“ทำไมเธอยังใส่ชุดนอนอยู่อีกล่ะ?” เย่โม่ถามอย่างแปลกใจ เพราะเขาสงสัยว่าพวกเขาจะต้องมาถ่ายในสภาพแบบนี้จริงๆงั้นหรอ ดูเหมือนว่าลีมู่เหม่ยจะเข้าใจสิ่งที่เย่โม่กำลังคิดอยู่เลยพูดออกมาว่า “ถ้าฉิงซูไม่กลัว แล้วนายจะกลัวอะไร? นายคิดว่านายจะได้เป็นตัวหลักในภาพงั้นหรอ?”
“มู่เหม่ย...” แม้ว่าเย่โม่ในสายตาของหนิงฉิงซูจะไม่ดีนัก แต่คำพูดห้วนๆของลีมู่เหม่ยมันทำให้เธอรู้สึกอัดอัด หลังจากการถ่ายเสร็จสิ้น ภาพถ่ายพวกนี้มันทำให้หนิงฉิงซูรู้สึกค่อนข้างจะขยะแขยงทีเดียว
เย่โม่ก็อยากจะปฏิเสธ แต่เมื่อมองเห็นอารมณ์ขุ่นมัวในดวงตาของหนิงฉิงซูอีกครั้งนึง มันทำให้เขานึกถึงอาจารย์ลู่หยิงของเขาทันที เขาก็เลยต้องเห็นด้วยจนจบ บางทีในส่วนลึกของจิตใจเขา เขาได้มองหนิงฉิงซูเป็นอาจารย์ลู่หยิงไปแล้ว หรือใช้เธอเป็นตัวแทนของลู่หยิง อีกอย่างคือถ้าหนิงฉิงซูไม่กลัว แล้วมีสิ่งใดกันที่เขาต้องกลัวด้วย? เรื่องพวกนี้ไม่ได้สำคัญอะไรกับเขาสักนิด เขาก็ไม่มีอะไรจะเสีย ถ้าจะช่วยสักหน่อยจะเป็นไรไป
เย่โม่สวมชุดนอน แล้วเอนตัวนอนลงบนเตียงพร้อมหนิงฉิงซู เย่โม่รู้สึกแปลกๆ ถึงกลิ่นกายสาวบริสุทธ์ มันทำให้เย่โม่ลุ่มหลงได้เลยทีเดียว เขาขยับเข้าไปใกล้หนิงฉิงซูโดยไม่รู้ตัวและดูเหมือนว่าเขาจะไม่ตระหนักถึงสถานการณ์ในตอนนี้ว่ามันเป็นเพียงแค่การแสดง
หนิงฉิงซูที่ยังใส่ชุดนอนอยู่ก็นอนลงข้างเย่โม่ เธอขมวดคิ้งราวกับว่าเธอรู้สึกขยะแขยง แต่ท่าทางก็กลับเป็นปกติอย่างรวดเร็ว เย่โม่ไม่ได้มีกล่นตัวแบบที่เธอไม่ชอบ แต่มีกลิ่นที่สดชื่นแทน กลิ่นกายหนุ่มบริสุทธิ์ของเย่โม่ทำให้เธอรู้สึกสับสน
ดูเหมือนเธอจะสังเกตเห็นว่าเย่โม่ขยับเข้ามาใกล้เธอมากขึ้นแต่จิตใต้สำนึกก็ทำให้เธอไม่ได้ขยับออกไป และเธอก็เอนตัวลงนอนกอดกับเย่โม่และหลับตาลงแทน ร่างกายของหนิงฉิงซูนุ่มมากๆ มันทำให้เย่โม่รู้สึกสุขใจจริงๆ หลังจากที่เขาโอบกอดหนิงฉิงซูได้ไม่นาน เขาก็ตระหนักถึงการกระทำของตัวเอง ในขณะที่มีลีมู่เหม่ยอยู่ข้างๆ นี่มันไม่ใช่เวลาที่เขาต้องมาหื่น พอคิดได้เย่โม่ก็เตือนตัวเองแล้วเขยิบออกไปด้านข้าง
อย่างไรก็ตาม ลีมู่เหม่ยก็พูดอย่างประหลาดใจว่า “เฮ้ย พวกเธอสองคน อย่าบอกฉันนะว่าพวกเธอจะทำกันจริงๆ นี่ฉันถ่ายรูปเสร็จแล้วนะ ลงมากันได้แล้ว ให้ตายสิจริงๆ เล้ย....”
