LS ตอนที่ ๑๖ จื่อเผยร่ำเรียนวิชา
นายท่านไม่ได้รังเกียจที่สตรีในครอบครัวได้อ่านได้เขียนหรอกหรือ? ทำไมจู่ ๆ เขาถึงเปลี่ยนใจให้เอ้อร์หยารำเรียนวิชาและยังเชิญอาจารย์มาสอนนางเป็นพิเศษอีกด้วย? เรื่องนี้...เรื่องนี้มันน่าขันนัก!
“คุณหนูสองฉลาดและเรียนรู้ไว นายท่านเอ่ยชมนางตลอดเลยเจ้าค่ะ! พูดกันว่าฮูหยินหนึ่งอบรมสั่งสอนบุตรสาวมาดีด้วยนะเจ้าคะ”
แม่บ้านส่วนตัวสังเกตสีหน้าของฮูหยินหนึ่งราวกับยินดีไปกับนาง แม้ฮูหยินหนึ่งจะไม่ชอบคุณหนูสองในอดีต แต่ตอนนี้คุณหนูสองกลายเป็นที่โปรดปรานของนายท่านแล้ว แม่บ้านก็คิดว่าฮูหยินหนึ่งน่าจะมีความคิดที่เปลี่ยนไป
นางมองลงต่ำและเห็นว่าจูเหยียนกำลังโกรธขึ้งและมองนางด้วยความโมโห นางหวาดกลัวจนยืนนิ่งอ้าปากค้าง นางไม่รู้จริง ๆ ว่าตนเองพูดอะไรผิดไป
“ดูเหมือนนายท่านจะไม่รู้ว่าเอ้อร์หยาไม่ใช่บุตรสาวของเขานะ” จูเหยียนเอ่ยขณะหวีผมช้า ๆ ใบหน้าในกระจกสำริดดูมืดครึ้ม
นางใช้จ่ายเงินเป็นจำนวนมากในครั้งสุดท้ายที่ออกไป แต่ก็ยังไม่สามารถหาที่มาของหยกได้ ร้านที่เคยสร้างหยกขึ้นมาได้ย้ายไปแล้วและนางก็ไม่รู้ว่ามันย้ายไปที่ไหน
เงินของนางไม่พอที่จะหาที่มาของหยกได้แล้ว
“แต่เอ้อร์หยาไปโน้มน้าวนายท่านให้นางได้เรียนได้อย่างไรกัน? ข้าพยายามหลายครั้งแล้วเขาก็ไม่ฟังข้า ข้าทำได้เพียงให้จื่อเผยเรียนตามลำพัง เขาไม่อยากแม้กระทั่งให้จื่อเผยอ่านออกเขียนได้...แต่ทำไมเอ้อร์หยาถึงมีคุณสมบัติได้นั่งในชั้นเรียนและได้ร่ำเรียนล่ะ!”
เป๊าะ!
หวีหักเป็นสองส่วน และแม่บ้านที่อยู่ข้างกายนางก็กลั้นหายใจมองด้วยความหวาดผวา ทำไมฮูหยินหนึ่งถึงโกรธเกรี้ยวนัก?
“จื่อเผยอยู่ที่ไหน?”
“ฮูหยินเจ้าคะ คุณหนูสามถูกคุมตัวมาสี่เดือนแล้ว และนางก็ยังออกไม่ได้จนกว่าจะถึงพรุ่งนี้”
จูเหยียนขบฟันขาวและหัวใจก็เต้นแรง เกิดอะไรขึ้นกับนางในตอนนี้เนี่ย? มีใครต่อต้านนางอยู่หรือ?
ในตอนเย็น จูเหยียนโกรธมากจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ นางสั่งให้คนเปิดประตูและพาซูจื่อเผยออกมาในเช้าวันรุ่งขึ้น
“ข้าอยู่ที่นี่แล้วทรมานเหลือเกิน! ซูเอ้อร์หยาอยู่ที่ไหน? ข้าจะไปฆ่านาง!”
ซูจื่อเผยดูราวกับหญิงเสียสติผู้มีเผ้าผมยุ่งเหยิง นางถูกคุมขังอยู่สี่เดือนและมองหาใครสักคนมาระบายอารมณ์โกรธของนาง
เมื่อจูเหยียนเห็นสภาพน่าสงสาสารของบุตรสาว นางก็ตัวสั่นเทิ้มด้วยความโกรธและตวาดเกรี้ยวกราด “แม่บ้าน ไปช่วยนางแต่งตัวสิ ดูสภาพตัวเจ้าสิ ไม่รู้สึกสมเพชหรือไง?”
