หนิงฉิงซูถอนหายใจ แม้ว่า 500,000 เหรียญ สำหรับเธอมันจะไม่มาก แต่มันก็ยังค่อนข้างมากสำหรับเย่โม่อยู่ดี แต่เขาก็ยังไม่พอใจ ซึ่งทำให้ต้องมาหลอกลวงคนอื่นต่ออีก แล้วเขาก็ยังจะมีหน้าไปป่าวประกาศอีกหรอว่าตัวเองนั้นสามารถรักษาได้ทุกโรคนะ? ถ้าเขามีความสามารถขนาดนั้น โลกใบนี้คงไม่จำเป็นต้องมีโรงพยาบาลหรอก!
“เจ้าหน้าที่มาแล้ว!!” ใครบางคนก็ตะโกนขึ้น เจ้าของแผงลอยหลายๆ ร้านก็รีบเก็บของแล้วออกไปทันที หนิงฉิงซูมองไปที่เย่โม่และแล้วก็เป็นไปตามคาด เย่โม่ก็เริ่มเก็บของอย่างช่วยไม่ได้ ขาไม่ได้วิ่งหนีไปอย่างรีบร้อนเหมือนกับเจ้าของแผงลอยคนอื่น แต่เขาเลือกที่จะเก็บของอย่างช้าๆ แล้วเดินออกไปแทน
แม้ว่าเธอจะไม่ได้เห็นเย่โม่วิ่งหลบนี่หัวซุกหัวซุน แต่เธอก็ยังได้เห็นเย่โม่เดินคอตกออกไปอยู่ดี ซึ่งมันทำให้หนิงฉิงซูรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก “นี่คือโทษฐานที่นายหลอกลวงชาวบ้าน” เธอได้คิดขึ้นมา
ตอนที่หนิงฉิงซูกลับมาที่สวน เย่โม่ก็ได้กลับมาถึงแล้ว เขามองไปที่หนิงฉิงซูแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา แน่นอนว่าหนิงฉิงซูไม่อยากจะพูดกับเขาเหมือนกัน เธอกำลังครุ่นคิดอยู่ว่าก่อนที่เธอจะออกไปจากที่นี่เธอควรจะบอกกับชูเหว่ยก่อนว่าหมอนี่เค้าเป็นคนแบบไหนดีใหมนะ
เย่โม่ที่ขายของไม่ได้ แล้วยังจะถูกเจ้าหน้าที่ของเมืองไล่ออกมาอีก เย่โม่รู้สึกว่าวันนี้เป็นวันที่เลวร้ายที่สุดในเมืองหนิงไห่ ทำให้เขาอยากจะออกไปจากที่นี่ให้พ้นๆ สำหรับข้อตกลงกับหนิงฉิงซู เขาก็ช่วยเธอมามากพอแล้ว เขาจะไปบอกลาเธอในวันพรุ่งนี้แล้วออกไปจากที่นี่ เขาไม่จำเป็นต้องไปมหาลัยหนิงไห่อีกแล้ว แต่เขาก็ยังทิ้งจดหมายไว้ให้ซือชุย
เมื่อชูเหว่ยนอนหลับแล้ว เย่โม่ก็ได้เริ่มบ่มเพาะทันที
....
