px

เรื่อง : The Strongest System จบแล้ว!!!
บทที่ 170 ชีวิตคนเรานั้น...อย่าอวดดีให้มันมากนัก


เมื่อเดินทางมาถึงเขตของนิกายชั้นใน หลินฟ่านก็สัมผัสได้ว่ามันช่างเงียบสงบอย่างมาก มันแตกต่างจากความคึกคักอักโขของเขตนอกเป็นกอง เหล่าศิษย์ีเดินไปเดินมามีให้เห็นน้อยคน ส่วนมากพวกจะนั่งบ่มเพาะพลังในบ้านพัก หรือไม่ก็ไปนั่งบ่มเพาะฝึกฝนสัมผัสกับธรรมชาติ ตามยอดเขาหรือน้ำตก

เมื่อมองไปยังเหล่าศิษย์สาวกที่ขยันขันแข็งเหล่านี้หลินฟ่านก็ไม่คิดไปรบกวนพวกมันแต่อย่างใด

ในขณะที่หลินฟ่านกำลังเดินไปตามทางเรื่อยๆเพื่อขึ้นไปยอดของของประมุขหยางนั้น เขาก็บังเอิญเจอซ่งเขิ่นเทียนกล่าวทักทายต้อนรับออกมา

"ข้าน้อยขอคารวะท่านประมุขน้อยหลิน!" เมื่อเห็นประมุขน้อยหลินเดินมา ซ่งเขิ่นเทียนรีบเข้าไปประสานมือคารวะอย่างเคารพทันที ตัวเขาไม่ได้เจอท่านประมุขน้อยหลินคนนี้มานานมากแล้ว ตั้งแต่กลับมาจากทำภารกิจครั้งสุดท้าย...

"ศิษย์น้องตามสบาย ดูจากท่าทีผ่อนคลายจนมาเดินเล่นเช่นนี้ ใช่เจ้ามั่นใจว่าจะได้รับชัยในการประลองศิษย์อัจฉริยะครั้งนี้รึเปล่า" หลินฟ่านกล่าวพร้อมหัวเราะออกมาเล็กน้อย

ซ่งเขิ่นเทียนเพียงแย้มยิ้มอย่างขวยเขิน "แหะๆ หามิได้ขอรับ ท่านประมุขน้อยอย่าได้กล่าววาจอหยอกเย้าข้าเลย นี่เพราะข้าไม่อาจสงบจิตใจได้จึงต้องออกมาเดินเล่นสงบสติอารมณ์ขอรับ"

"หืม? เจ้าจะไม่มั่นใจได้ยังไง การประลองชี้แนะยังไม่ได้เริ่มขึ้นเลย?"

"เอ่อ...เป็นความจริงนะขอรับ ข้าน้อยนั้นไม่มีความมั่นใจจริงๆนะขอรับ" ตอนนี้ตัวซ่งเขิ่นเทียนอยู่ในสภาวะกดดันอย่างมหาศาล การประลองชี้แนะกระชับมิตรครานี้ เขาเป็นดาวความหวังของเหล่าศิษย์น้องทุกคน ว่าจะสามารถมีผลล้ำเลิศ แต่ตัวซ่งเขิ่นเทียนนั้นรู้ตัวเองดีว่า ...ตนมีความสามารถและความพร้อมแค่ไหน เขาจึงไม่ค่อยมั่นใจสักเท่าไร

ตัวเขาเองนั้นก็มีส่วนร่วมการประลองชี้แนะเมื่อ 3 ปีที่แล้วเช่นกัน ทว่าครั้งนั้นตัวเขาแทบไม่ต่างจากตุ๊กตาหุ่นกระบอกให้อัจฉริยะของนิกาย 9 สวรรค์หยอกเย้าและเต้นเร่าๆกระทำไปตามที่มันต้องการแม้แต่นิด ถึงแม้ว่าเขาจะฝึกฝนอย่างหนักและทุ่มเทความพยายามอย่างมากในช่วงเวลา 3 ปีมานี้ แต่เขาไม่อาจกล่าวออกมาได้ว่ามีความมั่นใจจะได้รับชัยชนะครั้งนี้

"เอาล่ะ เจ้าเพียงแต่กระทำให้สุดความสามารถ อย่าได้ให้เสียใจภายหลังก็พอ...อ่อ จริงสิ เจ้าจะสามารถอธิบายความเป็นมาการประลองชี้แนะกระชับมิตรของศิษย์อัจฉริยะนี้ ให้ข้าประมุขฟังสักหน่อยได้หรือไม่?" หลินฟ่านเดินไปหาม้าหินก่อนที่จะนั่งสนทนากับซ่งเขิ่นเทียน

