ปรมาจารย์อู่หยาได้ฟังก็หันไปมองหน้าปรมาจารย์ท่านอื่น ท่านอื่นๆก็กำลังมองคนรอบๆเช่นกัน พวกเขาย่อมเข้าใจเจตนารมณ์ของประมุขหยางดี จะอย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องหลีกเลี่ยงไม่ได้ คนเราจะอย่างไรวันนึงก็ต้องออกเดินทาง มิเช่นนั้นก็ไร้วันก้าวหน้า
ในเมื่อมาถึงยามนี้เรื่องราวก็มิอาจหลีกเลี่ยง ประมุขหยางจึงเรียกพวกเขามาเพื่อหวังจะให้แต่ละคนเสียสละสิ่งของบางอย่าง
"เอาล่ะพี่น้องทั้งหลาย พวกเรามารวบรวมสิ่งของเพื่อให้หลินฟ่านนำไปใช้เพื่อป้องกันตัวกันเถิด สำหรับข้า ข้าจะมอบ ผ้าคลุมแก่นแท้หลอมพลัง ของข้าที่สามารถป้องกันการโจมตีทุกอย่างที่มีระดับพลังต่ำกว่าสวรรค์อมตะได้อย่างสมบูรณ์ ด้วยของชิ้นนี้ข้าคิดว่าหลินฟ่านคงท่องไปทั่วทวีปตงหลินได้อย่างไร้กังวล " ปรมาจารย์อู่หยากล่าวจบคำก็สะบัดมือเล็กน้อย ก่อนห้วงอากาศเหนือศีรษะเขาจะบังเกิดรอยแยก ผ้าคลุมงดงามผืนหนึ่งทอประกายระยิบระยับดั่งสายธารดาราพลันพลิ้วแผ่วลอยลงมาสู่มือเขาอย่างช้าๆ
"ศิษย์พี่อู่หยาช่างใจกว้างยิ่งนัก เนื่องจากหนุ่มน้อยผู้นี้ถึงกับได้รับมรดกสืบทอดเลิศล้ำจากท่านบรรพบุรุษผู้ก่อตั้งเช่นนี้ ข้าคงไม่อาจตระหนี่ได้แล้ว เช่นนั้นข้าจะมอบ อสรพิษกลืนสวรรค์ ให้ไปเป็นคู่หูคอยติดตามเขา " ปรมาจารย์ของขุนเขาเช่าเฟิงกล่าวออกมา พร้อมสะบัดเสื้อคลุมเล็กน้อยก่อนที่จะปรากฏอสรพิษสีแดงฉานนอนขดอยู่บนฝ่ามือ แม้ตัวมันจะเล็กกระจ้อยแต่กลิ่นอายที่แผ่นั้นอาจจะสังหารผู้ฝึกตนระดับสู่สวรรค์อมตะได้อย่างง่ายดาย
อสรพิษสีแดงชาติตัวนี้ได้รับการฝึกฝนและเรียกพลังซ่อนเร้นที่อยู่ในสายเลือดออกมา จนมันมีความแข็งแกร่งแทบจะเท่าเทียมกับบรรพบุรุษของมันในยุคบรรพกาลแล้ว เมื่อปรมาจารย์แห่งขุนเขาเช่าเฟิง นำมันออกมานี่ย่อมแสดงให้เห็นถึงความจริงใจอย่างถึงขีดสุด
...
ประมุขหยางเห็นเหล่าศิษย์น้องทั้งหลายล้วนเอาของล้ำค่าประจำกายออกมาระดมทุนเพื่อมอบให้หลินฟ่านนำไปใช้ในระหว่างเดินทาง ก็พลันแย้มยิ้มออกมาด้วยความสุขเมื่อเห็นว่าเหล่าพี่น้องของเขานั้นรักใคร่และจริงใจต่อกันถึงเพียงไหน ตั้งแต่ที่หลินฟ่านได้รับสืบทอดขวานนิรันดร์ของบรรพบุรุษผู้ก่อตั้งไปแล้วพวกเขาต้องมั่นใจให้มากเข้าไว้ ว่าจะไม่มีอันตรายใดๆเกิดขึ้นระหว่างเดินทาง ด้วยสิ่งของวิเศษอันเป็นสมบัติชั่วชีวิตของเหล่าปรมาจารย์หลายคนเช่นนี้ แม้นหลินฟ่านจะไปเผชิญหน้ากับผู้ฝึกตนระดับ สวรรค์อมตะ โอกาสรอดก็ยังมีสูง มิหนำซ้ำยังมีความสามารถพอที่จะสังหารศัตรูกลับได้อีกด้วย!
