ตั้งแต่ที่ซิงเฉิงได้ปกป้องหานปิงปกป้องเอาไว้ถึง 2 ครั้งจนได้รับบาดเจ็บเมื่อคืน หญิงสาวก็มีท่าทีเปลี่ยนไปอย่างมาก ซึ่งนี่ก็ถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีสำหรับเขาและเธอ
หานปิงอยากที่จะเลี้ยงข้าวซิงเฉิง ด้วยรสนิยมของเธอแล้ว หญิงสาวคงจะไม่ไปนั่งกินตามแผงขายของริมถนน หากแต่จะเลือกร้านอาหารที่ดีที่สุดในเมือง ยังไงก็ตาม ซิงเฉิงกลับเสนอร้านแผงลอย แต่ถึงอย่างงั้นชายหนุ่มก็ไม่สามารถปฏิเสธข้อเสนอของหานปิงได้
อาการบาดเจ็บของเขาไม่ได้ร้ายแรงอะไร ซิงเฉิงจึงไม่ได้คิดอะไรมาก อีกไม่นานก็คงจะดีขึ้น แต่หานปิงก็ยังคงยืนยันว่าจะขับรถให้ พวกพนักงานในบริษัทรู้ดีว่าชายหนุ่มเป็นผู้ช่วยคนใหม่ของหานปิง แต่ถ้าคนที่ไม่รู้มาเห็นภาพนี้เข้า พวกเขาอาจจะคิดไปว่าทั้งสองคนเป็นแฟนกัน
หวงเจียนจีอยู่ที่ชั้น 7 นี่คือหนึ่งในร้านอาหารที่มีชื่อเสียงและแพงที่สุดในเซี่ยงไฮ้ ว่ากันว่าอัตราความสำเร็จของการจัดงานแต่งงานที่นี่สูงมาก หานปิงจองโต๊ะล่วงหน้าไว้แล้ว แต่ไม่ใช่สำหรับการประชุมงาน
เห็นได้ชัดว่าหญิงสาวเคยมาที่นี่บ่อย ๆ เธอนำซิงเฉิงไปที่หน้าต่างได้อย่างง่ายดาย ชายหนุ่มสามารถมองดูผู่ตงได้ทั้งหมดจากจุดที่พวกเขานั้งกัน เมื่อมองไปรอบ ๆ จะเห็นว่าแขกทุกคนใส่เสื้อผ้าแพง ๆ กันทั้งนั้น มีทั้งคนรวยและคนชั้นสูงอยู่เต็มไปหมด ซิงเฉิงไม่สามารถทำตัวให้ชินกับบรรยากาศแบบนี้ได้จริง ๆ
“จริง ๆ ถ้าเป็นร้านแผงลอยฉันจะสบายใจมากกว่านี้นะ ที่นั่นของราคาถูกกว่าร้านนี้ตั้งหลายสิบเท่า" ซิงเฉิงพูดอย่างอารมณ์ดีจากที่นั่งตรงข้ามของหานปิง เขาจ้องมองใบหน้าของหญิงสาวที่ใบหน้าไร้ซึ่งความเย็นชาและแทนที่ด้วยรอยยิ้ม
บรรยากาศที่นี่ต่างกับที่อื่นอย่างสิ้นเชิง หานปิงคุ้นชินกับสังคมชนชั้นสูงตั้งแต่อายุยังน้อย เธอยังได้ไปศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษ เพื่อนของหญิงสาวทุกคนรวยมากและสวยเหมือนเธอ โดยธรรมชาติแล้วเธอไม่สามารถเข้าใจความคิดของซิงเฉิงได้
“นายเนี่ยน๊าา คนธรรมดาไม่ได้รับโอกาสที่จะกินที่นี่แม้ว่าพวกเขาต้องการ แต่นายกลับจะปฏิเสธซะนี่ จะมีผู้นายจ้างซักกี่คนที่จะรักษานาย แถมยังพามากินข้าวด้วยแบบนี้? ไม่ใช่ว่านายวางแผนที่จะกินอะไรที่ไม่ได้มาตรฐานแล้วขอลาป่วยหรอกนะ?" หานปิงปรายตามองซิงเฉิง เธอไม่ยอมที่จะตัวดี ๆ มากกว่านี้อีกแล้วเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะแหย่เธอไม่หยุด
ซิงเฉิงเบ้ปากแล้วพูด "นั่นก็จริง แต่ยังไงก็ตามเธอเป็นคนจ่าย งั้นเอาเป็นว่าเธอสั่งอะไรฉันก็กินแบบนั้นแหละ!"
