ซิงเฉิงชอบที่จะนั่งรถไฟมากกว่าเครื่องบิน แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขากลัวความสูงหรืออะไรแบบนั้น เหตุผลหลักๆ ก็คือทิวทัศน์ที่ได้เห็นระหว่างนั่งรถไฟตังหาก ชายหนุ่มคิดว่าวิวด้านนอกรถไฟนั่น มันสวยงามกว่ามาก ซึ่งในบางครั้งเอง การนั่งรถไฟก็ทำให้เขาได้เจอกับคนที่น่าสนใจในบางครั้งอีกด้วย
และเหตุผลที่สำคัญที่สุดคือ... เขาไม่ได้มีเงินมากขนาดนั้น !
ทันทีที่ขบวนเริ่มเดินทางไปได้หน่อยนึง ซิงเฉิงก็ตัดสินใจตีตั๋วหลับยาวตลอดการเดินทาง 17 ชั่วโมงของเขา
ภายในรถไฟตอนนี้ มีนักเรียนสองสามคนที่กำลังเดินทางกลับโรงเรียน หลังจากช่วงวันหยุดยาว พวกเขามาไกลจากทางตะวันตกเฉียงเหนือเพื่อมาเรียนที่เซี่ยงไฮ้ บางคนในนั้นกำลังคุยโม้เกี่ยวกับเซี่ยงไฮ้ที่พวกเขาได้รู้ ส่วนบางเด็กบางคนก็บอกว่าพวกเขาจะอยู่ที่เซี่ยงไฮ้ต่อหลังเรียนจบ
เรื่องราวพวกนี้ทำให้ซิงเฉิง ย้อนนึกถึงการเดินทางมาเรียนมหาวิทยาลัยของตัวเขาเองเมื่อก่อน ตอนนั้นชายหนุ่มก็นั่งรถไฟมาแบบเด็กพวกนี้นี่แหละ มันช่างเป็นช่วงเวลาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น ครั้งนั้นคือครั้งแรกที่เขาเดินทางไกลจากบ้าน และหลังจากนั้น ซิงเฉิงก็ได้ใช้ชีวิตเดินอยู่คนเดียวนานถึง 4 ปี
แล้วหลังจากนั้นล่ะ? ตัวเขาจะทำยังไงต่อไป?
จะว่าดีก็ดี จะว่าแย่ก็แย่
เมื่อชายหนุ่มตื่นขึ้นมา ซิงเฉิงก็พูดคุยกับพวกเด็ก ๆ และถามเด็ก ๆ พวกนั้นว่า พวกเขาสอบติดมหาวิทยาลัยไหนกัน ซึ่งเมื่อทราบแล้ว เขาก็พยักหน้าเออออ และบอกไปว่ามันเป็นวิทยาลัยที่ค่อนข้างดี เดาได้เลยว่าเจ้าเด็กพวกนี้น่าจะเป็นนักเรียนระดับต้น ๆ ของบ้านเกิดพวกเขาแน่เลย นี่ถือเป็นเรื่องที่ดีสำหรับพวกเขา เพราะสำหรับบ้านนอกแบบนั้นแล้ว นอกจากการเรียน ก็คงไม่มีอะไรแล้วละที่ให้จะทำชีวิตของพวกเขาดีขึ้น
ทุกวันนี้หลายคนมองว่าการเรียนไม่ได้มีค่าอะไร แต่ในสายตาของซิงเฉิง ‘การเรียน’ คือเครื่องมือที่ดีที่สุดสำหรับคนทั่วไป มันอาจจะไม่ได้ทำให้ใครรวย หรือบางทีก็อาจจะหางานดีๆ ไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่อย่างน้อย มันก็ทำให้มีทางเลือกที่ดีมากขึ้นในอนาคต ทำให้พัฒนาตัวเองได้
ถ้าคุณอ่านหนังสือล่ะก็ คนที่เดินผ่านไปผ่านมา พวกเขาก็จะคิดว่าคุณเป็นคนที่ฉลาด และมองเห็นคุณค่าของคุณมากขึ้น
ด้วยความที่ซิงเฉิงไม่ได้คนที่ชอบการพูดคุยมากนัก ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจกลับไปนั่งลงข้างหน้าต่าง ก่อนจะหันจ้องมองทิวทัศน์ที่ผ่านไปอย่างรวดเร็วอีกครั้ง
เมื่อมาถึงเซี่ยงไฮ้มันก็เย็นมากแล้ว ท้องฟ้าตอนนี้ถูกแทนที่ด้วยสีสันของยามเย็น
พอลงจากรถไฟ ซิงเฉิงก็สูดอากาศที่ตอนนี้ไม่ได้บริสุทธิ์เท่าไหร่แล้ว เขาไม่ได้มาที่นี่มากกว่า 3 ปี ความทรงจำต่าง ๆ ก็ค่อย ๆ พรั่งพรูออกมาช้า ๆ
เมื่อเป็นแบบนั้น ซิงเฉิงพลันสัมผัสได้ถึงความคุ้นเคย มันทำให้เขารู้สึกดีจนอดที่จะตะโกนออกมาไม่ได้ว่า
"เซี่ยงไฮ้ฉันกลับมาแล้ว!"
