px

เรื่อง : การต่อสู้ชิงบัลลังก์ในเงามืดของเจ้าชายไร้ค่าสุดแกร่ง (Saikyou Degarashi Ouji no An’ yaku Teii Arasoi )
ตอนที่ 5 : พาชมเมืองหลวงจักวรรดิ


 

ในทันทีที่กลับมาถึงเมืองหลวงพวกเขาก็มุ่งหน้าไปหาลีโอ

 

ลีโอรู้ว่าเขากำลังเคลื่อนไหวอยู่แต่เขาไม่รู้เรื่องความสัมพันธ์ของเขากับซิลเวอร์ ดังนั้นมันจึงมีความจำเป็นที่จะต้องตอบคำถามในเรื่องนี้ก่อน

 

“ไม่อยากจะเชื่อเลยนะครับว่าท่านพี่มีเส้นสายกับซิลเวอร์ด้วย..... ข้ารู้ว่าท่านรู้จักคนมากมายแต่ไม่รู้เลยว่าจะรู้จักคนสำคัญระดับนั้นด้วย”

 

“เขาไม่ใช่คนรู้จักของข้าหรอก เขาเป็นคนที่ติดต่อข้ามา และบอกว่าเพื่อเป็นหลักฐานความเชื่อใจ, เขาจะช่วยดึงดยุคไคลเนลต์ให้มาอยู่ฝั่งเรา และนั่นก็คือเหตุผลที่ทำไมข้าถึงสร้างเรื่องขึ้นมาว่าซิลเวอร์เคลื่อนไหวเพราะเจ้าขอให้ช่วย แล้วก็ขอโทษด้วยนะที่ไม่ได้มาปรึกษาก่อนหลังจากที่เรื่องมันเกิดขึ้นไปแล้ว”

 

หลังจากที่เขารายงานสิ่งที่เกิดขึ้นในห้องของลีโอเขาก็อธิบายเรื่องเกี่ยวกับซิลเวอร์ให้เขาด้วย

 

ถ้าเขาไม่ทำให้เหมือนกับว่าซิลเวอร์เป็นคนริเริ่มมันจะทำให้เขาเคลื่อนไหวได้ยากขึ้นในอนาคต

 

และสุดท้ายแล้ว, ความสัมพันธ์ของเขากับซิลเวอร์ก็คงจะถูกเปิดเผย ซึ่งเขาก็ต้องเตรียมตัวสำหรับเรื่องนั้นเอาไว้ด้วย

 

“ไม่เป็นไรหรอกครับ, ท่านพี่เองก็มีความคิดของตัวเองในเรื่องนี้เหมือนกันใช่ไหมหล่ะครับ?”

 

“ก็ใช่อยู่หรอก, ที่ข้าไม่ได้รีบบอกเจ้าในทันทีก็เพราะข้ายังไม่เชื่อใจซิลเวอร์ แต่ว่าเขาก็ได้ทำในสิ่งที่เขาว่าเอาไว้สำเร็จดังนั้นข้าจึงนำมาบอกเจ้า ข้าคิดว่าสำหรับตอนนี้การเชื่อใจเขาคงจะไม่เป็นปัญหาอะไร แต่ถึงอย่างนั้น, ชายคนนี้ก็ยังคงเป็นคนที่มีปริศนามากมาย และพวกเราก็ไม่รู้เหตุผลที่เขาให้ความร่วมมือกับเราด้วย ดังนั้นสำหรับตอนนี้อย่าพึ่งเชื่อใจเขาอย่างเต็มที่จะดูฉลาดกว่า”

 

“เข้าใจแล้วครับ....ข้าเองก็อยากเจอเขาเหมือนกัน”

 

“ข้าจะนำเรื่องนี้ไปบอกเขาให้แต่ในเมื่อเขาเลือกที่จะเข้าหาข้า, ก็แสดงว่าตอนนี้เขายังไม่มีแผนที่จะมาพบเจ้าโดยตรง ข้ารู้วิธีติดต่อเขาแต่มันก็ยังขึ้นอยู่กับตัวเขาด้วยว่าจะตอบสนองหรือเปล่า และในเมื่อเขาไม่ได้ทำตามคำสั่งของเราโดยตรง, ข้าก็เลยคิดว่าเขาเหมือนกับตัวโจ๊กเกอร์ที่เคลื่อนไหวตามความพึงพอใจของตัวเองดังนั้นอย่าหวังพึ่งเขามากเกินไปจะดีกว่านะ”

 

“เข้าใจแล้วครับ แต่ก็ต้องขอบคุณเขานะ, ดยุคไคลเนลต์ถึงได้ปลอดภัยและยังมาสนับสนุนพวกเราด้วยไม่ใช่หรอครับ? ข้าคิดว่าเขาต้องเป็นคนดีแน่ๆเลย”

 

“สำหรับเจ้าไม่ว่าใครก็เป็นคนดีทั้งนั้นแหล่ะ........”