หนิงฉิงซูตกใจและอายทันทันที เธอไม่รู้เลยว่าทำไมเธอถึงตกอยู่ในสภาพแบบนี้ มันทำให้เธอไม่กล้ามองหน้าเย่โม่กับลีมู่เหม่ย ซึ่งเธอก็รีบคว้าเสื้อผ้ามาสวมอย่างหงุดหงิด
เย่โม่ถูจมูกแล้วหัวเราะ และเขาก็เปลี่ยนเสื้อผ้าราวกับว่าไม่มีใครอยู่ข้างๆ จากนั้นเขาก็ออกจากห้องไป
“มู่เหมย ฉัน...” ดูเหมือนว่าหนิงฉิงซูไม่รู้จะอธิบายการกระทำยังไงดี เธอไม่รู้ว่าทำไมเย่โม่ถึงทำให้เธอเคลิบเคลิ้มขนาดนี้ แล้วยังไม่ผลักเขาออกไปอีกต่างหาก
“ไม่เป็นไรหรอก ฉันได้รูปถ่ายมาแล้ว ฉันจะส่งไปให้จิงเหวินก่อนแล้วค่อยเอาสำเนารูปถ่ายกลับไปที่ปักกิ่ง จากนี้เธอก็อาศัยอยู่ที่นี่ไปก่อนสัก 1-2 เดือน แล้วเรื่องมันก็จะแดงออกมาเอง ฉันขะมาเยี่ยมเธอบ่อยๆแล้วกัน” ลีมู่เหม่ยถอนหายใจแล้วพูดต่อว่า “โชคดีที่เย่โม่ไม่ได้ตั้งเงื่อนไขอะไรไว้ ไม่อย่างงั้น ฉันคิดว่ามันจะอันตรายเกินไป ถ้าจะให้พวกเธออยู่กันสองคน”
แน่นอนว่าหนิงฉิงซูเข้าใจว่าลีมู่เหม่ยต้องการจะสื่อถึงอะไร แต่เธอไม่รู้จะเถียงกลับไปยังไงดี เธอข้องใจว่าเย่โม่นั้นเป็นแค่ผู้ชายปกติๆ คนนึง ไม่อย่างนั้น แล้วเขาจะนอนกับชูเหว่ยได้ยังไง? ถึงแม้เธอจะคิดแบบนั้น แต่เธออายเกินไปที่จะพูดออกมาดังๆ
อย่างไรก็ตาม เธอก็รู้สึกถึงความรู้สึกตัวเองที่มี่ต่อเย่โม่ ไม่ว่าเย่โม่จะเป็นหมันรึเปล่า มู่เหม่ยก็คิดมากไป ตอนถ่ายรูปมันก็แค่เหตุบังเอิญ ในตอนนั้นเธอไม่รู้สึกอะไรเลย นอกจากความสุขที่ผุดขึ้นมาในใจเธอก็เท่านั้น
......