"ได้สิท่านประมุขน้อยหลิน คือว่ามันเป็นอย่างนี้ขอรับ...เรื่องราวมันต้องย้อนกลับไปเมื่อราวๆ 3,000 ปีที่แล้ว ในระหว่างห้วงแห่งความเป็นความตายครั้งหนึ่งในดินแดนต้องห้าม ประมุขของนิกายเม้งก่าเรา กับประมุขของนิกาย 9 สวรรค์ได้พานพบและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน จนสามารถฝ่าฟันอันตราย กลับกลายมาเป็นสหายร่วมเป็นร่วมตาย สนิทสนมกลมเกลียวกันอย่างมาก ยามนั้นระหว่างสองนิกายเรียกได้ว่ารักใคร่สมัครสมานดั่งนิกายพี่น้อง แต่ทว่า...อยู่มาวันหนึ่งกลับมีเด็กน้อยเอ่ยถามขึ้นมาว่า...แล้วศิษย์ของนิกายฝ่ายใดเข้มแข็งกว่ากัน? ...ซึ่งคำถามนี้กลับสร้างรอยร้าวเล็กๆระหว่างประมุขทั้งสอง ทั้งสองคนถกเถียงกัน ว่าศิษย์ของผู้ใดจักแข็งแกร่งกว่ากัน ต่างคนต่างมั่นใจในศิษย์มิอาจยอมลงแก่กัน...สุดท้ายก็ไม่อาจหาบทสรุปของข้อพิพาทนี้ได้ จึงจัดการประลองชี้แนะกระชับสัมพันธ์ขึ้นมาเช่นนี้ล่ะขอรับ" ซ่งเขิ่นเทียนร่ายยาวออกมารวดเดียวจบ

"อ้อ ที่แท้มีความเป็นมาแบบนี้ แล้วคนที่ชนะการประลองได้รางวัลอะไรหรือไม่" หลินฟ่านกล่าวถามออกมาด้วยความสงสัย ตามบทนิยายเดี๋ยวต้องได้ของเทพๆแน่นวล....

....

“ไม่มีรางวัลอันใดนะขอรับ” ซ่งเขิ่นเทียนส่ายหัว

หลินฟ่านชะงักไปครู่หนึ่ง เขาเอียงคอสงสัยออกมา ‘เอ๊าเชี่ย แล้วศิษย์มันจะพยายามกันไปทำปลวกอะไรวะเนี่ย เหนื่อยก็เหนื่อย เวลาตีกันเจ็บก็เจ็บ ไม่ได้อะไรติดไม้ติดมือเลย?’ ...

หลินฟ่านคิดในใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะกล่าวถามออกมาพร้อมส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ "แล้วเช่นนี้เหล่าศิษย์จะลงประลองไปเพื่ออะไรกันเล่า? ศิษย์ทั้ีงหลายจะทุ่มเทได้อย่างไรหากไม่มีของรางวัลเป็นแรงบันดาลใจ หรืออะไรกระตุ้นสักนิด?"

เมื่อได้ฟังคำถามของหลินฟ่าน ซ่งเขิ่นเทียนเพียงส่ายหัวไปมาอย่างรุนแรง ก่อนที่จะกล่าววาจาแก้ไข "นี่ไม่ใช่เรื่องของรางวัลหรือสิ่งตอบแทนอันใดขอรับท่านประมุขน้อยหลิน! นี่เป็นหน้าตาของนิกาย เป็นการประลองที่สำคัญอย่างยิ่ง เพื่อเกียรติและศักดิ์ศรี พวกเราต้องไม่พ่ายแพ้!!"

หลินฟ่านทำได้แต่มองไปยังสีหน้าและท่าทางจริงจังเป็นเอามากของซ่งเขิ่นเทียน เขาส่ายหัวออกมาอย่างช่วยไม่ได้ กับคำว่าเกียรติและศักดิ์ศรี...เพราะจากที่เขาเข้าใจนั้น เรื่องนี้มันไม่ได้มีอะไรมากไปกว่า คนแก่หนังเหี่ยวทะเลาะกันไปมาสุดท้ายต่างฝ่ายต่างงอแงไม่ยอมลง จนต้องจัดการประลองเลอะเทอะนี่ขึ้นมา... ‘ชิบหาย 3,000 กว่าปีไม่มีใครคิดได้เลยเหรอวะ!!’

แล้วเมื่อคิดว่ากินเวลาล่วงเลยมาถึงตอนนี้...ช่างเป็นเรื่องบัดซบเหลวไหลอะไรกัน!