 

เพลียใจจริงๆ เห้อ, เขาถอนหายใจ

 

เขารู้สึกว่าช่วงนี้เขาถอนหายใจแบบนี้บ่อยมาก ซึ่งเหตุผลก็เป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากมีอีกคนนึงที่มีนิสัยคล้ายกับลีโอ

 

“ว่าแต่, ข้าได้ยินมาว่าท่านดยุคได้ส่งคนมาช่วยพวกเราด้วย, เขาส่งใครมาหรอครับ? ถึงยังไงดยุคก็คงจะมาที่นี่ด้วยตัวเองไม่ได้อยู่แล้ว.......”

 

“อืมม, นั่นสินะ เซบาส, ช่วยเรียกเธอมาหน่อยได้ไหม?”

 

“ครับท่าน”

 

เขาบอกเซบาสที่ยืนอยู่ตรงมุมห้องให้พาตัวฟีเน่ที่อยู่ห้องใกล้ๆมาที่นี่

 

“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะองค์ชายลีโอนาร์ด ข้าคือลูกสาวคนโตของดยุคไคลเนลต์, ฟีเน่ ฟ็อน ไคลเนลต์ค่ะ ขอฝากตัวด้วยนะคะ”

 

ฟีเน่จับจีบกระโปรงอย่างงดงามและทำการถอนสายบัว

 

โดยไร้ซึ่งความประหลาดใจ, ลีโอเองก็ตอบรับเธอด้วยมารยาทอันสมบูรณ์แบบ

 

“ข้าคือองค์ชายลำดับแปด, ลีโอนาร์ด เลคส์ แอดเลอร์ ข้าไม่เคยคิดเลยว่าจะมีโอกาสได้มาเจอกับเจ้าหญิงนกนางนวลสีน้ำเงินที่เลื่องชื่อคนนั้น พอได้มาเจอกับตัวข้ารู้สึกว่างดงามมากจริงๆ ข้ารู้สึกเป็นเกีรยติจริงๆที่ได้พบท่าน”

 

“ท่านเองก็เป็นบุรุษที่ยอดเยี่ยมเหมือนกันค่ะ มันถือเป็นเกียรติของข้าที่ได้พบกับน้องชายของท่านอาร์โนลด์ ข้ารู้สึกโล่งใจยิ่งนักที่ได้พบว่าองค์ชายเป็นคนอ่อนโยนเหมือนดั่งที่เจ้าชายอาร์โนลด์พูดเอาไว้เลย”

 

“ท่านพี่พูดถึงข้าด้วยหรอ? ชักน่าสนใจแล้วสิ ช่วยเล่าให้ข้าฟังบ้างได้ไหม?”

 

“ยินดีค่ะ อ้ะ, เดี๋ยวข้าเตรียมชาให้นะคะ”

 

“ขอบใจนะ”

 

เขาใช้เวลาไม่ถึงนาทีในการเข้าถึงหัวใจคนอื่น น้องชายของเขาช่างน่ากลัวจริงๆ ความสามารถในการถลำเข้าไปในด้านดีของอีกฝ่ายนั้นถือเป็นพรสวรรค์ติดตัวเขาอยู่แล้ว

 

ระหว่างคนสองคนที่พึ่งรู้จักกันมันมีหัวข้อให้คุยกันเพียงน้อยนิด ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ในเมื่อพวกเขาไม่ค่อยมีประเด็นให้พูดคุยกัน, ก็ต้องเพิ่มหัวข้อเกี่ยวกับเขาเข้าไปด้วย

 

เขาได้แต่ทำหน้านิ่วในตอนที่พวกเขากำลังพูดเกี่ยวกับเขา ซึ่งลีโอก็คงจะสังเกตเห็นก็เลยส่งบทสนทนาตรงมาทางเขา

 

“จะว่าไปท่านพี่ครับ, พี่คิดจะให้คุณฟีเน่ร่วมมือกับเรายังไงหรอ?”

 

“หลักๆเลยก็คือข้าจะให้เธอเป็นนักเจรจาของพวกเรา และหลังจากนั้น, ข้าก็จะให้เธอเดินทางจากคฤหาสน์ในเมืองหลวงมาหาพวกเราบ่อยๆ การทำเช่นนี้จะแสดงให้เห็นว่าดยุคไคลเนลต์อยู่ฝั่งพวกเรา นี่คือทั้งหมดสำหรับตอนนี้ แล้วก็, ข้าได้บอกเธอเรื่องซิลเวอร์ไปแล้วนะ เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นหรอก เธอรู้ว่าข้าหลอกตระกูลของเธอแต่ก็ยังร่วมมือกับพวกเรา”

 

“ท่านพูดให้ตัวเองดูเป็นคนเลวอีกแล้วนะคะ.......เรื่องที่ตระกูลของเราทำให้ท่านซิลเวอร์โกรธนั้นยังคงเป็นความจริงอยู่ดี, และมันก็เป็นเรื่องจริงที่ท่านอาร์โนลด์เป็นคนช่วยซ่อมความสัมพันธ์ระหว่างพวกเรา ถ้าเราปล่อยวางเรื่องนี้ไว้เพียงเท่านั้นก็คงจะไม่เป็นไรใช่ไหมคะ?”