"งั้นก็หุบปากซะ" หานปิงว่าเสียงเย็น
ซิงเฉิงและหานปิงในสายตาของคนอื่น ๆ พวกเขาดูเหมือนเป็นคู่หมั้น ที่กำลังจีบกันอยู่ แม้ว่าจะได้ยินสิ่งที่ทั้งสองคุยกัน แต่พวกเขาก็ไม่ได้คิดว่าดูถูก และมองว่ามันตลกดีเท่านั้น
อย่างไรก็ตามมีชายคนหนึ่งที่คุ้นเคยกับน้ำเสียงของซิงเฉิง เขาขมวดคิ้วแล้วส่ายหัวเพราะไม่ได้คาดคิดว่าจะมาเจอชายหนุ่มที่นี่ แต่เมื่อเขาหันหน้ามาเห็นซิงเฉิงหลังจากที่เข้าไปยังห้องน้ำ เขาก็รู้คำตอบที่เขากำลังตามหาพอดี สายตาของชายผู้นี้ดูแฝงเจตนาร้ายบางอย่างจนแฟนสาวของเขาสังเกตได้
หลังจากที่ซิงเฉินลุกออกไป ชายผู้นั้นก็ยืนขึ้นและพูดพึมพำกับแฟนสาวของเขาอย่างช้า ๆ จากนั้นก็มานั่งตรงหน้าหานปิง หรือถ้าให้กล่าวอีกนัยหนึ่งคือนั่งบนที่นั่งของซิงเฉิง
“คนสวย เราเคยเจอกันที่ไหนมาก่อน เธอคงจะเป็นแฟนของเพื่อนฉันสินะ” ชายคนนั้นพูดด้วยรอยยิ้ม
หานปิงที่กำลังเล่นกับโทรศัพท์ของตัวเอง เมื่อเธอเห็นชายแปลกหน้านั่งอยู่ตรงข้าม หญิงสาวก็เริ่มสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เธอดูเหมือนจะเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากได้ยินคำพูดของเขา
เธอคุ้นเคยกับคำทักทายที่หยาบคายเช่นนี้แล้ว ดังนั้นหานปิงจึงตอบกลับไปตรง ๆ "โทษทีนะ เราไม่รู้จักกัน แล้วฉันก็ไม่ได้อยากรู้จักด้วย …"
“ไม่เอาน่าคนสวย มาสนิทกันไว้ดีกว่า อนาคตพวกเราต้องได้เจอกันอีกแน่ๆ …" ชายคนนั้นพูดอย่างใจกว้าง
หานปิงจ้องมองคนแปลกหน้า เขาดูดีและน่าดึงดูด หากแต่รอยยิ้มของชายคนนี้กลับดูชั่วร้าย ที่เอวของเขามีนาฬิกาของปาเต๊กฟินลิปล์ ชุดที่ใส่น่าจะเป็นของอามานี่หรือเวอซาเช่ หมายความว่าคนผู้นี้น่าจะมีเงินพอตัวเลยทีเดียว ถ้าดูจากภายนอกน่าจะเป็นลูกของมหาเศรษฐี แต่ว่าหานปิงเห็นคนแบบนั้นมาดาษดื่นแล้ว นั่นจึงทำให้เธอหมดความสนใจในทันที
“มีเงินซัก 1 พันล้านไหม?" หานปิงถามกลับทันที
คำพูดของเธอทำให้อีกฝ่ายตกตะลึง หลังจากได้สติ เขาก็หัวเราะออกมาเสียงดัง “นี่ล้อกันเล่นรึเปล่าสาวน้อย! เงื่อนไขแรกคือการมีเงินซัก 1 พันล้านอย่างนั้นเหรอ?”