โดยเฉพาะอย่างยิ่งอสรพิษกลืนสวรรค์สีแดงชาดของปรมาจารย์แห่งขุนเขาเช่าเฟิง นั้นสายเลือดของมันนับว่าใกล้เคียงบรรพบุรุษของมันอย่างถึงขีดสุด และระดับบ่มเพาะของมันอยู่ในขีดขั้น สวรรค์อมตะขั้นสูงแล้ว! เช่นนั้นมั่นใจได้เลยว่ามันสามารถปกป้องคุ้มครองหลินฟ่านได้อย่างแน่นอน
...
ส่วนทางด้านหลินน้อยผจญโลกกว้างนั้น ก็กำลังสนุกสนานอยู่กับการควบขี่สัตว์อสูรที่ได้ใช้สกิล เทรนเนอร์ ฝึกมันมา เขากำลังควบขี่ท่องทะยานไปด้วยความเร็วสูงมุ่งหน้าไปยังทิศทางหนึ่งที่เขาได้ตั้งเป้าหมายเอาไว้แล้ว
แน่นอนว่าสถานที่แห่งนั้นย่อมเป็นทิศทางที่ แผนที่ขุมทรัพย์ 7 เซียนศักดิ์สิทธิ์ ระบุเอาไว้
และจุดหมายปลายทางแรกของการผจญภัยมุ่งสู่หนทางแห่งความยิ่งใหญ่ของหลินน้อยเราก็คือ วังวนนรกมอดไหม้
"เร็วอีกๆ ขี้เกียจพ่อหวดตูดลายนะเฟ้ย!" หลินฟ่านกล่าวตะโกนออกมาอย่างสนุกสนาน ส่วนอีกมือก็ฟาดหวดแส้ในมือใส่ตูดของสัตว์อสูรโชคร้ายรัวๆ
สัตว์อสูรทำได้เพียงวิ่งด้วยเรี่ยวแรงสุดชีวิตพุ่งทะยานไปด้านหน้าด้วยน้ำตา
ในตอนแรกนั้นด้วยความหิวโหยจึงหวังให้มนุษย์เบื้องหน้าเป็นอาหารเติมเต็มท้องที่ว่างเปล่า ผู้ใดเล่าจะรู้ว่าสุดท้ายชีวิตมันต้องพลิกผันมาเป็นสัตว์พาหนะอาภัพเช่นนี้!
มันทำได้เพียงตั้งหน้าตั้งตาวิ่งไปอย่างโง่ๆด้วยความเร็วดุจสายลม
หลินฟ่านที่ควบขี่อยู่ ก็เผยรอยยิ้มกว้าง อย่างชื่นมื่นออกมา
เหตุผลเดียวที่ต้องเร่งรีบจากนิกายรวมทั้งแอบออกมาโดยไม่ให้ประมุขหยางรู้นั้นเพื่อไม่ให้ประมุขหยางมาพาตัวเขากลับไปได้ เพราะเขารู้ว่าผลการหารือระหว่างประมุขหยางและเหล่าปรมาจารย์คนอื่นๆนั้น ต้องได้ข้อสรุปทเป็นการ กักตัวเขาไว้อย่างแน่นอน!
และด้วยระดับบ่มเพาะแสนน้อยนิดในปัจจุบันของเขาย่อมไม่อาจต้านทานความตั้งใจของพวกระดับสูงๆเหล่านั้นได้ เช่นนั้นเขาต้องชิงลงมือก่อน! โดยการหนี…หนีไปให้ไกลโดยไม่ให้ผู้ใดล่วงรู้
‘เมื่อพี่ประมุขเทพมะไหร่ จะกลับมาโชว์พลังให้พวกลุงๆ ได้รู้ จากมาด้วยใจตั้งมั่นฟันฝ่าอุปสรรค แล้วหวนกลับไปอย่างยิ่งใหญ่ ไสตล์หลินฟ่าน อุวะฮ่าฮ่าฮ่า’
รัตติกาลคืบคลานมาเยือน ...
มองไปยังแผนที่ก่อนที่จะนิ่งดูทิศทางสักครู่ หลินฟ่านก็ยังควบตะบึงต่อไป สัตว์อสูรที่จับมานั้นแม้มันจะดูอ้วนๆ แต่มันกลับสามารถเดินทางได้นับพันลี้ต่อวัน
นิกายเม้งก่า ...
ประมุขหยางได้หอบสิ่งของล้ำค่ามากมายที่รวบรวมได้จากเหล่าปรมาจารย์เดินทางไปขุนเขาไร้นาม ด้วยใจหมายมั่น
แม้ว่าเขาและเหล่าปรมาจารย์ทั้งหลายจะไม่ค่อยเต็มใจให้หลินฟ่านออกไปฝึกฝนผจญภัยสักเท่าไร แต่นั่นก็เป็นสิทธิ์ของหลินฟ่าน พวกเขาทำได้เพียงเสริมสร้างความปลอดภัยให้แก่หลินฟ่านมากที่สุด
เมื่อประมุขหยางเดินทางมาถึงขุนเขาไร้นาม ก็ได้พานพบกับซั่งเอ้อกั๋ว รวมทั้งได้รับรู้ว่าหลินฟ่านนั้นออกไปตั้งแต่เมื่อวานแล้ว….ประมุขหยางจึงทำได้เพียงยืนเหวอ อ้าปากค้างไร้คำจะกล่าวราวตัวโง่งม …กา กา …..