 

“นั่นสินะ, ข้าเองก็เห็นด้วย ข้อเสียของท่านพี่ก็คือการชอบทำให้ตัวเองดูแย่เนี่ยแหล่ะ”

 

“เห้ออ......”

 

นี่มันเหมือนกับเจอลีโอพร้อมกันสองคนเลย

 

เอาเถอะ, ถ้าพวกเราจะหาพันธมิตรเพิ่มการรวบรวมคนแบบนี้เอาไว้ก็ถือเป็นเรื่องดีเหมือนกัน แต่ปัญหาของเราก็คือว่าจะเพิ่มยังไงเนี่ยแหล่ะนะ

 

“นี่มันนิสัยของข้าไม่ต้องห่วงหรอกหน่า ที่สำคัญกว่านั้น, ลีโอ, เจ้าได้พันธมิตรจากในเมืองหลวงบ้างรึเปล่า?”

 

“อืมม, พูดยากครับ ถึงยังไงผู้มีอิทธิพลในเมืองหลวงก็เข้าพวกกับพี่ๆสามคนนั้นหมดแล้วครับ”

 

เขาลองเปลี่ยนหัวข้อสนทนาด้วยการถามว่าทางฝั่งของลีโอเป็นยังไงแต่มันก็เป็นไปตามคาด

 

ต่อให้พวกเขาจะรู้ว่าดยุคไคลเนลต์คอยหนุนหลังลีโออยู่, แต่พวกที่จะเคลื่อนไหวได้นั้นก็มีแต่กลุ่มอิทธิพลที่เป็นกลางเท่านั้น ส่วนพวกที่อยู่ฝ่ายของคู่แข่งทั้งสามคนแล้วนั้นเคลื่อนไหวไม่ได้มาตั้งแต่แรกแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นสถานการณ์ในตอนนี้ก็คือพวกขุนนางยังไม่รู้ว่าดยุคสนับสนุนพวกเขาหล่ะนะ

 

“เอ่ออ...คือว่าข้ายังไม่ค่อยรู้สถานการณ์ในเมืองหลวงซักเท่าไหร่เลยค่ะเพราะฉะนั้น....ช่วยเล่าเรื่องคู่แข่งทั้งสามคนที่ท่านพูดถึงให้ฟังหน่อยได้ไหมคะ?”

 

“ท่านพี่ยังไม่บอกคุณฟีเน่หรอ?”

 

“เธอเอาแต่ถามคำถามที่ไม่เกี่ยวข้องในระหว่างทางมาที่นี่ข้าก็เลยไม่เหลือแรงอธิบายเรื่องนี้”

 

“ขอโทษค่ะ”

 

“ไม่เป็นไรหรอก, ท่านพี่เป็นคนขี้รำคาญมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ดังนั้นโดยพื้นฐานแล้วท่านพี่ก็เลยมักจะชอบหลีกเลี่ยงผู้คนอยู่ตลอด”

 

“จริงหรอคะ!?”

 

“แต่บางครั้งมันก็ยุ่งยากเกินกว่าที่จะหลีกเลี่ยงได้หล่ะนะ”

 

“ฮืออ.....”

 

เจ้าชายอาร์โนลด์เหลือบมองใบหน้าที่เศร้าสลดของฟีเน่แล้วคว้าอัญมณีทั้งสามที่อยู่ในห้องมาจัดเรียงบนโต๊ะเพื่อใช้ในการช่วยอธิบายให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น

 

“สมมุติว่านี่คือคู่แข่งสามคนของพวกเรา คนแรกก็คืออัญมณีสีฟ้าชิ้นนี้ เจ้าชายลำดับสอง, เอริค เลคส์ แอดเลอร์, อายุ 28 ปี, เขามีคณะรัฐมนตรีส่วนใหญ่อยู่ฝั่งเขาและเป็นที่รู้จักในฐานะเจ้าชายมากปัญญา ส่วนคนที่สองก็คืออัญมณีสีแดงชิ้นนี้ เจ้าชายลำดับสาม, กอร์ดอน เลคส์ แอดเลอร์, อายุ 26 ปี เขามุ่งหน้าสู่สนามรบในฐานะขุมพลังที่แข็งแกร่งที่สุดในกองทัพเรา, เขาได้ครอบครองอิทธิพลทางการทหาร และคนที่สามก็คืออัญมณีสีเขียว เจ้าหญิงลำดับสอง, ซานดร้า เลคส์ แอดเลอร์, อายุ 22 ปี เธอเก่งด้านเวทมนตร์และได้รับการสนับสนุนส่วนใหญ่มาจากนักเวทย์ทั่วจักวรรดิ ทั้งสามคนนี้ต่างก็มุ่งหวังที่จะครองบัลลังก์ในขณะที่ขยายขอบเขตอำนาจของพวกเขา อันที่จริงก็ยังมีสมาชิกคนอื่นที่เล็งบังลังก์อยู่แต่เจ้าไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบกับทั้งสามคนนี้ได้เลย”