“ท่านแม่ ท่านอยู่นี่เอง! ทำไมเดือนนี้ท่านไม่มาเยี่ยมข้าล่ะเจ้าคะ?” ซูจื่อเผยลดท่าทีคุกคามลงเมื่อเห็นมารดาของตนพลางร้องไห้โฮ
จูเหยียนถอนหายใจและกุมมือบุตรสาวไว้ พานางกลับไปที่ห้อง นางกระซิบ “ข้ากำลังทำเรื่องบางอย่างให้เจ้าอยู่ ถ้าเรื่องนี้สำเร็จ เจ้าก็จะทำอะไรได้ทุกอย่าง แม้กระทั่งอภิเษกกับองค์จักรพรรดิ”
เมื่อจูเหยียนเล่าข่าวให้ซูจื่อเผยฟัง ฝ่ายหลังก็ฟังด้วยดวงตากลมโตเบิกกว้างและหยุดร้องไห้ “จริงหรือเจ้าคะ?”
“แน่นอนสิ รีบแต่งตัวเร็วเข้า เราจะไปพบพ่อของเจ้าหลังจากนี้”
เมื่อนางแต่งตัวแล้ว ซูจื่อเผยที่ไม่รู้อะไรเลยในสี่เดือนแห่งการถูกคุมขังก็ได้รับรู้ในที่สุดว่าพี่สาวสองของนางได้รับอนุญาตจากท่านพ่อให้เล่าเรียนวิชาอย่างเปิดเผย
“ข้ายุ่งวุ่นวายอยู่กับเจ้าจนไม่รู้ว่ามีใครบางคนฉวยโอกาสนี้ไป แต่ไม่สำคัญหรอก ในเมื่อเอ้อร์หยาเรียนได้ เจ้าก็สามารถเข้าชั้นเรียนได้เหมือนกัน เจ้าไม่ต้องหลบซ่อนอีกต่อไปแล้ว และเจ้าก็ฉลาดกว่าเอ้อร์หยาหลายเท่า”
จูเหยียนปลอบบุตรสาวด้วยเสียงนุ่มนวล
ซูเอ้อร์หยาเป็นเพียงสาวใช้ที่ทำงานหนักเท่านั้น จื่อเผยได้รับการฝึกฝนตนอย่างเรียบร้อยตั้งแต่ยังเด็ก นางจะกลายเป็นองค์หญิงแสนสวยในภายภาคหน้าอย่างแน่นอน
“แต่พี่สาวสองของข้า...นางได้นั่งในชั้นเรียนเดียวกับข้าได้อย่างไรเจ้าคะ? ไม่ยุติธรรมเลย!”
ดวงตาของซูจื่อเผยเป็นสีแดงอีกครั้ง และนางก็รู้สึกผิดหวังอย่างมาก
“ข้ารู้ว่ามันไม่ยุติธรรม แต่พ่อของเจ้าเหมือนคนมีตาแต่หามีแววไม่!” จูเหยียนมองซูจื่อเผยที่แต่งตัวเสร็จแล้ว และพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “ไปพบและพูดคุยกับพ่อของเจ้ากันเถอะ!”
ซูฮ่วนหลี่กำลังง่วนอยู่กับการตรวจสอบบัญชีร้านผ้าไหม และทันใดนั้นเองเขาก็ได้ยินเสียงพ่อบ้านชราจากด้านนอก
“นายท่าน ฮูหยินหนึ่งกับคุณหนูสามมาหาขอรับ”
ซูฮ่วนหลี่หยุดตวัดพู่กันในมือและย่นคิ้วมุ่น วันนี้เป็นวันที่ครบกำหนดคุมขังสี่เดือนสินะ จื่อเผยถึงออกมาได้
“ท่านพี่ ข้านำเงินมาจากตระกูลของแม่ข้าตั้งมากมายเลยเจ้าค่ะ มันสามารถอุดช่องโหว่ที่เสียไปของร้านผ้าไหมได้นะเจ้าคะ”
จูเหยียนจับจุดอ่อนของซูฮ่วนหลี่ได้ในประโยคแรกนับตั้งแต่ก้าวเข้าประตู
ได้ยินว่าเงินทุนมีพร้อมแล้ว ซูฮ่วนหลี่ก็ตัดสินใจไม่ตรวจบัญชีอีกต่อไป เขาเห็นซูจื่อเผยประสานมือเล็ก ๆ ยืนอยู่ด้านหลังจูเหยียน เห็นเด็กสาวมีท่าทีสง่างามผูดผ่องพร้อมรูปโฉมงดงาม อารมณ์ขุ่นเคืองของเขาก็หายไป
“เอาล่ะ งั้นเรื่องในอดีตก็แล้วกันเสียเถอะ” ซูฮ่วนหลี่เปลี่ยนที่นั่งและนั่งลง พ่อบ้านชราชงชาอย่างระมัดระวังและส่งให้กับเขา “เจ้าเพิ่งกลับมาจากตระกูลของแม่เจ้า ทำไมถึงรีบมาพบข้านัก?”