ในวันต่อมา ข่าวใหญ่ที่โด่งดังที่สุดไม่ใช่ข่าวการแต่งงานของเย่โม่กับหนิงฉิงซู แต่เป็นการค้นพบคู่รักโฮโมบนถนนสี่แยก ซึ่งทั้งสองคนได้ขับรถBMW แต่เมื่อตำรวจได้เข้าจับกุม พวกเขาก็ตระหนักว่าหนึ่งในนั้นคือลูกชายของนากยกเทศมนตรีและทั้งสองได้รับบาดเจ็บสาหัส เห็นได้ชัดว่า ต้องมีใครอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้แน่นอน แม้วว่าเจิงเหวินเชียวกับผู้ชายอีกคนจะถูกช่วยไว้ได้ทันเวลา แต่พวกเขาก็ได้พิการทางสมองเรียบร้อยแล้ว ซึ่งขณะนี้ก็ยังไขคดีกันไม่ได้
หลังจากลีมู่เหม่ยออกไป ชีวิตประจำวันของเย่โม่ก็ได้กลับสู่ในสิ่งที่ควรจะเป็น เขาพบว่าตราบใดที่เขาไม่ได้ซื้อของกินกลับบ้าน หนิงฉิงซูก็จะไม่กินอะไรเลย เขาไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่หนิงฉิงซูจะออกมา เธอแค่เอาบัตรเครดิตมาให้เขาเท่านั้น และตอนนี้เธอไม่มีเงินเหลืออยู่เลย หลังจากเกิดเรื่องขึ้นเมื่อครั้งที่แล้ว เธอก็อายที่จะโทรหาลีมู่เหม่ย อีกอย่างเย่โม่ก็รับเงิน 5 แสนเหรียญไปจากเธอ ถ้าเธอจะใช้เงินเย่โม่หาอะไรกิน มันก็ไม่ได้เยอะอะไรมากมาย ถ้าหากว่าเย่โม่อยู่คนเดียว เขาไม่สนว่าเขาจะกินอะไรและไม่กินก็ได้ ไม่ว่าจะยังไง หนิงฉิงซูก็อยู่ที่นี่แล้ว เพราะงั้นเขาต้องหาซื้ออะไรมาให้หนิงฉิงซูกินในแต่ละวัน อย่างไรก็ตามหลังจากนั้นไม่ก็วัน เขาก็พบว่าหนิงฉิงซูกินข้าวที่เขาซื้อมาน้อยมาก เขาก็ได้แต่ถอนหายใจ เขาเข้าใจว่าหนิงฉิงซูอาจจะมีนิสัยชอบไอเดทและกินอาหารแบบเหลือทิ้งเหลือขว้าง
ฉะนั้นเย่โม่ก็สามารซื้อได้แค่เพียงผักมาทำอาหารกินเอง อย่างไรก็ตาม เขามีอยู่ที่ตัวแค่ 50,000 เหรียญ หลังจากที่ซื้อสมุนไพรและของใช้ในชีวิตประจำวันเขาเหลือเงินอยู่แค่ 20,000 เหรียญเท่านั้น ในขณะนั้นเขาได้มองไปที่บัตรเครดิตของหนิงฉิงซูแล้วคิดว่า ‘เธออาศัยอยู่ในที่ของฉัน กินข้าวจากเงินของฉัน’ เพราะงั้นคงไม่เห็นจะเป็นไรถ้าหากเขาจะใช้เงินในบัตรสักหน่อย เขาไม่คิดจะเก็บเงินที่เหลืออันนี้จากข้อตกลงระหว่างพวกเขาอยู่แล้ว ฉะนั้นเขาก็เลยจำเป็นต้องเอามันไปใช้
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ทำให้เย่โม่รู้สึกผิดหวังก็คือเขาไม่สามรถถอนเงิน 100 เหรียญได้ แต่การถอนเงินขั้นต่ำจากบัตรหนิงฉิงซูคือ 5 แสนเหรียญ นี่มันไม่มีเหตุผลเลยสักนิด และเขาก็ทำได้เพียงไม่ใช้บัตรใบนี้อีกเป็นครั้งที่ 2 แม้ว่าหลายๆ อย่างจะไม่ได้เป็นอย่างที่หวัง แต่มันก็ยังมีสิ่งดีๆ และนั่นก็คือหนิงฉิงซูไม่ได้รังเกียจกับการทำอาหารของเย่โม่ จริงๆ แล้วเธอก็กินเงียบๆ ทุกครั้ง ซึ่งทำให้เย่โม่ได้พักผ่อนได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ถ้าหากหนิงฉิงซูอ่อนแอราวกับว่าจะโดนลมพัดปลิวได้ตลอดเวลา ยัยผู้หญิงคนนั้น ลีมู่เหม่ยอาจจะต้องโกรธมากแน่ๆ แม้ว่ามันก็ไม่เป็นไรหรอกถ้าเธอจะโกรธ เขาแค่กลัวว่ายัยผู้หญิงคนนี้จะไปอาละวาดที่มหาลัยหนิงไห่เท่านั้นเอง