เสียงตะโกนของเขา ทำให้พวกคนที่ผ่านไปมา จ้องมองราวกับเห็นคนบ้ายังไงยังงั้น แต่ซิงเฉิง เขาเองก็เลือกที่จะไม่สนใจคนพวกนี้
ปู่เคยบอกว่าเซี่ยงไฮ้เป็นสถานที่แห่งความศิวิไลซ์ ซิงเฉิงคงไม่มีวันนึกออกเป็นแน่ถ้าเขาไม่ได้มาเห็นด้วยตาตัวเองแบบจริง ๆ
ชายหนุ่มขึ้นรถบัสจากสถานีรถไฟเพื่อไปยังทอมสันกอล์ฟวิลล่าที่ตั้งอยู่ในถนนหลงโต้ง เขตผู่ตง ตอนนี้ซิงเฉิงกำลังมุ่งหน้าไปหาเพื่อนเก่าของเขา
แม้ว่าเขาจะอยู่ที่เซี่ยงไฮ้มานานกว่า 4 ปีก็ตาม แต่ซิงเฉิงเองก็ไม่เคยเข้ามาในย่านนี้ซักเท่าไหร่ ถ้าไม่ใช่ปู่บอกเอาไว้ว่าเซี่ยงไฮ้คือดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ชายหนุ่มก็คงจะไม่กลับมาที่นี่อีก
ทอมสันกอล์ฟวิลล่าคืออสังหาริมทรัพย์ที่แพงที่สุดในเซี่ยงไฮ้ เพราะงั้นคนที่อยู่ในพื้นที่ผู่ตง ก็ย่อมเป็นคนระดับท็อป ๆ ของเซี่ยงไฮ้อย่างแน่นอน
และวันนี้ซิงเฉิงต้องการเจอคน ๆ หนึ่งที่นี่
ชายหนุ่มขึ้นรถจากด้านหน้าของทอมสันกอล์ฟวิลล่า หลังจากนั้นผู้รักษาความปลอดภัยก็จะเป็นคนพาเขาเข้าไป ระหว่างทางซิงเฉิงก็เลือกที่จะเงียบ เขาไม่ได้พูดอะไรเลยตลอดทาง
เมื่อผ่านไปไม่นาน ในที่สุดชายหนุ่มก็มาถึงบ้านพักของคนที่นัดไว้ มันเป็นคฤหาสน์ 3 ชั้น มีพื้นที่มากกว่าพันตารางเมตร ถูกล้อมรอบด้วยกำแพงและรั้วเหล็ก มีทั้งสวนและสระว่ายน้ำส่วนตัว
เมื่อซิงเฉิงเข้าไป ชายหนุ่มก็พบกับชายชราคนหนึ่งที่กำลังนั่งก้มหน้าจัดดอกไม้อยู่ และเมื่อบอดี้การ์ดเห็นตัวซิงเฉิงแล้ว ชายคนนั้นก็ก้มหัวลงไปพูดกับชายชราที่นั่งอยู่ว่า "พ่อบ้านหวู่"
ซิงเฉิงก้มหัวทักทายเล็กน้อย ส่วนชายชราก็นั้นปรายตามองซิงเฉิงแบบผ่าน ๆ ก่อนจะทำเป็นไม่สนใจ
หลังจากซิงเฉิงถูกพาเข้ามาในคฤหาสน์แล้ว บอดี้การ์ดหนุ่มก็ชี้ไปที่ห้องข้าง ๆ "นายท่านหานกำลังรอคุณอยู่"
ซิงเฉิงกล่าวขอบคุณด้วยรอยยิ้มก่อนที่จะเดินเข้าไปในห้อง
เคาะประตู …
รอคอยสักพัก …
ก่อนที่เขาจะได้ยินเสียงนุ่มลึกของชายวัยกลางคนก็ดังขึ้น "เข้ามาได้!"
