี
“บอกฉันมาเลย ถ้าหากฉันช่วยเธอได้ ถ้าไม่ใช้เวลานาน ฉันจะช่วยเธอสุดความสามารถแน่นอน เป็นเกียรติที่ได้ช่วยเหลือคุณผู้หญิงผู้งดงาม” เย่โม่ยิ้ม
“ที่จริงแล้ว เย่โม่เวลานายยิ้มเนี่ยนายก็ดูดีเลยทีเดียว นายแค่ต้องยิ้มมากกว่านี้นะ” จู่ๆ ฉูจิงเหวินก็พูดนอกเรื่องขึ้นมา
เย่โม่สับสนเล็กน้อยทันที แม้ว่าเขาจะเข้าใจผู้คนและวิธีปฏิบัติตัวกับสภาพแวดล้อมที่เขากลับมาเกิดใหม่ก็ตาม
นั่นคือกำแพงที่ปิดกั้นส่วนลึกในจิตใจของตัวเอง เมื่อครั้งล่าสุดที่เย่โม่เข้าโรงพัก กำแพงนั่นก็แข็งแรงขึ้น เขากลัวว่าความลับของเขาจะถูกเปิดเผยและเป็นเหตุให้เขาตกอยู่ในอันตราย เพราะเหตุนั้นทำให้เขาเย็นชาและเงียบขรึมเมื่อมีคนอื่นอยู่รอบๆ
เมื่อเย่โม่ได้ยินสิ่งที่ฉูจิงเหวินพูด เขารู้สึกว่าเขาหวาดระแวงเกินไป ตราบใดที่เขายังไม่เปิดเผยความลับที่แท้จริงของตัวเอง เขาก็ไม่จำเป็นต้องระมัดระวังให้มากมาย
“เย่โม่ ที่ฉันมาหานาย…..เอ่อ...” ฉูจิงเหวินหยุดพูดและจ้องมองการแสดงออกทางสีหน้าของเย่โม่อย่างละเอียด พอเห็นว่าใบหน้าของเขาปกติ เธอก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกและพูดต่อ “ฉันมีลูกพี่ลูกน้องอยู่ในมหาลัยหนิงไห่ ชื่อของเธอก็คือฉูเหม่ย ฉันได้ยินเรื่องของนายมาจากเธอ นายมีเรื่องเข้าใจผิดกับเธองั้นหรอ? บุคลิกของเธอก็ค่อนข้างหยิ่งอยู่ แต่ว่าเธอไม่ใช่คนไม่ดี ช่างมันเถอะ เลิกพูดถึงเธอแล้วกัน ฉันก็ไม่เข้าใจเธอเหมือนกัน เอ่ออ...อืม……” ฉูจิงเหวินพูดอ้ำอึ้งมาสักพัก แต่ก็ยังพูดไม่จบประโยคได้สักที
ที่จริงแล้ว ฉูเหม่ยบอกฉูจิงเหวินว่าเย่โม่ไม่รู้จักวีธีแก้ไขสถานการณ์ละเอียดอ่อน แต่ฉูจิงเหวินไม่ได้ตั้งใจฟังคำพูดของฉูหม่ยเลยสักนิด ฉูจิงเหวินนั้นเข้าใจมากกว่าคนอย่างฉูเหม่ยอีก เหตุผลที่เธอคุยเรื่องฉูเหม่ยก็คือ เธอไม่อยากให้เย่โม่ยอมแพ้ในการรักษาตัวเอง ฉูจิงเหวินอยากจะบอกเขาว่าเธอรู้จักคนที่แม้แต่คนตกอยู่ในสภาวะผักก็สามารถรักษาได้ ถ้าเธอได้เจอคนนั้น เมื่อนั้นปัญหาของเย่โม่ก็อาจจะรักษาได้ด้วย
อย่างไรก็ตาม เธอก็ไม่สามารพูดออกไปได้ ถึงแม้ว่าเธอจะค่อนข้างสนิทกับเย่โม่ก็ตาม ที่แห่งนี้เป็นสถานศึกษาซึ่งไม่ใช่สถานที่ที่พวกเขาจะพูดอะไรก็พูดได้ และพวกเขาก็เป็นแค่เพื่อน อีกทั้งมันเป็นคำพูดที่น่าอับอายที่ผู้หญิงสมควรจะพูดออกมางั้นหรอ?