“ท่านพ่อ! ข้า...ข้าอยากร่ำเรียนตำราเจ้าค่ะ” ซูจื่อเผยโค้งศีรษะและกระซิบด้วยใบหน้าเล็กแดงซ่านน่าเอ็นดู
“ท่านพี่ เอ้อร์หยาเพิ่งเริ่มเล่าเรียน ท่านไม่สามารถปฏิบัติต่อเด็กสองคนด้วยสองมาตรฐานนะเจ้าคะ ไม่อย่างนั้นแล้วพี่น้องทั้งสี่ก็จะได้ร่ำเรียนกันหมดยกเว้นจื่อเผย และจื่อเผยก็จะเสียเกียรติหากนางเล่นด้วยกันกับพวกเขาในภายหน้า”
“เจ้ามาเพราะเรื่องนี้นี่เอง”
ซูฮ่วนหลี่คลายคิ้วและเอ่ยขึ้น “ข้าสั่งให้พ่อบ้านไปเชิญอาจารย์มาสอนแล้วตั้งชั้นเรียนขึ้นในเรือนตะวันออก จื่อเผยอยากอ่านออกเขียนได้ก็จงไปเรียนรู้ที่นั่น เหลือแค่...อย่าดื้อกับอาจารย์แล้วกัน ตกลงไหม?”
ซูจื่อเผยไม่คิดเลยว่าท่านพ่อของนางจะเห็นด้วยอย่างง่ายดาย นางตอบรับอย่างลิงโลด “เจ้าค่ะท่านพ่อ!”
จูเหยียนสงบใจลงอย่างมากเช่นกัน ดูเหมือนว่านายท่านจะเห็นด้วยกับการปล่อยให้สตรีได้ร่ำเรียนเนื่องจากอะไรบางอย่างที่เขาเพิ่งประสบมาไม่นาน ไม่ใช่เพราะเอ้อร์หยา
หลังจากทั้งคู่ออกไป พ่อบ้านชราก็ยิ้มและกระซิบ “ความเป็นจริงแล้ว ท่านวา่งแผนได้ฉลาดอย่างยิ่งขอรับ นายท่าน ดังนั้นจะไม่มีใครสงสัยในตัวคุณหนูสองเลย”
ใบหน้าของซูฮ่วนหลี่ดูไร้อารมณ์ และความกลัวของเขาก็สลายหายไป “ในเมื่อจูเหยียนไม่ได้กลับไปที่ตระกูลของแม่นาง แล้วนางไปที่ไหนกัน?”
“ฮูหยินหนึ่งช่างรอบคอบนัก ข้าไม่เห็นนางจะไปที่ไหนเป็นการพิเศษเลยขอรับ”
ซูฮ่วนหลี่ถอนหายใจยาวกับความจริงที่ว่าเขาต้องระวังตัวแม้กระทั่งครอบครัวของเขาเอง เขาเหนื่อยกับเรื่องนี้เหลือเกินแล้ว
ในที่สุดรอยยิ้มบริสุทธิ์สดใสของซูเอ้อร์หยาก็ผุดขึ้นในใจ ความหดหู่ในในของเขาหายไปครู่หนึ่ง และริ้วแห่งความผ่อนคลายก็ปรากฏบนใบหน้าของเขา
“จื่อเผยเรียนรู้จากแม่ของนางมามาก แล้วนางก็เอาดีด้านคำนวณ ขณะที่เอ้อร์หยานับว่าพอใช้”