 

“คณะรัฐมนตรี, ทหารและนักเวทย์ พวกเขาแต่ละคนนั้นต่างก็มีฐานสนับสนุนที่มั่นคง มันคือการต่อสู้ชิงบังลังก์ที่พวกขุนนางกำลังหาประโยชน์เพื่อตัวเอง, นี่แหล่ะคือสงครามผู้สืบทอดที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ ณ ตอนนี้ ซึ่งมันได้เริ่มขึ้นเมื่อสามปีก่อน....ในตอนที่พี่ชายคนโตของเรา, มงกุฎราชกุมารจากไปในสนามรบ”

 

“ข้าเองก็ได้ยินมาค่ะ.....ท่านพ่อเคยบอกว่าถ้าเจ้าชายองค์แรกยังมีชีวิตอยู่, เรื่องอย่างสงครามผู้สืบทอดก็คงจะไม่มีวันเกิดขึ้น”

 

“ข้าเองก็เห็นด้วยครับ ถ้าคนๆนั้นยังมีชีวิตอยู่เรื่องยุ่งยากแบบนี้ก็คงจะไม่มีอยู่ตั้งแต่แรกแล้วหล่ะครับ”

 

ในทางกลับกัน, มันก็เป็นเพราะคนๆนั้นตายไปจริงๆคนอื่นถึงได้มีโอกาส

 

แม้กระทั่งเจ้าชายอาร์โนลด์เองก็รู้สึกเสียใจกับการตายนี้ เขาทั้งมีเกียรติและกล้าหาญ ลักษณะนิสัยและการวางตัวของเขาเหมือนกับลีโอเวอร์ชันอัพเกรดแล้ว, คนแบบนี้จะไปตายในสนามรบได้ยังไงกัน?

 

อันที่จริงมีการจัดตั้งทีมสืบสวนขึ้นมาและจักรพรรดิก็ลงมาคุมงานนี้ด้วยตัวเอง หลังจากที่สืบดูแล้วมันก็ได้ข้อพิสูจน์ว่าไม่มีใครวางแผนฆ่า แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่สามารถสลัดความความรู้สึกที่ว่ามีกลิ่นคาวบ่างอย่างซ่อนอยู่ในเรื่องนี้ออกไปได้

 

อย่างไรก็ตาม, การนำคนตายขึ้นมาพูดนั้นก็คงจะไม่ได้ช่วยอะไรพวกเขา

 

“คนๆนั้นไม่อยู่แล้วและพี่ทั้งสามคนของพวกเราก็เป็นคนที่ไม่ปราณีกับศัตรูด้วย ลีโอ, ถ้าเจ้าไม่ชิงตำแหน่งมาจากพวกพี่ๆแล้วกลายเป็นจักรพรรดิ, อนาคตข้างหน้าของพวกเราดับสนิทแน่”

 

“ข้ารู้ครับ, แต่ข้าจะทำได้จริงๆหรอ......”

 

“สบายใจได้ ข้าจะช่วยให้มันเป็นไปได้เอง”

 

ในตอนที่พูดจบ, เขาก็ตบหลังของลีโอ

 

พอเห็นว่าลีโอสำลักออกมา, เขากับฟีเน่ก็หัวเราะ

 

————————-

 

ฟีเน่มาอยู่เมืองหลวงได้สามวันแล้ว

 

หลังจากไปทักทายจักรพรรดิฟีเน่ก็มักจะมาเยี่ยมพวกเขาต่ออย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ซึ่งมันก็เป็นธรรมดาที่จะมีคนมากมายเห็นเธอ, และข่าวลือก็แพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวง

 

ซึ่งข่าวลือที่ว่านั้นก็คือ ‘เพื่อที่จะสนับสนุนเจ้าชายลีโอนาร์ดดยุคไคลเนลต์ก็เลยส่งเจ้าหญิงนกนางนวลสีน้ำเงินมาอยู่เคียงข้าง’

 

ข่าวลือได้แพร่สะพัดไปตามนี้ ซึ่งผู้ที่อาศัยอยู่ในเมืองหลวงนั้นก็เริ่มพัฒนาข่าวลือจนถึงขั้นกลายเป็นเรื่องราวความรักระหว่างฟีเน่กับลีโอ, ซึ่งนี่ก็ถือว่าไม่เลวนะ แต่ไม่ว่ายังไง, ตอนนี้ข่าวคราวมันก็กระจายออกไปแล้วว่าดยุคไคลเนลต์สนับสนุนลีโอ

 

“ช่วยพาไปชมเมืองหลวงหน่อยได้ไหมคะ?”

 

ฟีเน่ขอร้องเจ้าชายอาร์โนลด์

 

เหตุผลที่มาขอร้องเขานั้นเป็นเรื่องที่เข้าใจได้เพราะเขานั้นคุ้ยเคยกับเมืองหลวงมากกว่าลีโอ

 

อย่างไรก็ตามมันมีปัญหาอยู่

 

“ถ้าเจ้าไปเดินเล่นเมืองหลวงหล่ะก็จะตกเป็นเป้าสายตาเอานะ.......”