“นายน้อยเหวิ่น มีเวลาอีกครึ่งชั่วโมงก่อนเราจะถึงหนิงไห่ เราจะไปที่ไหนกันก่อนดีครับ?” รถBMW คันหนึ่งกำลังมุ่งหน้าสู่ถนนทางหลวงหนิงเฟิงด้วยความเร็วสูง ซึ่งขณะนี้คนขับรถคันนี้กำลังถามชายหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังนั่งอยู่บนเบาะหลัง ซึ่งอายุต่ำกว่า 30 ปี
ชายหนุ่มคนนี้มีใบหน้าเรียวยาวที่ดูซีดเซียว ดวงตาแหลมคมราวกับเหยี่ยว พร้อมกับทรงผมที่ปัดด้วยหวีอย่างสมบูรณ์แบบ เมื่อเขาได้ยินคำพูดของคนขับรถ ชายหนุ่มคนนี้ก็หยิบบุหรี่ขึ้นมา ในขณะที่ชายหุ่นล่ำบึกที่นั่งอยู่ด้านข้างรีบจุดบุหรี่ให้เขาทันที
“อาฟาน งานที่ฉันสั่งให้นายทำเสร็จหรือยัง?” ชายหนุ่มคนนี้ได้ดูดบุหรี่แล้วถามออกมา
“ครับผม นายน้อยเหวิ่น ผมลบร่องรอยของเราเรียบร้อยแล้วครับ”ชายหุ่นล่ำบึกก็ตอบออกมา
ชายหนุ่มคนนี้ ดูดบุหรี่อีกรอบ เขาเงียบไปสักพักแล้วพูดต่อ “เราเดินทางมาจากเหอเฟิง เพื่อทำให้ปู่ฉันกับคนตระกูลหนิงไม่สงสัย ถ้าหากเราจะดำเนินการตามแผนเดิม มันจะต้องมีอะไรก็เกิดขึ้นแน่ๆ เพราะฉะนั้นเราต้องลักพาตัวยัยนั่น เรื่องนี้แม่งทำให้ฉันคิดถึงยัยนั่นแทบทุกคืนเลย ฉันจะทำให้นังร่านนั่นต้องเสียใจ คอยดู” เมื่อเขาพูดออกมา ชายหนุ่มที่อยู่ในความสงบมาโดยตลอดก็ได้โกรธขึ้นมา ซึ่งทำให้เขากำหมัดแน่นจนเส้นเลือดดำปูดโปนออกมา และแล้วเขาก็ยกมือขึ้นปาบุหรี่มวนที่พึ่งจะสูบทิ้งไป
ชายที่มีรูปร่างกำยำที่ถูกเรียกว่าอาฟาน รีบหยิบมันขึ้นมาปาออกไปนอกกระจกรถ
“ไอ้คนเสื่อมสมรรถภาพทางเพศมันชื่อว่าเย่โม่สินะ?” ชายหนุ่มค่อยๆใจเย็นลง ตั้งแต่เขาเกิดมาไม่เคยใครกล้าปฏิเสธเขามาก่อน ซึ่งเขาก็คือซงซาวเหวิ่นนั่นเอง เขาไม่คิดมาก่อนว่าหนิงฉิงซูจะกล้าปฏิเสธเขา และไม่ใช่แค่นั้น เธอก็ยังไปแต่งงานกับคนอื่นแล้วยังอาศัยอยู่ด้วยกันอีก นี่มันเท่ากับหักหน้าเขาชัดๆ ถ้าหากซงซาวเหวิ่นทนเรื่องแบบนี้ไหว เขาก็คงไม่ใช่ซงซาวเหวิ่นอีกต่อไป ถ้าไม่ใช่เพราะว่าปู่เขาหยุดเขาไว้ เขาคงมาหนิงไห่ตั้งนานแล้ว ซึ่งทำให้คราวนี้เขาต้องเปลี่ยนทางไปเหอเฟิงก่อนจะวกกลับมาที่หนิงไห่
“ใช่แล้วครับนายน้อยเหวิ่น ไอ้คนเสื่อมสมรรถภาพทางเพศนั่นชื่อว่าเย่โม่ ที่จริงแล้วพวกเขาสองคนนั้นได้นอนด้วยกันแล้วด้วย ซึ่งผมเห็นภาพนั้นมาจากเว็บไซต์ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะรักกันมากทีเดียว” คนขับรถรีบพูดขึ้น
ซงซาวเหวิ่นที่พึ่งจะใจเย็นลง หน้าซีดและโกรธขึ้นมาอีกครั้ง เขาพูดอย่างเย็นชาไปว่า “ฉันจะทำให้ไอ้กระจอกเย่โม่ต้องทนทรมานดูฉันกับนังร่านนั่นเอากัน! แล้วก็.....เย่โม่ใช่มั้ย? เราจะไปจัดการมันก่อน! ที่แถวนั้นมีหุบเขาตรงถนนหยางหนิงใช่มั้ย? เราจะหักแขนมันแล้วค่อยเตะมันลงไป มันยังอ่อนเกินไปที่คิดจะมาแย่งผู้หญิงของฉัน!”