บัดซบ นรก!
……
หลังจากที่หลินฟ่านควบสัตว์อสูรพ้นเขตของนิกายเม้งก่ามานั้น สิ่งแรกที่เขาพบเจอก็คือทะเลทรายกว้างใหญ่สุดไพศาล มีเพียงฝุ่นทรายตลบอบอวลคละคลุ้งในอากาศยามสายลมโชยพัด หลินฟ่านเพียงมุ่งหน้าไปตามทิศทางที่แผนที่บอกกล่าวเอาไว้อย่างแน่วแน่
ดูเหมือนว่าสถานที่แรกหลังจากที่เขาได้มาเยือนหลังออกจากนิกายก็คือ …ทะเลทรายแห่งความตาย
"เอ๊า ไออ้วนเป็นไร ไปต่อซี่!" หลินฟ่านทุบตีสัตว์อสูรที่อยู่ๆก็หยุดวิ่งล้มฟุบลงไป
แต่สัตว์อสูรนั้นยังไม่เคลื่อนไหวอะไร มันเพียงส่งเสียงแอ๊วๆโอดครวญออกมาพร้อมฟุบหมอบลงไป มันหันมามองหลินฟ่านด้วยสองตากลมโตสดใสเป็นประกาย เจือไปด้วยหยาดน้ำใสๆเอ่อคลอ ใบหน้ามันสั่นระริก หากมันกล่าววาจาได้คงบอกกล่าวว่า พี่ชายนู๋กลัว นู๋ไม่เข้าไปนะ …นี่เพราะทะเลทรายแห่งความตายเบื้องหน้านั้นสำหรับมันไม่ต่างอะไรกับนรก ที่เข้าไปแล้วต้องตกตาย
เมื่อมองไปยังดวงตาที่เต็มไปด้วยความอ้อนวอนหลินฟ่านก็ถอนหายใจออกมา "เฮ่อ งั้นจะไปไหนก็ไปไป๊"
หลินฟ่านตอนแรกก็คิดจะทุบมันให้ตายเพื่อเก็บค่า EXP แต่จะยังไงเจ้าสัตว์อสูรตัวนี้ก็อุตส่าห์พาเขาวิ่งมาไกลถึงขนาดนี้ แม้ความชอบจะน้อยแต่ก็ถือว่ามันพยายามช่วยเหลือเขาได้พอสมควร เช่นนั้นหลินฟ่านจึงไว้ชิวิตน้อยๆของมัน
แอ๊ววว! แอ๊ววว!
สัตว์อสูรร้ายลุกขึ้นมายืนตาแป๋วคลอเคลียกับหลินฟ่านด้วยความซึ้งใจ ก่อนที่มันจะรีบห้อตะบึงจากไปทันทีเพราะกลัวหลินฟ่านเปลี่ยนใจ ผ่าร่างมันออกเป็นสองส่วน …มันวิ่งจากไปพร้อมความดีใจ ใบหน้าลูกเมียของมันผุดขึ้นมาในห้วงคำนึง และสาบานต่อจากนี้จะกินแต่ผัก ผันตัวเป็นสัตว์อสูรมังสวิรัต ไม่คิดกินเนื้อมนุษย์อีกต่อไป
หลินฟ่านยืนมองทะเลทรายแห่งความตายเบื้องหน้าอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ สองเท้าขยับก้าวพร้อมฟันที่ขบกัดดังกรอดๆ
พายุทรายทวีความรุนแรงอยู่เบื้องหน้า หลินฟ่านเพียงมุงหน้าเดินฝ่า แล้วร่างของหลินฟ่านก็ค่อยๆหายไปในพายุทราย
"แม่งนรกเถอะ ที่นี่ทำไมมันฝุ่นเยอะขนาดนี้โอย ถ้ารู้ว่าจะเจอแบบนี้ จะได้เตรียมผ้าแบบพวกอาบังมาคลุมหัวสักหน่อยกันทราย" หลินฟ่านบ่นพึมพำเล็กน้อยในขณะที่ก้าวเดินต่อไป เขามองไปรอบๆและคิดว่าทะเลทรายแห่งความตายนี้สมควรมีอันตรายไม่ต่างอะไรไปจากพื้นที่ต้องห้ามที่อื่นๆ
มีกลุ่มสัตว์ประหลาดๆ อยู่ในทะเลทรายเต็มไปหมด และหากมองให้ดี ดูเหมือนมันจะไม่ใช่สัตว์ธรรมดาๆ