 

“ข้าจะปลอมตัวค่ะ!”

 

พอพูดจบฟีเน่ก็หยิบแว่นออกมาสวมด้วยสีหน้าที่แฝงไปด้วยความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม

 

เจ้าตัวอาจจะคิดว่ามันแนบเนียนแล้ว, แต่นี่มันไม่ได้แนบเนียนอะไรเลย ถึงแม้ว่ามันอาจจะมีคนรู้ตัวว่าเป็นฟีเน่น้อยลงไปบ้าง, แต่ความงามของเธอนั้นก็ไม่ได้ถูกปกปิดเอาไว้

 

การสวมแว่นนั้นทำให้รู้สึกว่าดูสวยฉลาดขึ้น ซึ่งคนที่ชอบแนวนี้ก็มีอยู่ไม่น้อย ดังนั้นจะพูดว่ามันเป็นการปลอมตัวที่ฉลาดก็คงจะไม่ได้

 

“ไม่ไป”

 

“เอ๋, ทำไมหล่ะคะ!?”

 

ถึงอย่างนั้นพอเห็นฟีเน่ที่เกาะติดไม่ปล่อยเขาก็ถอนหายใจออกมา ผู้หญิงคนนี้ไม่รู้เลยรึไงว่าความสวยของตัวเองนั้นดึงดูดความสนใจได้มากขนาดไหน

 

การที่เธอได้รับเครื่องประดับนกนางนวลสีน้ำเงิน, มันก็เป็นเครื่องบ่งบอกแล้วว่าเธอสวยที่สุดในจักรวรรดิ

 

 

“ข้าไม่อยากเด่น ถ้าไปคิดวิธีทำตัวให้เด่นน้อยลงกว่านี้ได้ข้าจะคิดดูอีกที”

 

ถึงนั่นจะเป็นไปไม่ได้ก็เถอะนะ เขาพึมพำในใจในขณะที่ปฏเสธคำขอร้องของฟีเน่

 

นอกจากนี้การออกไปกับเขาในเวลานี้ก็ไม่ใช่เรื่องดี เพราะถึงยังไงตอนนี้ข่าวลือเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของฟีเน่กับลีโอก็กำลังไปได้ดี ถ้าจู่ๆมีเจ้าชายไร้ค่าเข้ามาแทรกมันก็คงจะไม่โอเคซักเท่าไหร่

 

ถึงจะคิดไปแบบนั้น, แต่ตอนช่วงบ่ายฟีเน่ก็เข้ามาหาเขาในห้องด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความมั่นใจเหมือนกับตอนช้า

 

“ช่วยพาไปชมเมืองหลวงด้วยค่ะ!”

 

“ข้าไม่ชอบตกเป็นเป้าสายตา”

 

“ข้าจะปลอมตัวค่ะ”

 

ด้วยคำพูดที่เหมือนกับก่อนหน้านี้ฟีเน่ก็หยิบเสื้อผ้าชุดนึงออกมาด้วยความมั่นใจ

 

มันคือเสื้อคลุมฮู้ดสีแดงเพลิงที่ยาวไปถึงเท้าสำหรับนักเดินทาง

 

ฟีเน่ได้ดึงฮู้ดลงมาปิดด้วย และด้วยความที่มันบดบังใบหน้าของเธอจนแทบมิดจึงไม่น่าจะมีใครจำได้ว่าเป็นเธอ

 

“ความคิดใครหล่ะ?”

 

“ท่านเซบาสเป็นคนช่วยชี้แนะค่ะ!”

 

“หนอยตาแก่เซบาส......แต่ว่ามันยังติดเรื่องคนคุ้มกันด้วยเอาไว้ครั้งหน้าแล้วกันนะ”

 

“ท่านเซบาสบอกว่าถ้าท่านอาร์โนลด์อยู่ด้วยก็ไม่จำเป็นต้องมีคนคุ้มกันหรอกค่ะ!”

 

“.....”

 

ตาพ่อบ้านนั่นคิดจะหาเรื่องรบกวนเราใช่ไหม?

 

วันนี้ดูเหมือนว่าพวกขุนนางที่เป็นกลางจะอยู่ที่นี่ด้วยอุตส่าคิดว่าจะหาทางรวบรวมพวกเขาอยู่นะเนี่ย.....

 

อย่างไรก็ตาม, พอเห็นสายตาที่เป็นประกายของเธอเขาก็ถอนหายใจแล้วยอมใจอ่อน

 

“ก็ได้ ก็ได้, ออกไปหาอะไรกินข้างนอกกัน”

 

“ค่ะ!”

 

“ไปได้ไม่นานนะโอเคไหม? แล้วก็เธอเองก็เถอะ, น่าจะมีคำร้องขอพบปะจากผู้คนเข้ามาเยอะเลยไม่ใช่หรอ?”