อีกอย่าง เขาก็ไม่ได้มีความประทับใจต่อหนิงฉิงซูที่แย่นักแต่ก็พอใช้ได้ เพราะงั้นเขาก็ไม่อยากเห็นเธออดอาหารเหมือนกัน หนิงฉิงซูนี่แปลกมาก แม้ว่าเย่โม่จะซื้อผักมาบ้างนิดหน่อย แต่เมื่อเย่โม่เริ่มทำอาหาร เธอก็กินเยอะขึ้น บางทีเพราะเย่โม่อาจจะทำอาหารถูกปากเธอก็ได้ เพียงแค่ผ่านไปสัปดาห์เดียว เธอก็พบว่าตัวเธอเองอวบขึ้นกว่าก่อน
อีกด้านหนึ่ง สิ่งที่เย่โม่มีความสุขที่สุดก็คือหญ้าหัวใจสีเงินต้นนี้ในที่สุดก็เติบโตขึ้นแล้ว และเมล็ดของมันก็พร้อมที่จะเก็บเกี่ยว เย่โม่ได้เก็บเมล็ดหญ้าหัวใจสีเงินอย่างระมัดระวัง แล้วนำไปใส่ไว้ในขวดหยกที่เขาได้เตรียมพร้อมไว้ก่อนหน้านี้ เขาไม่อยากปลูกพวกมันไว้ในสวนอีก เพราะว่าเขาไม่ได้ตั้งใจจะอาศัยอยู่ที่นี่ถึง 2 ปี หลังจากที่เขาเคลียร์ทุกๆ อย่างเสร็จหมดแล้ว เขาก็จะออกไปจากเมืองหนิงไห่ทันที เพราะเขารู้สึกว่าเมืองหนิงไห่ไม่เหมาะแก่การที่เขาจะมาอาศัยอยู่
หลังจากเก็บเมล็ดทั้ง 39 เม็ด เย่โม่ก็เริ่มจัดเตรียมหญ้าหัวใจสีเงินให้พร้อม เพราะสภาพของหญ้าหัวใจสีเงินสมบูรณ็เติบโตเต็มที่ พร้อมจะเอาไปใช้เป็นวัตถุดิบหลักได้แล้ว เขาอาจจะบรรลุถึงขั้นรวบรวมลมปราณเลยก็ได้ ซึ่งต้องขอบคุณมันจริงๆ ด้วยเงิน 2 หมื่นเหรียญที่เหลืออยู่ เย่โม่ก็ใช้เงินมากกว่าหมื่นเหรียญซื้อส่วนผสมมาทำยาที่เขาสามารถหาได้ มาทำน้ำโอสถโดยใช้หญ้าหัวใจสีเงิน
หนิงฉิงซูขอให้เย่โม่ยืมหนังสือ 2-3 เล่มจากห้องสมุดมาให้ทุกครั้งที่ออกไปข้างนอก น้อยมากที่เธอจะออกจากบ้านและบ่อยครั้งเธอจะอ่านหนังสืออยู่ในสวน ตอนที่เย่โม่ดูแลดอกไม้อยู่ เธอก็จะเฝ้าดูอยู่เงียบๆ และเมื่อเย่โม่ทำยาสมุนไพร เธอก็ยังทำเพียงเฝ้าดูโดยไม่รบกวนแล้วไม่ถามอะไรสักนิด
ชูเหว่ยมักจะกลับบ้านมาตอนดึกๆ และออกไปทำงานตอนเช้าๆ นอกจากการทักทายพูดคุยกับเย่โม่ เธอก็ไม่ค่อยจะได้พบหนิงฉิงซูเท่าไหร่ ซึ่งทำให้เธอนึกถึงตอนที่เย่โม่เข้ามาอยู่ใหม่ๆ เย่โม่ก็เคยเป็นเหมือนกันตอนที่พึ่งจะพบเธอใหม่ๆ
เย่โม่เตรียมเทน้ำโอสถจากหม้อลงใส่ถ้วยจนเต็ม แล้วเตรียมจะดื่มมันในคืนนี้ตอนที่เขาบ่มเพาะ
“เย่โม่ ฉันอยากจะขอให้นายช่วยหน่อย” นอกจากยืมหนังสือ หนิงฉิงซูก็ไม่ค่อยจะได้พูดอะไรกับเย่โม่ และที่จริงแล้วนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เธอเริ่มพูดกับเย่โม่