“เอาล่ะๆ เจ้าเองก็สู้ๆ ทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ข้าหวังไว้อย่างยิ่งว่าเจ้าจะได้รับชัยชนะ” หลินฟ่านเพียงแย้มยิ้มและตบบ่าซ่งเขิ่นเทียนเบาๆ ให้กำลังใจ ก่อนที่จะลุกขึ้นยืนเตรียมจากไป

"ขอรับ! แน่นอนขอรับท่านประมุขน้อย! ข้าจะพยายามเต็มที่ให้ดีที่สุดขอรับ!!"

...

ตอนบ่าย…

เรือเหาะประจัญบานขนาดมหึมาก็ลอยลำเหนือน่านฟ้าของนิกายเม้งก่า

เหล่าศิษย์สาวกของนิกายเม้งก่าที่ยืนชมดูอยู่ด้านล่างต่างสนทนากันอย่างคึกคัก

สำหรับศิษย์บางคนนี่อาจจะเป็นครั้งแรกที่ได้พบกับเรือเหาะของนิกาย 9 สวรรค์ก็ตื่นเต้นและตกตะลึงไม่น้อย ส่วนบางคนที่เคยเข้าร่วมหรือชมดูการประลองชี้แนะกระชับมิตรเมื่อ 3 ปีที่แล้ว หรือปีก่อนๆ ก็ไม่ได้ตื่นเต้นอะไร

หลินฟ่านเองที่ยืนอยู่กลางฝูงชนก็อดที่จะถอนหายใจออกมาไม่ได้ หากมีคนกล่าวว่าไม่มีนิกายใดโด่งดังหรือยอดเยี่ยมกว่านิกายเม้งก่า หลินฟ่านเองก็อดไม่ได้ที่จะตักเตือนพวกมันว่าอย่ามั่นใจเกินไป... แค่ดูเรือเหาะประจัญบานที่พวกมันขนคนมา ก็ยิ่งใหญ่กว่าเรือเหาะประจัญบานชิงหมิงของนิกายเม้งกว่าไปมากกว่า 10 เท่าแล้ว หากเอาเรือเหาะมาจอดเทียบกันคงไม่ต่างอันใดกับเรือพ่อกับลูกอ่อน...

สำหรับผู้ที่รับผิดชอบการประลองกระชับมิตรครั้งนี้ เป็นปรมาจารย์อู่หยานั่นเอง

"ฮ่าๆๆ อู่หยานานแล้วมิได้พบเจอ ดูเหมือนพื้นที่ของนิกายเม้งก่าจะเล็กลงใช่หรือไม่? บนเรือเหาะประจัญบานมีชายชราเคราขาวคนหนึ่ง กล่าววาจาออกมาพร้อมเสียงหัวเราะ

หลินฟ่านที่มองดูอยู่อดไม่ได้ที่จะขุ่นเคืองขึ้นมา ไอแก่นี่ช่างอวดดีนัก! คำพูดแรกของมันก็เริ่มสะกดข่มกันเช่นนี้!

"โอ้ นานแล้วมิพบเช่นกัน พี่อี้ชู ดูเหมือนว่าท่านจะชราขึ้นไม่น้อย ฮาย...จริงสิ ท่านลงมาเองไหวหรือไม่ หรือต้องให้ข้าขึ้นไปรับ?" ปรมาจารย์อู่หยาเพียงยิ้มรับคำกล่าว ก่อนที่จะกล่าวสวนออกไปด้วยรอยยิ้ม

"ฮึ่ม ไม่จำเป็น" ผู้อาวุโสเหลียงอี้ชูแห่งนิกาย 9 สวรรค์ เพียงแค่เสียงก่อนที่จะสะบัดผ้าคลุมเล็กน้อย และลอยลงมาหาปรมาจารย์อู่หยา

ตอนนี้เป็นครั้งแรกที่หลินฟ่านได้เห็น ไอแก่ที่ปากดีเมื่อครู่ชัดๆ

ตัวมันก็ไม่ได้สูงหรือเตี้ยอะไรมากมาย แต่มันแก่ และก็ลงพุง ยามเดินพุงมันพุ้ยกระเพื่อมเล็กน้อย เหมือนกับคนท้อง 9 เดือน

หลินฟ่านที่ดูอยู่ก็เห็นว่าระหว่างที่ผู้อาวุโสชราเคราขาวนั่นกับปรมาจารย์อู่หยาจ้องหน้ากัน...ดูจะมีความในใจและเรื่องราวกันมิใช่น้อย