 

“ก็ไม่นะคะ, ช่วงนี้ไม่เห็นจะมีคำร้องเข้ามาเลย”

 

“........คงเป็นเพราะเธอเป็นที่ถูกใจของท่านพ่อหล่ะนะ ก็เลยแตะต้องไม่ได้ง่ายๆ”

 

จักรพรรดินั้นไม่ได้คิดจะให้ฟีเน่มาเป็นสนม แต่ว่าเขารักฟีเน่เหมือนกับเป็นลูกสาวของเขา ซึ่งนี่แหล่ะที่ทำให้มันยุ่งยากยิ่งกว่า จักรพรรดิอาจจะไม่พอใจได้ถ้าเข้ามาหาเธอด้วยเจตนาไม่ดีเหมือนกับการที่พ่อหวงลูกสาว

 

นอกจากนี้ยังมีเรื่องความสัมพันธ์กับลีโออีก ซึ่งมันก็คือหนึ่งในเหตุผลที่ขุนนางคนอื่นๆตัดใจ เพราะการเข้าหาฟีเน่นั้น, จะทำให้พวกเขาต้องใกล้ชิดกับลีโอมากขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และดูเหมือนว่าจะยังไม่มีขุนนางคนไหนที่ตัดสินใจได้ถึงขนาดนั้น

 

“ช่างเถอะ ไปกันได้แล้ว เกือบลืมอีกเรื่องนึง, ถ้าข้าบอกให้กลับเมื่อไหร่ก็ต้องกลับนะเข้าใจไหม?”

 

“ได้ค่ะ! ขอฝากตัวด้วยนะคะ!”

 

ฟีเน่ตอบรับอย่างดีใจด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม

 

————————-

 

ถนนของเมืองหลวงนั้นพลุกพล่านอยู่เสมอ

 

ฟีเน่มองถนนของที่นี่แล้วหันกลับมามองเขา

 

“ท่านอาร์โนลด์ นั่นอะไรหรอคะ?”

 

“นั่นคือร้านประเมินราคา ที่นั่นมีการออกใบรับรองให้ด้วยดังนั้นค่าธรรมเนียมก็เลยค่อนข้างสูง แล้วก็นะเจ้าจะเรียกข้าว่าอัลก็ได้”

 

“จะไม่เป็นหรอหรอค่ะให้เรียกชื่อเล่นแบบนี้?”

 

“ข้าจะมีปัญหาเอาได้ถ้ามีคนรู้ตัวตนของข้าเพราะฉะนั้นเรียกว่าอัลเฉยๆก็พอ”

 

“....หลังจากนี้ไปข้าก็สามารถเรียกแบบนั้นได้เหมือนกันใช่ไหมคะ?”

 

ฟีเน่มองเขาอย่างคาดหวัง

 

มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่เรียกเขาว่าอัล อย่างไรก็ตาม, ถ้าเธออยากเรียกแบบนั้นก็ไม่มีเหตุผลอะไรให้หยุดเธอ

 

“ตามใจเถอะ”

 

“ค่ะ! ท่านอัล!”

 

อะไรทำให้เธอดูมีความสุขขนาดนี้นะ?

 

ในขณะที่เขากำลังประทับใจที่เรื่องเล็กๆแบบนี้สามารถทำให้เธอมีความสุขได้, เขาก็คอยพาเธอเดินชมเมืองหลวง

 

ในระหว่างทาง, พวกเขาก็ได้แวะร้านอาหารพื้นเมืองแห่งนึง หลังจากนั้น, เขาก็พาเธอไปดูสถานที่สำคัญต่างๆของเมืองหลวง

 

พวกเขามีเวลาไม่มากนักดังนั้นแค่การชมรอบๆเมืองก็ใช้เวลาไปซักพักแล้ว

 

ในตอนที่เขาคิดว่ามันได้เวลาที่ควรจะเตรียมตัวกลับแล้ว, ฟีเน่ก็เจอร้านเครื่องประดับร้านนึงเข้า

 

“เห้อออ....อย่านานนักหล่ะเข้าใจไหม?”

 

“ค่ะ!”

 

เนื่องจากเธอมองเขาเหมือนกับกำลังขอร้องว่าอยากจะไปดูข้างใน, เขาจึงอนุญาตเธอ

 

ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้พูดออกมาเอง แต่ว่าดวงตาของคนเรานั้นสามารถสื่อความรู้สึกได้มากกว่าปาก, ซึ่งพลังจากสิ่งที่เธอกำลังสื่อออกมาทางดวงตานั้นก็ไม่ได้อยู่ในระดับแค่ครึ่งๆกลางๆเลย

 

เวลาผ่านมานานแค่ไหนแล้วนะ?