เย่โม่เข้าใจดีว่าฉูจิงเหวินหมายถึงสิ่งใด เนื่องจากเธอเป็นลูกพี่ลูกน้องของฉูเหม่ย นั้นหมายความเธอรู้เกี่ยวกับเขาอยู่แล้ว มันเป็นเรื่องธรรมดาที่เธอจะไม่สามารถพูดคำพวกนี้ออกมาได้ เย่โม่โบกมือหยุดฉูจิงเหวินที่จะกำลังพูดต่อ “ที่จริงแล้ว ฉันก็ใช้ชีวิตค่อนข้างมีความสุขนะ และไม่มีอะไรสร้างปัญหาให้ฉันได้หรอก ไม่ต้องสนใจมัน ขอบคุณที่เธอเป็นห่วงฉันนะ เอาหล่ะ ตอนนี้เรามาพูดถึงเรื่องที่ฉันสามารถช่วยเธอได้กันดีกว่าเนอะ”
ฉูจิงเหวินละอายใจและคิดว่า ‘ถึงแม้สีหน้าของเย่โม่จะบอกว่าไม่สนใจสภาพของตัวเอง แต่เขาคิดจะไม่สนใจสภาพตัวเองที่เป็นอยู่แบ[นี้จริงๆหรอ?’ อย่างไรก็ตาม ฉูจิงเหวินก็ตัดสินใจลับๆ ว่าถ้าเธอเจอคนๆ นั้นที่ขายยันต์ให้เธอ เธอก็จะถาม เผื่อว่าเธอจะสามารถซื้อยันต์ที่สามารถรักษาเย่โม่ได้ แม้ว่าเธอจะรู้จักเย่โม่มาได้ไม่นาน แต่เธอก็รู้สึกสบายใจเมื่ออยู่กับเขา ไม่เพียงแต่เย่โม่จะหล่อ แต่บุคลิกเขาค่อนข้างเป็นกันเองและเปิดเผย เขาไม่ทำให้เธอรู้สึกอึดอัดเลยแม้แต่น้อย นี่แหละคือเหตุผลที่ทำให้เธอเต็มใจช่วยเย่โม่
“วันนี้เป็นวันเกิดของฉัน เนื่องจากเหตุผลของครอบครัว ทำให้ฉันไม่มีความสุขมานานหลายปีแล้ว ฉันเลยอยากจะเชิญนายมางานวันเกิดของฉันในคืนวันพรุ่งนี้ ฉันเลยสงสัยว่านายเต็มใจที่จะมาไหม?”
สิ่งที่เธอพูดจริงๆ แล้วหมายถึงเธอต้องการคู่เต้นที่เป็นผู้ชายในการเต้นรำ แต่เธอก็ไม่พบคนที่เหมาะสมเลย การชวนเย่โม่ที่แสนบริสุทธิ์มาช่วยเธอช่างเป็นอะไรที่สมบูรณ์แบบ
เย่โม่งุนงงทันที รวมทั้งรู้สึกอบอุ่นใจขึ้นมา ฉูจิงเหวินรู้ว่าเขาเป็นลูกหลานของตระกูลเย่ที่ถูกขับไล่ แต่ก็ยังชวนเขา
นี่แสดงให้เห็นว่า ในใจเธอนั้นคิดเช่นเดียวกับซือชุย ซึ่งทำกับเขาเหมือนเพื่อนตายโดยที่ไม่ได้หวังอะไรตอบแทน
“แน่นอนสิ ฉันยินดีที่จะไป ขอบคุณที่เชิญฉันไปงานวันเกิดของเธอนะ ฉันต้องไปแน่นอน” เย่โม่เห็นด้วยอย่างมีความสุข ฉูจิงเหวินให้บัตรเชิญกับเย่โม่แล้วพูดว่า “คืนนั้นฉันจะไม่มีเวลาโทรหานายนะ แต่งานมันเริ่มตอน 6 โมงเย็น ในส่วนของพื้นที่ส่วนตัวหยู่หวาน และสถานที่จัดงานอยู่ที่ด้านบน ฉันจำเป็นต้องไปรับเพื่อนที่สนามบินหล่ะนะ งั้นไว้เจอกันคืนพรุ่งนี้”
พอเห็นว่ารถ Mercedes ของฉูจิงเหวินหายวับไป เขาก็คิดว่าถ้าหากเขาต้องไปงานวันเกิดของเธอ เขาจำเป็นต้องเตรียมของขวัญสำหรับเธอ เขาไม่สามารถไปมือเปล่าได้ ถึงแม้ว่าเขาจะมีเงินส่วนหนึ่งอยู่กับตัว เย่โม่ก็ไม่ได้โง่ เขาก็จำเป็นต้องประหยัดเพื่อการบ่มเพาะ
ไปๆมาๆ เย่โม่ได้ซื้อหยกธรรมดามากจากตลาด และทำให้มันกลายเป็นสร้อยข้อมือหยกที่มีมนต์ขลัง ถึงมันจะเป็นสร้อยข้อมือ แต่มันก็มีเพียง