……
ตอนนี้ก็เป็นเวลาตี 1 แล้ว เย่โม่ได้เสร็จการรวบรวมลมปราณ 1 ขั้นใหญ่ ใน 12 ขั้นย่อยๆ ของการบ่มเพาะแล้ว เขาไม่ได้บ่มเพาะต่อเพราะเขาจะออกไปจากที่นี่ในวันพรุ่งนี้ เขาต้องการไปหาที่นอนพักสักหน่อย หินที่อยู่ข้างๆ กระถางดอกไม้มักจะเป็นที่นอนของเขา หลังจากบ่มเพาะแล้วเสมอ
เมื่อเย่โม่ได้นอนลง ตะขอเหล็กก็ได้โผล่เกาะลงบนกำแพง ในขณะที่มีคน 3 คน ปีนขึ้นมาแล้วกระโดดลงมาบนสวนหลังบ้านอย่างรวดเร็ว แม้ว่าซงซาวเหวิ่นจะมีใบหน้าที่ซีดเซียว แต่การปีนป่ายกำแพงก็ถือว่าว่องไวทีเดียว
“ที่นี่คือที่อยู่อาศัยของไอ้ขยะไร้ค่าเย่โม่นั้นสินะ? แล้วห้องไหนล่ะที่เป็นห้องที่มันกับนังร่านหนิงฉิงซูนอนด้วยกัน?” ซงซาวเหวิ่นผู้ที่มีใบหน้าซีดเซียวถามทันทีที่ลงสู่พื้น
“ที่นี้คือที่อยู่อาศัยของเย่โม่ แต่เขาไม่ใช่ขยะไร้ค่าหรอกนะ!” จู่ๆ ก็มีเสียงพูดขึ้น ซงซาวเหวิ่นที่ไม่สามรถตอบสนองในครึ่งประโยคแรกทันก็ได้หันหน้าไปพบกับเย่โม่ในช่วงประโยคที่สองทันที หลังจากนั้นสักพัก เขาก็ตกใจเป็นอย่างมากแล้วถามขึ้นว่า “แกเป็นใครว่ะ?!”
ในเวลาเดียวกัน ผู้คนที่อยู่ข้างหลังซงซาวเหวิ่นก็หันไปมองเย่โม่ พวกเขาทั้งหมดมองไปที่เย่โม่ด้วยความตกใจและตึงเครียด แล้วเริ่มระมัดระวัง “ฉันเองเย่โม่ นายต้องการตัวฉันหรือภรรยาของฉันกันล่ะ?” เย่โม่พูดออกไปอย่างใจเย็น
“แกคือเย่โม่งั้นหรอ? หวังชวน อาฟาน ไปหักขามันซะ ฉันอยากจะเห็นว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างมัน แตกต่างกับคนอื่นยังไงถึงทำให้มันนังร่านนั่นอยากจะนอนกับมั….” ก่อนที่ซงซาวเหวิ่นจะพูดจบ เขาก็พบว่าข้อมือของเขาถูกมือที่ราวกับเหล็กคีบจับไว้อย่างแน่น
“ถ้าแกอยากจะสู้กับฉัน มันก็ไม่เป็นไรหรอก แต่ว่าฉันจะขยี้ข้อมือแกก่อน ลองดูได้นะถ้าแกไม่เชื่อ” เย่โม่ไม่ได้อยากจะต่อสู้ในสถานการณ์ที่เขาต้องเฝ้าระวังให้ชูเหว่ยด้วย เขารู้อยู่แล้วว่าคนพวกนี้มาที่นี่ก็เพราะหนิงฉิงซู แต่ชูเหว่ยเองก็ยังไร้เดียงสาอยู่
ในขณะที่มองซงซาวเหวิ่น หวังชวนและอาฟานก็รู้ทันทีเลยว่านายน้อยของพวกเขาอยู่ในกำมือของเย่โม่แล้ว ฉะนั้นพวกเขาถึงหยุดการเคลื่อนไหวต่างๆ ทันที
“บอกมาไอ้สวะ แกชื่ออะไร?” แค่เย่โม่ใช้แรงนิดหน่อย ก็ทำให้ซงซาวเหวิ่นกรีดร้องออกมาได้แล้ว ซึ่งหน้าผากเขาเต็มไปเหงื่อที่ไหลซึมออกมา