หลังจากที่จ้องมองกันอยู่นานที่สุดทั้งคู่ก็กอดกันพร้อมทั้งหัวเราะออกมาอย่างร่าเริง พวกเขาดูไปราวกับคู่หูอ้วนผอม อย่างไรอย่างนั้น

ย้อนกลับไปกาลก่อนนั้นสำหรับนิกายเม้งก่าและนิกาย 9 สวรรค์ จอย่างไรประมุขของทั้งสองนิกายก็เป็นเพื่อนตายที่ร่วมรบกันมา ถึงแม้มีเรื่องราวเช่นนี้แต่ความสัมพันธ์ก็ยังไมเปลียน แน่นอนว่าความสัมพันธ์ระหว่างนิกายก็คอยช่วยเหลือและดีกันมาตลอด ถึงแม้จะจิกกัดแขวะ แข่งขันกันบ้างก็ใช้ว่าจะถึงขั้นจงเกลียดจงชังกัน

แม้รุ่นก่อนจะตีกันไปบ้างแต่คนรุ่นใหม่ก็ใช่ว่าจะต้องทะเลาะกันจนหมด ตบตีบ้างสนิทสนมบ้างคลุกเคล้ากันไป

"เอาล่ะ พวกเจ้าลงมาได้แล้ว" เหลียงอี้ชูกล่าวออกมาพร้อมโบกมือเรือเหาะประจัญบานก็ค่อยๆลดระดับลงสุดท้ายเหล่าศิษย์ก็ทยอยกันลงมา แต่ละคนนั้นดูแข็งแกร่งและไม่ธรรมดา ตอนนี้พวกมันใช้สายตาแหลมคมหันไปสำรวจศิษย์ของนิกายเม้งก่า

"น้องอู่หยา เจ้าคิดเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้บ้าง?" เหลียงอี้ชูกล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้ม สำหรับเหล่าศิษย์สาวกรุ่นนี้ ตัวมันเองย่อมมีความภาคภูมิใจไม่น้อย ตอนนี้มันแสดงตัวเหล่าศิษย์ออกมาแล้วก็อยากได้ความเห็นของคนจากเม้งก่าด้วยเช่นกัน

ปรมาจารย์อู่หยา มองผ่านๆอย่างรวดเร็วโดยลูบเคราของเขาไปด้วย เขาไม่ได้กล่าววาจาอะไรออกมาครู่หนึ่ง ก่อนที่จะหัวเราะ "ไม่เลว ไม่เลว นับว่ามีต้นกล้าที่ดีไม่น้อย"

"น้องชายอู่หยา ไม่ใช่เจ้าเป็นคนใจกว้างหรอกหรือ? ข้าแน่ใจว่าพวกเขาหาใช้เพียงต้นกล้าที่ดีธรรมดา นา! " เหลียงอี้ชูกล่าวกระแนะกระแหนออกมาเล็กน้อย

ปรมาจารย์อู่หยาเพียงหัวเราะและไม่ได้กล่าวตอบอะไรออกไป อันที่จริงยามนี้เขารู้สึกอึดอัดใจไม่น้อย นี่เพราะเขาไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าเหล่าศิษย์ที่มาของนิกาย 9 สวรรค์ ครานี้นั้น ไม่ธรรมดาจริงๆ!

แต่หากนำพวกมันไปเทียบกับเมี่ยเฉิงฉีเมื่อ 3 ปีที่แล้วล่ะก็ พวกมันยังห่างไกลมากนัก...เพียงแต่เมี่ยเฉิงฉี...เฮ่อ

หลินฟ่านมองไปยังเหล่าศิษย์ของนิกาย 9 สวรรค์ที่ทยอยกันเดินลงมา เขาเองก็อดเห็นด้วยไม่ได้ ว่าพวกมันแข็งแกร่งไม่ธรรมดา

‘แต่พวกมันเป็นอะไรกันมากป่าววะ น่ะ?’

แต่ละคนไม่ยืนเก๊กท่าถูจมูกลูบคางเอียงคอเวยผม ก็เงยหน้ามองมองฟ้าทำตัวราวกับเป็นเจ้าของสถานที่อะไรอย่างนั้น ที่สำคัญพวกนี้ยังเอามือไพร่หลังทำตัวสูงส่งอีก! พวกมันจะวางอำนาจและแสดงความยโสโอหังมากเกินไปแล้ว!!

การกระทำหยิ่งยโสวางท่าของพวกมันนั้น ทำให้หลินฟ่านคันไม้คันมือ อยากทุบตีผู้คนไม่น้อย...อิฐในเป๋ามันสั่น!