ซิงเฉิงผลักประตูเดินเข้าไป
ชายหนุ่มพบว่าห้องนี้เต็มไปด้วยควันหนาเตอะจนมองแทบจะไม่เห็นอะไรในห้องเลย อย่างกับว่าไฟกำลังไหม้ห้องนี้อยู่อย่างไงอย่างงั้น
บนโซฟาปรากฏชายร่างท้วมคนหนึ่งกำลังนั่งสูบบุหรี่อยู่ บนที่เขี่ยบุหรี่มีก้นบุหรี่อยู่เป็นจำนวนมาก และบนพื้นก็ด้วยเช่นกัน
"ไอ้หนูซิง ในที่สุดนายก็มาจนได้" ชายคนนั้นตกตะลึงที่เห็นซิงเฉิง เขารีบสูบบุหรี่ให้เสร็จ ก่อนจะเดินไปหาซิงเฉิงพร้อมหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
ซิงเฉิงกลั้วหัวเราะ "ลุงหาน 1 ปีกับอีก 3 เดือนแล้วสินะครับตั้งแต่แยกกันที่เขาคุนหลุน?"
"ไอ้หนู เห็นบอกว่าจะมาหางานทำที่เซี่ยงไฮ้สินะ ตอนแรกฉันก็คิดว่านายล้อเล่น ก็เลยบอกให้มาหาฉันได้ ใครจะคิดกันว่านายจะมาจริง ๆ " ชายที่ถูกเรียกว่าลุงหานหัวเราะเสียงดัง
ซิงเฉิงถูกดึงให้ไปนั่งบนโซฟา ชายหนุ่มเทชาสำหรับลงในถ้วยทั้ง 2 ใบ ก่อนที่จะถาม "ลุงหาน ลุงเคยบอกไว้ว่า ถ้าทำไม่ได้ก็อย่ารับปากใครง่าย ๆ ไม่ใช่เด็ก ๆ แล้ว และที่สำคัญคุณเองก็เคยช่วยผมเอาไว้! ผมก็เลยเลือกที่จะมาหาคุณ"
"ไอ้ลูกหมาเอ๊ย!" ลุงหานชี้ไปทางซิงเฉิงไม่รู้ว่าหัวเราะหรือว่าร้องไห้ "แล้วมาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่?"
"ก็มาทันทีที่ลงจากรถไฟเลยครับ"
"ยังจริงจังเหมือนเดิมเลยนะ วันนี้ฉันไม่ว่างเท่าไหร่ เอาไว้วันหลังจะจัดการให้ก็แล้วกัน!" ลุงหานว่าก่อนจะตบบ่าของซิงเฉิง
ลุงหาน ชื่อเดิมของเขาคือหาน เกาผิง สำหรับสิ่งที่เขาทำนั้น ซิงเฉิงไม่เคยที่จะสงสัยเลย ตอนที่ซิงเฉิงพบกับชายคนนี้ครั้งแรกที่เขาคุนหลุน เขาอ้างว่าตัวเองเป็นนักธุรกิจ และด้วยความที่ทั้งสองคนมีจุดหมายเดียวกัน นั่นทำให้พวกเขาทั้งสองคนได้เดินทางร่วมกัน ในตอนนั้น ซิงเฉิงยังหนุ่มและไร้ประสบการณ์ ถ้าไม่ได้รับความช่วยเหลือของหาน เกาผิงแล้วละก็ ป่านี้เขาคงเป็นผีอยู่ในกองซากหินถล่มไปแล้ว
"ลุงหานเกิดเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ? ถ้ามีอะไรที่ผมพอช่วยได้ บอกผมได้นะครับ" ซิงเฉิงและหาน เกาผิงถือได้ว่าเป็นเพื่อนต่างวัยที่สนิทกันพบควร และนี่เองก็ถือเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้เขามาที่เซี่ยงไฮ้
หาน เกาผิง ถอนหายใจก่อนจะจุดบุหรี่อีกมวนแล้วพูดออกมาว่า "มันเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ของความไม่แน่นอน"
"ตั้งแต่ที่นายถามมาซิงน้อย ฉันคิดว่าคงต้องการความช่วยเหลือจากนายจริง ๆ นั่นแหละ ว่าแต่นายพอจะจัดการให้ฉันหน่อยได้ไหม?"