หากตามประวัติที่บันทึกไว้ของนิกายเม้งก่า ทะเลทรายแห่งความตายนี้ สมควรเป็นหนึ่งในสถานที่ต้องห้ามเช่นกัน เหล่าศิษย์สาวกที่มีระดับต่ำกว่าก่อเกิดไม่ควรเข้ามาอย่างยิ่ง เพราะอาจทำให้ตกตายได้อย่างไม่รู้ตัว
หากจำเป็นต้องฝึกซ้อมหรือทำภารกิจอะไรในที่แห่งนี้ คงต้องอาศัยการมาเป็นกลุ่มใหญ่ๆเท่านั้น
ยิ่งเดินเข้าไปลมพายุทะเลทรายยิ่งหนักหนาขึ้น หลินฟ่านทำได้เพียงยกขวานนิรันดร์อันใหญ่ขึ้นมาบังลมด้านหน้าเพื่อไม่ให้ทรายเข้าตา
ทันใดนั้นเองพื้นทรายใต้เท้าของหลินฟ่านพลันมีแรงสั่นสะเทือนบางอย่าง ราวกับมีอะไรบางสิ่งเคลื่อนไหวใต้ผืนทราย
แซกๆ
เสียงนี้มันดังขึ้นมาอย่างแผ่วเบา ด้วยพายุทรายที่อยู่รอบๆ ทำให้เสียงนี้ถูกกลบจนไม่เหลือมาถึงหูหลินฟ่าน มันยากที่ใครจะสามารถแยกออกได้ว่าเป็นเสียงของบางสิ่งใต้ผืนทราบ หรือเสียงลม
หลินฟ่านก้าวไปข้างหน้าอีกเพียงไม่กี่ก้าวผืนทรายด้านหน้าพลันสั่นไหว ก่อนที่จะมีตะขาบยักษ์ตัวเขื่องสูงเท่ามนุษย์ผุดขึ้นมาอย่างกะทันหัน ขายุบยับนับร้อยอยู่ห่างใบหน้าหลินฟ่านเพียงหนึ่งไม้บรรทัด ชวนให้รู้สึกขนลุกอย่างถึงที่สุด
“ว๊ากกกกกกกกกกก” หลินฟ่านสะดุ้งตกใจเพราะอยู่ๆก็เจอภาพสยองชวนคายของเก่า ขวานนิรันดร์ในมือหวดฟาดสะบัดออกไปอย่างลืมตัว
'ติ๊ง!! ... ขอแสดงความยินดีในการเอาชนะ สัตว์อสูรระดับ ก่อเกิดขั้นสูง'
'ติ๊ง!!... EXP+100,000'
...
เมื่อได้ยินเสียงแจ้งเตือนจากระบบหลินฟ่านพอได้หายใจเข้าปอดลึกๆ…ขวัญเอ๊ย…ขวัญมา
"ไอร้อยขาสารเลว บังอาจทำพี่ประมุขตกใจ!" หลินฟ่านเอาขาเหยียบร่างมันก่อนที่จะดึงขวานนิรัดร์ที่สับคาหัวของมันออกมา
หลินฟ่านมองไปยังแมลงที่นอนตายที่พื้นก่อนที่จะนิ่งคิด 'อันตรายชิบ ... !'
ถึงแม้ว่าสัตว์อสูรตัวนี้จะไม่ได้ร้ายกาจอะไรมากมาย แต่ทะเลทรายแห่งความตายนี้มันนับได้ว่ามีอันตรายค่อนข้างมาก เนื่องจากสัตว์อสูรพวกนี้มันซ่อนตัวอยู่ใต้ผืนทราย และโผล่ออกมาจู่โจมอย่างกระทันหันทำให้นักเดินทางยากที่จะรับมือ
‘หากไม่ใช่เพราะคนอย่างพี่ประมุข มีความสามารถพอตัว เป็นคนอื่นนี่ซวยแล้ว ’
...
ภายในทะเลทรายแห่งความตาย อีกด้านหนึ่ง ...
หากมองไกลจะพบว่ามีเส้นดำๆลากยาวเส้นหนึ่งกำลังข้ามฝ่าทะเลทราย …แต่เมื่อมองใกล้จะพบว่าเป็นกองคาราวานเดินทางของกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง
การเดินทางในทะเลทรายแห่งความตายนี้ สามารถเคลื่อนขบวนไปข้างหน้าได้ด้วยความเร็วที่ไม่สูงมากนัก
ทันใดนั้นเสียงตะโกนดังลั่นเสียงหนึ่งพลันดังขึ้นมาจากกลางคาราวาน...