“เป็นเพื่อนเหรอ? อยากได้แค่คู่นอนมากกว่าล่ะมั้ง? ถ้าเกิดว่าไม่มีเงินล่ะก็ งั้นนายไปหาคนอื่นเถอะ" หานปิงค่อนข้างเบื่อหน่ายและพูดออกไปอย่างหยาบคาย
“ตรงไปตรงมาดีนี่ ดูท่าว่าเพื่อนของเธอคงจะมีเงินประมาณนั้นสินะ ใช่ไหม?" ชายคนนั้นถาม ก่อนจะปล่อยเธอไปอย่างไม่เต็มใจ
หานปิงหัวเราะอย่างเย็นชา "ไม่ว่าเขาจะมีเงินเป็นพันล้านหรือไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคุณ ที่สำคัญที่สุดเขาเป็นแฟนของฉัน แม้เขาจะยากจน แต่ฉันก็ยังเป็นของเขาอยู่”
หานปิงไม่ได้คิดอะไรเป็นพิเศษ มันเป็นแค่พื้นฐานของการไล่แขกแบบง่าย ๆ
"งั้นขอดูหน่อยนะ ว่าชายคนไหนนี่โฉมงามอย่างเธอเลือก?" ชายหนุ่มไม่ได้โกรธเคืองอะไร
"นายจะไปดี ๆ ไหม? หรือว่าอยากจะโดนลากออกไปแทน!" ตอนนี้หานปิงชักจะโมโหแล้ว
ชายคนนั้นยังไม่มีท่าทีที่จะจากไป เห็นแบบนั้นหานปิงจึงยืนขึ้นและจ้องมองเขาอย่างโกรธแค้น ในขณะนั้นซิงเฉิงก็กลับจากห้องน้ำพอดี เมื่อเห็นว่ามีคนนั่งอยู่ในตำแหน่งของเขาและหานปิงดูไม่พอใจ ชายหนุ่มจึงรีบเดินไปอย่างรวดเร็ว
"เกิดอะไรขึ้น?" ซิงเฉิงถามเสียงต่ำ
ชายคนนั้นไม่ได้ลุกขึ้น แต่กลับเก็บสีหน้าไปก่อนที่จะพูดต่อ “นี่แฟนของเธอเหรอ? ขอดูหน่อยว่ามีอะไรพิเศษบ้าง!”
เมื่อชายคนนั้นลุกขึ้นยืนและเผชิญหน้ากับซิงเฉิง ในขณะที่คนหลังต้องการที่จะเห็นว่าใครมีความสามารถในการกระตุ้นความงามอันยิ่งใหญ่ของหานปิง อย่างไรก็ตามการแสดงออกของเขาเปลี่ยนจากความโกรธเกรี้ยวไปเป็นความสนุกสนานอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
ชายคนนั้นท่าทางสงบลง เขาจ้องมองซิงเฉิงด้วยรอยยิ้ม แล้ววินาทีต่อมาซิงเฉิงก็ลดหมัดของตัวเองลงไปที่แผงอกของฝ่ายตรงข้าม ก่อนที่จะตะโกนออกมา "ไอ้เหลาซาน! มาทำอะไรที่นี่วะ?"
"ไอ้นี่หนิ ยังจำได้นี่หว่า ? ฉันนึกว่านายตายไปแล้วซะอีก!" ชายคนนั้นสบถออกมา ก่อนจะกอดซิงเฉิงพร้อมชกหมัดลงไปบนหลังของอีกฝ่าย
แขกคนอื่น ๆ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขาต่างมองดูด้วยความสับสนรวมถึงหายปิงด้วยว่ามันเกิดอะไรขึ้น?
หลังจากนั้นไม่นานชายที่ถูกเรียกว่าเหลาซานก็พูดอย่างตื่นเต้น "ให้ตาย! ฉันนึกว่าฉันจำคนผิดซะอีก แต่พอได้ยินเสียงกับท่าทางนั่นแล้ว ก็กลายเป็นว่าฉันจำไม่ผิดจริง ๆ ด้วย!"
"บ้าบอน่า ฉันก็ไม่คิดว่าจะมาเจอนายแบบนี้หรอกนะ!" ซิงเฉิงหัวเราะออกมา
ทันทีที่เหลาซานมองไปทางหานปิง เขาก็อธิบายอย่างเป็นมิตร “โทษทีคนสวย ฉันแค่อยากจะแซวซิงเฉิงเฉย ๆ มันไม่ได้มีความหมายแฝงหรอกนะ ว่าแต่หมอนี่โชคดีชะมัดที่มีเธอเป็นแฟนน่ะ"
"แฟนเหรอ?" ซิงเฉิงมองไปทางหานปิงแล้วถามด้วยความสงสัย