"แน่นอนครับ" ซิงเฉิงพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
หาน เกาผิงส่งบุหรี่ให้ซิงเฉิง พร้อมกับจุดให้ ก่อนจะพูดต่อว่า "พอดีฉันเจอปัญหาจากคู่อรินิดหน่อย แล้วก็ได้ปะทะกันเมื่อไม่นานมานี้ ฉันมั่นใจว่าลูกสาวของฉันจะต้องเป็นเป้าหมายอย่างแน่นอน ฉันอยากให้นายไปคุ้มครองเธอจนกว่าเรื่องจะจบลงได้ไหม ?"
ถึงแม้ภายนอกหาน เกาผิงจะดูสงบเยือกเย็น แต่ซิงเฉิงสัมผัสได้ถึงความกดดันในน้ำเสียงของชายคนนี้ และนั่นก็ทำให้ชายหนุ่มตัดสินใจถามเพื่อความมั่นใจว่า “ลุงหาน ไว้ใจผมเหรอครับ? แล้วลูกสาวลุงจะยอมเหรอ? "
"ตลอดชีวิตของฉัน ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยไว้ใจคนผิด แต่ฉันมั่นใจว่านายไว้ใจได้แน่นอน ถ้าวิกฤตนี้จบลง ฉันจะรับช่วงต่อเอง ส่วนทางด้านลูกสาวฉัน นายไม่ต้องกังวล ฉันจะบอกเธอว่าฉันส่งผู้ช่วยไปให้" หาน เกาผิงพูดด้วยน้ำเสียงคลุมเครือ สภาพของเขาดูซีดเซียว และดวงตาก็แดงก่ำ
ตอนนั้นเอง เสียงจากด้านนอกประตูก็ดังขึ้น พ่อบ้านตระกูลหานเดินเข้ามาคำนับ ก่อนจะรายงานว่า “นายท่านหาน แขกมาถึงแล้วครับ!"
" พาแขกของเราเข้ามา อ้อแล้วก็อย่าลืมเรียก หานปิงมาด้วย ฉันมีเรื่องที่อยากจะคุย" หาน เกาผิงพูดอย่างใจเย็น
หลังจากพ่อบ้านจากไป หาน เกาผิงก็หันกลับมาพูดกับซิงเฉิงต่อ "ซิงน้อย ฉันมีเรื่องที่ต้องไปจัดการต่อ ตอนนี้ยังเข้าไปดูแลนายไม่ได้ แถมนายก็เพิ่งจะลงรถไฟมา นี่คงยังไม่ได้กินข้าวเย็นสินะ ไปที่ห้องครัว คนของฉันจะจัดการให้ อีกสักพักลูกสาวของฉันคงกลับมา เดี๋ยวจะตามนายทีหลัง"
ซิงเฉิงพยักหน้าก่อนจะเดินออกไป
ด้านในของครัว พนักงานเสิร์ฟได้วางจานที่มีอาหารอยู่มากมายตามรายการที่ซิงเฉิงสั่ง เขาชอบหมั่นโถวมากกว่าข้าวซะอีก ซึ่งหาน เกาผิงที่มาจากตะวันตกเฉียงเหนือเองก็ชอบกินหมั่นโถวเช่นกัน
ตามปกติแล้วซิงเฉิงเป็นคนที่กินข้าวเร็ว แต่วันนี้เขาลดความเร็วในการกินลง เพื่อที่จะได้คุยกับคนอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นผู้ดูแล หรือว่าบอดี้การ์ด เพราะนี่เป็นสิ่งที่เขาฝึกมาตลอดชีวิต
‘การประมาทต่อหน้าคนที่ไม่คุ้นเคย แม้เพียงซักเล็กน้อยอาจนำมาซึ่งภัยก็เป็นได้’ นี่คือสิ่งที่เขาเชื่อ
ซิงเฉิงใช้เวลาในการกินไปกว่าครึ่งชั่วโมง จนกระทั่งหญิงสาวร่างยาวระหงสุดเซ็กซี่เดินเข้ามาในคฤหาสน์ ในจังหวะเดียวกับที่เขาวางตะเกียบลง