“ฉันซงซาวเหวิ่นจากตระกูลซงในเมืองปักกิ่ง ฉันไม่ได้มาที่นี่เพราะแก ฉันมาที่นี่เพราะหนิงฉิงซู ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้เลยนะเว้ย ไม่งั้นตระกูลเย่ของแกจะ.....ไม่สิแก คอยดูเถอะฉันจะทำให้แกต้องทนทุกข์ทรมานและตายอย่างไร้ที่ฝัง!”เดิมทีซงซาวเหวิ่นต้องการจะขู่เย่โม่ว่าเขาจะทำให้ตระกูลเย่โม่ต้องเดือดร้อน แต่เขาก็ตระหนักได้ว่าตระกูลเย่นั้นยังเป็น 1 ใน 5 ตระกูลอันยิ่งใหญ่ในเมืองปักกิ่ง ซึ่งเหมือนกับตระกูลของเขา ตระกูลเย่นั้นไม่ได้เกรงกลัวตระกูลซงเลยสักนิด เพราะงั้นเขาก็เลยเปลี่ยนคำพูดกับเย่โม่ใหม่
“อ่องั้นหรอ ตระกูลของแกก็เป็นได้แค่กองขยะในสายตาฉันอยู่ดี ฉะนั้นฉันจะไปกลัวมันทำไม ตอนนี้หนิงฉิงซูก็เป็นเมียฉัน แล้วแกยังกล้าแบกหน้ามาหาเธออีกเนี้ยนะ? แกมันหูหนวกหรือตาบอดกันแน่ห่ะ?” ตอนนี้เย่โม่ได้ใช้แรงเพิ่ม ทำให้ซงซาวเหวิ่นต้องร้องไห้ออกมาอย่างเจ็บปวด
“เย่โม่ เรามาคุยกันดีกว่านะ ไม่เห็นจำเป็นต้องสู้กันเลย” หวังชวน พูดขึ้น ในขณะที่เห็นว่าสถานการณ์เริ่มเดินไปผิดทาง
“แกเป็นคนขับรถมาที่นี่สินะ?” เย่โม่ ได้ถามนอกเรื่องขึ้นมา
“ใช่แล้ว” หวังชวนก็ตอบไปอย่างช่วยไม่ได้ เพราะเขาไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆ เย่โม่ถึงได้ถามนอกเรื่อง เย่โม่พยักหน้าและพูดว่า “ในสถานการณ์แบบนี้ เราไปหารือกันข้างนอกดีกว่า” เย่โม่นั้นอยากจะออกจากเมืองนี้ไปพ้นๆ สักที เนื่องจากเจ้าพวกนี้ได้ขับรถมาที่นี่ มันก็ได้เวลาแล้วที่เขาจะออกจากที่นี่สักทีซึ่งมันก็ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทางอีกด้วย
พอเห็นว่าเย่โม่คิดที่จะเดินออกไปข้างนอก ลูกน้องของซงซาวเหวิ่นทั้งสองก็เต็มใจอย่างยิ่ง พวกเขาเคยคิดว่าพวกเขาไม่มีทางทำให้แผนการต้องล้มเหลวเด็ดขาด แต่พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเย่โม่จะแข็งแกร่งได้ขนาดนี้ นี่มันไม่เหมือนกับที่เขาหวังไว้เลยสักนิด และตอนนี้สถานการณ์ก็ไปไกลเกินกว่าที่พวกเขาจะควบคุมได้แล้ว
สิ่งที่ทำให้ซงซาวเหวิ่นกับอีกสองคนตกใจนั่นก็คือ การที่เย่โม่ปล่อยข้อมือซงซาวเหวิ่นแล้วจ้องมองไปที่ทั้ง 3 คน ซงซาวเหวิ่นและลูกน้องทั้งสองก็มองหน้ากัน แล้วพยักหน้า ซึ่งพวกเขาคิดว่าเย่โม่เป็นขยะไร้ค่าจริงๆ นี่ดูเหมือนว่าสมองเขาจะมีปัญหานะเนี่ย
ชายที่ถูกเรียกว่าอาฟาน ได้ปีนขึ้นไปบนกำแพงแล้วพุ่งตัวออกไปเป็นคนแรก จากนั้นเย่โม่ก็กระโดดตามไปพร้อมกับซงซาวเหวิ่นและหวังชวนตามไปด้วยติดๆ
ซงซาวเหวิ่นเตรียมจะบอกทั้งสองคนให้โจมตีเย่โม่ทันที ที่เขาข้ามกำแพงไป อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่มีโอกาสจะได้ลงมือแม้แต่น้อย เพราะว่าหตุการณ์ที่ปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตาพวกเขา ทำให้พวกเขาตะลึงจนขากรรไกรแทบหลุด