หานปิงเดิมทีอ้างชื่อเขาเพื่อที่จะเป็นไม้กันหมา แต่ตอนนี้ดูท่าว่าจะกลายเป็นความผิดพลาดซะแล้ว ตอนนี้หญิงสาวรู้สึกอายจริง ๆ เธอมองซินเฉิงและเหลาซานราวกับคนใบ้
"ก็เธอบอกว่าเป็นแฟนนาย มีอะไรรึไง?" เหลาซานเริ่มที่จะสับสนแล้ว
ซิงเฉิงย่อมไม่ยอมพลาดโอกาสแบบนี้อยู่แล้ว มุมปากของเขายกขึ้น ชายหนุ่มเดินไปข้าง ๆ หานปิง เขาโอบเอวบางของเธอแล้วฝืนพูดออกมา "อ่า นี่แฟนฉันเองแหละหานปิง นี่เซียติงเพื่อนร่วมห้องวิทยาลัยของฉัน เขาอยู่ในอันดับที่สามในหอพักของเรา”
"อ่า ยินดีที่ได้รู้จัก" หานปิงพยักหน้าอย่างสุภาพและยิ้มในขณะที่เธอบิดเนื้อนุ่ม ๆ บนเอวของซิงเฉิงอย่างโหดเหี้ยม
แม้ว่าซิงเฉิงจะรู้สึกเจ็บ แต่เขาก็ทำได้แค่ทนและฝืนยิ้มเท่านั้น ชายหนุ่มต้องยอมรับจริง ๆ ว่าเอวของหานปิงนั้นนิ่มมากเลยทีเดียว
"ไม่ถือโทษโกรธกันนะครับพี่สะใภ้ มันเป็นแค่การล้อกันเล่นเท่านั้น!" เป็นเรื่องยากที่จะพบเพื่อนสนิทจากวิทยาลัย ดังนั้นเซียติงจึงอารมณ์ดีมากทีเดียวในตอนนี้
ในหอพักจะมีสี่คน ซิงเฉิงอยู่ที่อันดับ 1 เซียติงเป็นอันดับ 3 คนที่ 2 มาจากปักกิ่ง ส่วนคนสุดท้ายมาจากนานจิง
หานปิงหายโกรธแล้ว หลังจากที่หญิงสาวรู้เจตนาของเซียติง เมื่อเรื่องราวเป็นแบบนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงมานั่งโต๊ะเดียวกันซะเลย เซียติงได้แนะนำแฟนสาวของเขาให้รู้จัก เธอเป็นสาวสวยรูปร่างบาง แต่ซิงเฉิงรู้จักเซียติงมากเกินไป ไอ้เด็กเหลือขอนี่เป็นพวกคาสโนว่า เพราะงั้นเดี๋ยวก็คงจะเลิกกันแล้ว
"ลูกพี่ นี่ก็เกือบจะ 2 ปีครึ่งแล้วนะที่หายไป ทำไมไม่ยอมติดต่อกลับมาบ้างเลย นี่ลูกพี่ไปอยู่ที่ไหนมาเนี่น?"เมื่อพวกเขาเริ่มที่จะดื่มกันแล้ว เซียติงก็เปิดการสนทนาก่อน
เป็นเวลากว่า 2 ปีแล้วที่ซิงเฉิงไม่ได้ติดต่อใครเลย นี่เป็นคำถามที่ทุกคนต่างถามออกมาเมื่อพวกเขาเห็นซิงเฉิงอีกครั้ง ซิงเฉิงบอกเรื่องที่เขาหายไปกว่านานกว่าสองปีไม่ได้ ดังนั้นชายหนุ่มจึงพูดแก้ตัวไปว่า "มันอธิบายยากน่ะ เอาไว้วันหลังแล้วกัน"
"เอาเถอะ ๆ คราวหน้าคงจะได้เจอกันอีกนั่นแหละ ฉันล่ะนึกถึงสมัยอยู่มหาวิทยาลัยซะจริง ๆ จำได้ไหมตอนที่พวกเรามีเรื่องกันในหอพัก ? ลูกพี่กำลังยืนอยู่บนทางเดินและท้าทายผู้คน ตอนนั้นนะไม่มีใครกล้าเข้ามาเลย ออร่านั่นน่าทึ่งมาก ทุกครั้งที่คิดถึงมัน มันก็ทำให้ฉันรู้สึกว่าเลือดกำลังเดือดเลยล่ะ" เซียติงพูดอย่างตื่นเต้นขณะที่เขาดื่มไวน์แดงเสร็จ
“ทุกคนมีเรื่องให้ต้องนึกถึงทั้งนั้นแหละ" ซิงเฉิงส่ายหัวและหัวเราะอย่างขมขื่น นั่นเป็นหนึ่งในเรื่องที่โจษจันไปทั่วทั้งมหาวิทยาลัย ถ้าเกิดว่าครอบครัวของเซียติงไม่ได้เขามาช่วยล่ะก็ ชายหนุ่มคงจะโดนไล่ออกไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว
“เอาเถอะว่าแต่เหลาเอ้อกับเหลาซื่อเป็นยังไงบ้างล่ะ? ไม่ได้เจอพวกเขามาตั้ง 2 ปีแล้ว …" ซิงเฉิงคิดถึงเพื่อนร่วมห้องสองคนของเขาและถามอย่างรีบเร่ง
เซียติงพูดอย่างช้า ๆ “เหลาเอ้อมาถึงเซี่ยงไฮ้เมื่อสัปดาห์ที่แล้วเพื่อทำธุรกิจ เราได้นัดทานอาหารกัน ตอนนั้นเราพูดถึงพี่กันด้วยนะ อ้อใช่ ตอนนี้เหลาเอ้อเขามีอนาคตที่สดใสกับทางรัฐบาล หัวหน้าดูฝากความหวังเอาไว้กับเขาเยอะทีเดียว”
“ส่วนเหลาซื่อ เขากับฉันก็คล้าย ๆ กัน เรากลับไปทำธุรกิจกับครอบครัว แต่เขาทำงานหนักกว่าฉันและกลายเป็นนักลงทุนรุ่นเยาว์ที่น่าจับตามองของมณฑลเจียงซู ส่วนฉันก็แค่ฆ่าเวลาเท่านั้น เราสองคนมักจะเจอกันบ่อย ๆ หากพวกเราอารมณ์ไม่ดีและอยากดื่ม เราก็จะขับรถไปหาคนอื่นทันที"
"ครั้งหน้าน่าจะนัดพวกมันนะ จะได้เจอกันได้ง่าย ๆ!" ซิงเฉิงพูดอย่างง่ายๆ ชายหนุ่มยังคงสนใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเขากับเพื่อนร่วมห้องในวิทยาลัยอยู่
"ฮ่าฮ่า ได้เลย ถ้าพวกมันว่างน่ะนะ" เมื่อเซียติงคิดถึงช่วงเวลาที่พวกเขาจะอยู่พร้อมหน้ากันอีกครั้งก็อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้
แล้วทันทีที่เขาพูดจบ เซียติงก็คิดอะไรบางอย่างได้ "ลูกพี่ ถ้าฉันส่งรูปถ่ายพวกเขาและบอกพวกเขาว่าพวกเราอยู่ที่นี่ในเซี่ยงไฮ้ นายคิดว่าพวกเขาจะมาที่นี่ไหม?”
ซิงเฉิงก็ไม่ได้ห้ามเขา เซียติงจึงหยิบโทรศัพท์ออกมาถ่ายรูปซิงเฉิงและหานปิงก่อนจะส่งไปหาเหลาเอ้อและเหลาซื่อผ่านวีแชทโดยไม่ได้ว่าอะไร
ขณะที่เขากำลังจะวางโทรศัพท์บนโต๊ะและรอคำตอบ เหลาซื่อก็โทรเข้ามาหา "เซียติงไอ้เวรเอ๊ย!"
“นี่ไม่ได้มั่วนะเว้ยย พวกเราอยู่ที่หวงเจียนจี นายจะมาหาไหม?" แม้ว่าเซียติงจะถูกเหลาซื่อด่า แต่เขาไม่ได้โกรธเลยแม้แต่น้อย
"ตอนนี้ยุ่งอยู่ ขอเวลาซัก 2 ชั่วโมง” เหลาซื่อหรือก็คือซุโฉว ตอนนี้เขากำลังอยู่ในระหว่างประชุมทางธุรกิจดังนั้นจึงยังปลีกตัวออกมาไม่ได้
เซียติงเปิดลำโพงเพื่อให้ทุกคนได้ยิน
ทันทีที่เหลาซื่อวางสาย เซียติงก็มีเวลาพูดคุยอีกนิดหน่อยก่อนที่เหลาเอ้อจะโทรมาแล้วถามอย่างตรงไปตรงมา “พวกนายอยู่ไหน?”
"หวงเจียนจี ที่เซี่ยงไฮ้" เซียติงถูกชักจุงด้วยท่าทีของเหลาเอ้อและตอบออกไปอย่างลังเล
เหลาเอ้อที่กำลังอยู่ในงานผาร์ตี้ เมื่อได้เขาได้ยินแบบนั้นก็พูดเสียงต่ำ "ฉันจองตั๋วเครื่องบินแล้ว ฉันจะส่งหมายเลขสายการบินไปให้ ส่งรถไปรับฉันด้วย"
พอพูดเสร็จเหลาเอ้อก็วางสายไป
เซียติงหัวเราะอย่างไม่สนโลก "นี่พวกมันบ้าป่าวเนี่ย?"
หานปิงกับสาวสวยอีกคนต่างมองหน้ากัน
ซิงเฉิงหันหน้ากลับมาดื่มไวน์แดงในมือต่อแล้วก็ถอนหายใจออกมา มิตรภาพมันคืออะไรกันแน่?
คนบางคนค่อย ๆ ห่างออกไป หากแต่บางคนก็ยังอยู่ข้าง ๆ เสมอ