สาวงามคนนี้คงเป็นลูกสาวของลุงหาน ‘หานปิง’ เขาไม่ได้เคยคิดมาก่อนเลยว่าเธอจะสวยขนาดนี้ ดูไม่แปลกใจเลยที่ลุงหานจะกังวลเรื่องลูกสาว เพราะไม่ว่าผู้ชายคนไหน ถ้าได้เห็นเธอก็คงกลายเป็นสัตว์ป่าหื่นกระหายกันทั้งนั้น
"ดึกขนาดนี้ ตาเฒ่านั้นยังเรียกฉันมาอีก น่ารำคาณชะมัด!" หานปิงพูดด้วยท่าทางหัวเสียทันทีที่เดินเข้ามา
ผมสั้นยาวประบ่า เสื้อยืดสีเทาเข้ารูปพร้อมกางเกงขาสั้นสีดำ รองเท้าแตะราคาแพง สร้อยคอสุดหรูที่ประดับอยู่ที่รอบคอ นาฬิกาข้อมือสีแดงเซนต์วาเลนไทน์รุ่นจำนวนจำกัด พร้อมกับกระเป๋าวายเอสแอลที่สะพายอยู่ด้านหลัง
โฉมงามราคาแพงเลยแฮะแม่คนนี้ …
เมื่อเธอเดินไปที่ชั้นบน พี่เลี้ยงของเธอก็เข้ามาคุยกับซิงเฉิง "นายท่านอยากให้คุณช่วย"
เมื่อซิงเฉิงกลับเข้ามาในห้องเขาก็ได้ยินเสียงตะโกนของหานปิง "หนูไม่อยากมีคนคุ้มครอง มันรบกวนชีวิตส่วนตัวของหนู!"
"อย่ามาพูดจาไร้สาระ ฉันเป็นพ่อเธอนะ ถ้าไม่ต้องการก็ดี ฉันจะถอนเงินออกจากบริษัทเธอ แล้วก็จะอายัดบัตรเครดิต ยึดรถ ยึดบ้าน ให้แกไม่ต้องไปไหน อยู่กันแต่ในบ้านนี่แหละ!" หาน เกาผิงพูดอย่างขุ่นเคือง
จังหวะที่ซิงเฉิงเดินเข้ามา หาน เกาผิงก็พลันกลับมาตีสีหน้ายิ้มแย้มพร้อมกับพูดว่า "เข้ามา ๆ เข้ามาเลย ซิงน้องนี่ลูกสาวของฉันหานปิง ทำความรู้จักกับไว้นะ"
"ซิงเฉิงครับ ยินดีที่ได้รู้จัก!" ซิงเฉิงเริ่มยื่นมือออกไปทำท่าจะจับมือทักทาย แต่หายปิงไม่ได้จับมือตอบ แถมยังมีท่าทีที่อึดอัดอีกด้วย แต่ซิงเฉิงก็เข้าใจดี เขาเลยทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
หานเกาผิงที่เห็นแบบนี้ ก็เลยพูดออกไปด้วยความหน่ายใจว่า "เธอโดนตามใจตั้งแต่ยังเด็กน่ะนะ ต่อจากนี้ก็ขอฝากเธอเอาไว้ด้วย เรื่องเงินเดี๋ยวพ่อบ้านจะช่วยจัดการให้ ถ้าไม่พอก็คุยกับเขาได้เลย
“หานปิง บ้านของเธออยู่ที่ฮัวหลุน 9 ไมล์ ส่วนฉันก็มีบ้านอยู่ที่สวนฉือเหมาริเวอร่าอยู่ตรงข้ามกับบ้านเธอ ให้นายไปพักที่นั่นเลยนะ ส่วนกุญแจก็ไปเอาที่พ่อบ้านได้เลย เรื่องของทุกอย่างก็เตรียมไว้จะได้ง่ายกับการไปรับไปส่งลูกสาวฉัน นายไปก่อนได้เลยนะ ฉันมีอะไรจะคุยกับหานปิงอีกหน่อย" ว่าแล้วซิงเฉิงออกไปหาพ่อบ้าน ส่วนหาน เกาผิงก็คุยกับลูกสาวเอาแต่ใจของตัวเองต่อ…
เมื่อซิงเฉิงได้กุญแจและเงินจากพ่อบ้านแล้ว เขาก็กลับมาที่ห้อง ซึ่งหานปิงได้รออยู่ด้านนอกแล้ว เมื่อเธอเห็นซิงเฉิง เธอก็ตัดสินใจที่จะตะโกนใส่ว่า "ไอ้คนใช้ พาฉันกลับบ้านเดี๋ยวนี้เลยนะ!"