 

ด้วยความที่เขาเหนื่อยเขาจึงไม่ได้เข้าไปในร้าน เขายืนพิงรอเธออยู่ที่เสาข้างหน้าร้านแทน

 

อย่างไรก็ตาม, มีลูกค้าคนนึงที่ไม่ให้เวลาเขาได้พักเลย

 

“หืม, หน้าตาคุ้นๆนะ นี่มันท่านเจ้าชายไร้ค่าไม่ใช่หรอครับ?”

 

พอได้ยินเสียงอันไม่น่าอภิรมย์ที่แฝงมาด้วยการถากถาง, เขาก็ขมวดคิ้ว

 

พูดตามตรง, เขาได้บังเอิญมาเจอกับคนที่เขาไม่อยากเจอเข้าซะแล้ว

 

คนที่ปรากฎตัวขึ้นนั้นเป็นชายหนุ่มผมสีน้ำตาลทำเป็นทรงบ๊อบที่ถูกห้อมล้อมด้วยคณะผู้ติดตามของเขา

 

เสื้อผ้าที่ดูเทอะทะและเซ้นส์ในการทำผมของเขานั้นบอกได้เลยว่าเข้าขั้นเลวร้าย อย่างไรก็ตาม, ดูเหมือนว่าเขาจะคิดว่าตัวเองดูเท่ดังนั้นก็เลยกล้าแต่งออกมาเดินได้ด้วยความภาคภูมิใจ

 

ชื่อของเขาคือกีโด้ ฟ็อน ฮอร์วาธ เขาคือผู้สืบสายเลือดจากบ้านฮอร์วาร์ธซึ่งเป็นตระกูลขุนนางที่ใหญ่เป็นอันดับสองของจักวรรดิ และถึงแม้ว่าเขาจะไม่เต็มใจ, แต่นี่ก็คือเพื่อนสมัยเด็กของเขา

 

บ้านฮอร์วาธนั้นปกครองดินแดนที่อยู่ใกล้กับเมืองหลวงของจักรวรรดิ ดังนั้น, เขาจึงอาศัยอยู่ในเมืองหลวงและมักจะไปที่ปราสาทอยู่บ่อยๆ และเนื่องจากเขามีอายุเท่ากับพวกเขา, ผู้ใหญ่ที่อยู่รอบตัวจึงชอบพาเขามาหาพวกเขา เขานั้นมักจะเข้าร่วมการเรียนและการฝึกฝนด้วยกันกับพวกเขาอยู่บ่อยๆ นี่แหล่ะคือความสัมพันธ์ที่พวกเขามีต่อกัน

 

อย่างไรก็ตาม, เขาจะทำตัวดีก็แค่ตอนที่มีลีโออยู่ด้วยเท่านั้นและชอบหาเรื่องแกล้งเขาลับหลัง ซึ่งคณะติดตามของเขาเองก็เป็นกลุ่มที่รังแกเขามาตั้งแต่เด็กด้วย เขาไม่เคยตอบโต้หรือเอาไปฟ้องใครเลย และยิ่งไปกว่านั้น, ผู้ใหญ่ที่สังเกตเห็นก็มองข้ามเขาด้วย ซึ่งนี่ค่อนข้างจะเป็นที่ประจักษ์สำหรับพวกเขา

 

ถึงยังไง, การได้เห็นเจ้าชายที่มีสถานะสูงกว่าตัวเองถูกพวกเขารังแกแบบนี้ก็อาจจะทำให้พวกเขารู้สึกเหมือนตัวเองพิเศษก็ว่าได้

 

ดังนั้นหลังจากที่พวกเขาโตขึ้น, กีโด้จึงมักจะเข้ามาวุ่นวายกับเขาด้วยเรื่องแบบนี้

 

“กีโด้....หายากนะที่จะได้มาเจอเจ้าในสถานที่แบบนี้”

 

“ข้าบังเอิญเห็นหน้าซึมกระทื่อที่ไม่ควรจะถูกมองว่าเป็นเจ้าชายในตอนที่กำลังนั่งอยู่บนรถม้าหน่ะ ข้าก็เลยคิดว่าข้าต้องทักเจ้าในฐานะที่เป็นหนึ่งในขุนนางของจักรวรรดิ”

 

“หรอ, ขอบใจนะ”

 

“ทัศนคติเช่นนี้มันอะไรกัน?”

 

กีโด้เอาไม้เท้าในมือของเขากดเท้าเขาและทำสีหน้าไม่พอใจ

 

“เจ้าคิดว่าข้าไม่สามารถทำอะไรเจ้าได้เพราะพวกเราอยู่ในที่สาธารณะใช่ไหม? ดูเหมือนเจ้าจะคิดผิดแล้วแหล่ะเพราะถึงข้าจะอัดเจ้าเละที่นี่ก็คงไม่มีคงส่งเสียงอะไรหรอกเจ้าก็น่าจะรู้ไม่ใช่หรอ? ถึงยังไงก็ไม่มีใครรู้จักหน้าเจ้าอยู่แล้ว”

 

“ข้าคิดว่า, ช่วงนี่ลีโอมีชื่อเสียงขึ้นมา, ผู้คนอาจจะรู้จักหน้าข้าแล้วก็ได้นะ”