เม็ดหยก 6 อันขนาดเท่าเม็ดถั่วติดอยู่เท่านั้น มันถูกแกะสลักเรียงเป็นทรงกลมโดยใช้หยก แม้ว่ามันจะเป็นเครื่องป้องกันที่ไม่มีระดับ แต่มันก็สามรถป้องกันการโจมตีธรรมดาได้
อย่างไรก็ตาม มันมีเพียงลูกปัดหยก 6 ลูกติดอยู่บนสร้อยข้อมือ การป้องกันการโจมตีหนึ่งครั้ง จะเสียลูกปัดหยก 1 อัน
แม้ว่ามันจะดูไม่สวยงาม แต่ก็ใช้งานได้และเป็นประโยชน์ กับความสามารถในปัจจุบันของเย่โม่ เขาทำได้เพียงแค่ 6 ลูกเท่านั้น หวังว่าฉูจิงเหวินคงจะไม่จำเป็นต้องใช้ลูกปัดจากสร้อยขอมือนี้ในชีวิตของเธอนะ
สำหรับคนรวยอย่างฉูจิงเหวิน แค่หยกไม่กี่ร้อยเหรียญคงจะไม่มีอะไรสำคัญสำหรับเธอ สร้อยข้อมือที่เย่โม่จะเอาไปให้ดูเล็กและน่าเกียจ และเธอก็คงจะไม่ใส่มัน ยังไงซะไม่ว่าเธอจะใส่หรือไม่ เย่โม่จะไม่กล่าวถึงมนต์ขลังที่อยู่ในสิ่งประดิษฐ์ชิ้นนี้
เมื่อเขากลับถึงบ้าน ชูเหว่ยก็ยังไม่กลับมา เย่โม่นั้นเป็นห่วงดอกไม้และต้นหญ้าต้นเล็กของเขา นี่ก็เป็นเดือนแล้วตั้งแต่ที่เขาปลุกหญ้าหัวใจสีเงิน หลังจากดูแลพวกมันเสร็จ เย่โม่ก็มุ่งหน้าไปที่หยู่หวานด้วยความร่าเริง
……
สนามบินหนิงไห่จงเชี่ยว
ฉูจิงเหวินเห็นลีมู่เหม่ย แต่ตรงนั้นก็มีผู้หญิงที่งดงามอยู่ด้านข้างลีมู่เหม่ยที่ให้ความรู้สึกบางอย่าง ฉูจิงเหวินสงสัยว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใคร ถ้าไม่ใช่เพราะมีความกังวลบนใบหน้าของเธอเล็กน้อย เธออาจจะได้รับการปฏิบัติกับเธอราวกับเทพธิดาของจักรวาลก็เป็นได้ ฉูจิงเหวินไม่ใช่คนเดียวที่ถูกความงามของหนิงฉิงซูดึงดูด และเมื่อฉูจิงเหวินเดินตรงไป ผู้คนหลายคนต่างตั้งตามองผู้หญิงทั้งสองแล้วคิดว่า ‘ผู้หญิงสองคนนี่ช่างสวยจนน่าประหลาดใจจริงๆ!’ ในการเปรียบเทียบ ลีมู่เหม่ยที่คิดว่าสวยก็ได้เพียงแค่คำว่า ‘ธรรมดา’
“จิงเหวิน! สุขสันต์วันเกิดนะจ๊ะ ฉันเดินทางมาเพื่อฉลองกับเธอโดยเฉพาะเลยนะเนี้ย!” ลีมู่เหม่ยเห็นฉูจิงเหวินที่กำลังเดินตรงมาแต่ไกลก็เริ่มพูดอย่างร่าเริง
“มู่เหมย ฉันดีใจจริงๆ ที่เธอมาหนิงไห่ได้ แล้วนี่……” ทันทีที่ฉูจิงเหวินจับมือลีมู่เหม่ยและพูดไปเรื่อยเปื่อยอย่างตื่นเต้น
“จิงเหวิน สวัสดี ฉันหนิงฉิงซูเป็นลูกพี่ลูกน้องของมู่เหมย ฉันได้ยินเรื่องของเธอมาแล้ว และก็สุขสันต์วันเกิดนะ!” หนิงฉิงซูยิ้มและพูดออกมา
“ขอบคุณนะ! งั้นเธอก็คือฉิงซูสินะ เธอนี่สวยมากเลย ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเธอคือคนที่สวยที่สุดในปักกิ่ง แม้แต่ฉันก็ยังตะลึงเลย….” ฉูจิงเหวินไม่เคยคิดเลยว่าผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าคือหนิงฉิงซู แต่เมื่อเธอเห็นฉิงซูค่อนข้างมัวหมอง เธอก็นึกถึงเย่โม่และหยุดพูดทันที
ลีมู่เหม่ยเหมือนจะสังเกตเห็นบรรยากาศอันน่าอึดอัดและรีบพูด “จิงเหวิน ฉิงซู มีคนหลายคนกำลังจ้องพวกเราอยู่ ฉันเราจะควรรีบออกไปกันเถอะ”