พ่อบ้านตระกูลหานที่ได้ยิน ก็ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ส่วนซิงเฉิง เขาก็ไม่ได้ถือสาหาความอะไรมากมาย เพราะเขามองว่าการไปเถียงกับลูกคุณหนูโดยไม่มีพ่อของเธอมาช่วยพูดด้วย คงเป็นอะไรที่เสียเวลาเปล่า ๆ
รถมาเซอราตี้แกรนธูริสโม่คันสีแดงที่จอดอยู่หน้าบ้านเป็นของหานปิง ทันทีที่มาถึงตัวรถ เธอก็ส่งกุญแจให้กับซิงเฉิง และนั่งอยู่ตรงที่นั่งด้านหน้า พร้อมกับจ้องมองซิงเฉิงด้วยเย้ยหยัน
ซิงเฉิงไม่เคยขับรถหรูแบบนี้มาก่อน แต่เขาก็ทำเป็นเฉยไว้ เพื่อรักษาภาพลักษณ์ หลังจากคิดอยู่ครูหนึ่ง ซิงเฉิงก็ลองสตาร์ทรถดู หานปิงที่กำลังมองอยู่ด้านหลัง เมื่อเห็นท่าทีของซิงเฉิน เธอก็จ้องมองเขาด้วยแววตาเหมือนจะเอาเรื่อง
ระหว่างทางทั้ง 2 คนไม่ได้พูดคุยอะไรกันเลยแม้แต่น้อย
หลังจากมาถึงที่หมาย ซิงเฉิงก็เดินมาส่งหานปิงที่หน้าประตู พอเธอก้าวเท้าเข้าไป เธอก็ตัดสินใจหันกลับมาบอกเขาว่าด้วยน้ำเสียงแกมข่มขู่ว่า "มารับฉันตอน 9 โมงตรง ถ้าช้าไปแม้แต่วินาทีเดียวล่ะก็ ตาย!!!"
ปัง!...
แล้วเธอก็ปิดประตูอย่างแรง
ซิงเฉิงส่ายหัวพร้อมรอยยิ้มด้วยความจนใจ ก่อนที่เขาจะกลับออกมา
หลังจากที่ลงมาแล้ว ชายหนุ่มก็ไม่ได้กลับไปที่สวนฉือเหมาริเวอร่าแต่อย่างใด ทว่าเขากลับเดินมาทางซ้ายของมาเซอราตี้ริมถนน ก่อนจะโบกแท็กซี่ไปยังแม่น้ำหวงผู่
ในสายตาของซิงเฉิง ถ้าผู้ชายคนหนึ่งมีความทะเยอทะยานสักหน่อย เขาคนนั้นจะต้องกล้าที่จะเริ่มการเดินทางอันแสนยาวไกลเพื่อตามความปรารถนาของหัวใจ
แล้วซิงเฉิงมีความทะเยอทะยานไหม? ใช่ !
แล้วความต้องการละ เขามีไหม? นี่ก็ใช่อีก !
เขารู้สึกว่าชีวิตของผู้ชายที่ไม่มีความมุ่งมั่น และปราศจากความทะเยอทะยาน นั่นก็เป็นได้แค่ชีวิตที่ไร้จุดหมาย !!!
ทุกคนมีสิทธิ์เลือกชีวิตของพวกเขาเอง บางคงก็อาจจะต้องการชีวิตที่เรียบงาน
แต่สำหรับชายที่ชื่อซิงเฉิงแล้ว เขาไม่ได้ต้องการแบบนั้น !
ด้านซ้ายเป็นบรรยากาศยามค่ำคืนที่แสนเงียบสงบ ส่วนด้านขวากลับเต็มไปด้วยตึกสูง และความวุ่นวาย ที่ริมแม่น้ำหวงผู่แห่งนี้นี่เอง ซิงเฉิงยืนสูบบุหรี่ พร้อมกับปล่อยควันไฟที่ค่อย ๆ ลอยขึ้นอย่างช้า ๆ
ชายหนุ่มมองดูเมืองที่แสนวุ่นวาย ก่อนที่ซิงเฉิงจะหรี่ตาลง แล้วบ่นพึมพำออกมาว่า "นี่คือวันแรกของฉัน ต่อจากนี้ไป เมืองแห่งนี้จะจดจำฉันคนนี้ไปอีกนานแสนนาน…"