เหล่าศิษย์สาวกของนิกายเม้งก่าเองก็เริ่มซุบซิบกันบ้างแล้ว

"พวกเจ้าดูไปที่ไอนั่นซี่ หน้าตาอุบาทว์แต่ยังเสยผมอยู่ได้ ทำท่าอวดดีเช่นนี้อีก ข้าอยากประเคนฝ่าเท้าของข้าให้ถึงปากมันยิ่งนัก!"

"ใช่แล้ว แล้วเจ้าดูนั่นซี่ไอบัดซบนั่นมันแหงนมองดูดาวแต่หัววันหรือไร เงยซะคอแทบหักอยู่แล้ว! มันจะหยามนิกายเม้งก่าเราเกินไปหรือไม่ นรก!"

“ไอบัดซบแหงนคอนั่นไม่เท่าไร เจ้าดูไอหน้าปลากะโห้ชนโขดหินนั่นซี่ มันจักลูบคางอันใดนักหนา มันคันมากหรือไร! น่าไปเสยคางมันสักป๊าบนัก”

"ฮึ่มปล่อยให้พวกมันว่างท่ากันไปก่อนเถิด เมื่อการแข่งเริ่มต้นขึ้น พวกเราจะได้เห็นศิษย์พี่สายในอันเก่งกาจของพวกเราเล่นงานพวกมันจนย่อยยับ เหล่าศิษย์พี่จะสั่งสอน และทำให้พวกมันรู้ว่าสมควรกระทำตัวเยี่ยงไร!"

...

"น้องอู่หยาข้าจะแนะนำศิษย์ส่วนตัวของข้า... ชิงฟง! เจ้ามาทำความเคารพอาวุโสอู่หยาเร็ว!" เหลียงอี้ชูกล่าวตะโกนออกมา พร้อมหันหน้าไปหาเหล่าศิษย์ที่อยู่ด้านหลังของเขา

ศิษย์ที่ยืนอยู่แถวหน้าของนิกาย 9 สวรรค์คนหนึ่ง หน้าตาหล่อเหลาราวหยกเนื้อดี ดูสง่างามไม่น้อย แม้มันจะก้าวเสมือนช้าเพียงก้าวเดียว แต่ทว่าเพียงพริบตากลับวูบมาอยู่ตรงหน้าของปรมาจารย์อู่หยา

วิชายุทธ์ราวกับ วิชาก้าวพริบตา,ตัดธรณี หรือ ย่นย่อพสุธา เช่นนี้ เป็นวิชาท่าร่างที่ระดับสูงล้ำไม่น้อย

"ชิงฟง มาทำความคารวะอาวุโสอู่หยา"

"อืม" ชิงฟงมองไปยังปรมาจารย์อู่หยา ก่อนที่จะพยักหน้าลงเล็กน้อย

"อ่า น้องชายอู่หยา ข้าต้องขออภัยเจ้าอย่างยิ่ง อารมณ์ของศิษย์ข้าคนนี้ก็เป็นซะอย่างนี้ ไม่ว่าข้าจักพยายามแก้ไขสักเท่าไรก็มิอาจแก้ได้เสียที ขายหน้าแล้ว" เหลียงอี้ชูกล่าวออกมาพร้อมหัวเราะเบาๆ แต่ความหมายในวาจาเขาก็คือ ‘แล้วจะอย่างไรหากศิษย์ข้าหยิ่ง? มันเป็นของมันเช่นนี้ เจ้าข้องใจหรือไม่เล่า!’

ปรมาจารย์อู่หยาเพียงหัวเราะเท่านั้น เขาไม่ได้คิดใส่ใจเอาความอะไรกับผู้เยาว์เช่นนี้สักนิด

แต่นั่นไม่ใช่กับหลินฟ่านที่ยืนมองอยู่ด้านข้างตั้งแต่แรก ตอนนี้เขารู้สึกเหมือนเลือดในกายมันสูบฉีด ในอกเสมือนมีอาชาเหงื่อโลหิตพุ่งทะยานย่ำกีบอยู่ในหัวใจ ‘เชี่ย ทำเป็นเข้ม เจ๋งนักเหรอ ไอเวรนี่มันกล้าทำท่าอวดดีหน้าพี่ประมุขได้ยังไง’

ไอเด็กนี่มันต้องโดนสั่งสอนบทเรียนชีวิตสักหน่อยแล้ว!

มันต้องเรียนรู้ว่า ชีวิตคนเราบางทีก็อย่าอวดดีให้มันมากนัก!

รีวิวผู้อ่าน