 

ประชาชนนั้นไม่ได้จดจำใบหน้าของสมาชิกในราชวงศ์ได้ทุกคน ถึงแม้ว่าเขาจะมีชื่อเสียงอื้อฉาว, แต่พวกเขาก็รู้แค่ว่าเขามีผมสีดำและดวงตาสีดำ เขาเคยปรากฎตัวเบื้องหน้าผู้คนในงานเฉลิมฉลองเป็นบางครั้งแต่เนื่องจากเขาอยู่ห่างจากประชาชนมากๆ, ดังนั้นจึงไม่มีทางเลยที่พวกเขาจะเห็นใบหน้าที่ชัดเจนของเขา

 

อย่างไรก็ตาม, ช่วงนี้ลีโอกลายเป็นคนมีชื่อเสียงขึ้นมา ดังนั้นจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันจะกลายเป็นปัญหาใหญ่แน่ถ้าเขาที่มีใบหน้าเหมือนกันถูกทำร้าย

 

“เจ้าไม่ใช่ลีโอนาร์ด แค่มองเจ้าผู้คนเขาก็ดูออกแล้ว เจ้าชอบสวมเสื้อผ้าหลุดรุ่ยและทำหน้าหม่นหมองอยู่ตลอด มันคือสัญญาณที่บ่งบอกถึงความไม่มั่นใจในตัวเองของเจ้า ใครจะไปคิดกันหล่ะว่าเจ้าเป็นสมาชิกของราชวงศ์? แค่นิสัยและการแสดงออกของเจ้าก็ไม่ใกล้เคียงกับมันแล้ว!”

 

พอพูดจบ, กีโด้ก็เอาไม้ฟาดเข้าที่คางของเขา ใบหน้าของเขาบูดบึ้งด้วยความเจ็บปวดแต่เขาก็ไม่ได้ล้มลง

 

เขาไม่สามารถทำตัวเด่นในสถานการณ์แบบนี้ได้ ตอนนี้ผู้คนยังคิดว่าเขาเป็นชนชั้นสูงซักคนอยู่แต่ถ้าผู้คนจำหน้าของเขาได้ว่าเป็นสมาชิกของราชวงศ์หล่ะก็มันจะเกิดความวุ่นวายขึ้นมา และถ้ากลายเป็นแบบนั้น, มันก็จะกลายเป็นเรื่องยุ่งยากได้ไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมายังไงก็ตาม

 

ตอนนี้เราจะเอายังไงดีนะ?

 

“เกิดอะไรขึ้นหรอคะ?”

 

พอคิดว่าเธอโผล่มาในเวลานี้ เขาก็แทบจะกัดลิ้นของตัวเอง

 

ขอร้องหล่ะช่วยอย่าทำให้สถานการณ์มันวุ่นวายไปกว่าเดิมจะได้ไหม?

 

ฟีเน่มองไม้เท้าที่กีโด้ใช้ฟาดเขาและแสดงความไม่พอใจออกมาอย่างเปิดเผย

 

“อวดดียิ่งนัก!”

 

“หืม? ใครกัน? คนรับใช้ของเจ้าหรอ?”

 

“ข้าเข้าใจแล้วหล่ะว่าท่านเป็นคนที่หยาบคายขนาดไหน”

 

พอพูดจบฟีเน่ก็ถอดฮู้ดออก

 

เป็นเวลาครู่นึงที่กีโด้เผลอชื่นชมความงามของเธอโดยไม่รู้ตัว, แต่ในตอนที่เขารู้ว่ากำลังพูดกับใครเขาก็สะดุ้ง

 

“ทะ, ท่านคือ..ท่านหญิงฟะ, ฟีเน่ใช่ไหมครับ!?”

 

“ใช่ค่ะ, ข้าคือฟีเน่ ฟ็อน ไคลเนลต์ แล้วท่านเป็นใคร?”

 

“ข้า, ข้าชื่อกีโด้ ฟ็อน ฮอร์วาธ ลูกชายคนโตของดยุคฮอร์วาธครับ”

 

“ลูกชายของท่านดยุคฮอร์วาธที่น่าเคารพคนนั้นหรอคะ? ช่างน่าเสียดายจริงๆ ข้าคิดว่าท่านน่าจะเป็นคนที่มีเกียรติมากกว่านี้”

 

กีโด้เริ่มแก้ตัวในตอนที่เห็นฟีเน่ทำหน้าผิดหวัง

 

เขาดูไม่สบายใจมากๆ คิดไม่ถึงเลยว่ามันจะแสดงออกมาจากกีโด้ที่มักจะเชิดชูเรื่องศักดิ์ศรีของตัวเอง การถูกวิพากษ์วิจารณ์ต่อหน้าฝูงชนแบบนี้, มันคงเป็นสิ่งที่ศักดิ์ศรีของเขาไม่อาจยอมรับได้ก็ว่าได้

 

“มันเป็นเรื่องเข้าใจผิดนะครับ! ไอ้หมอนี่คือ..”

 

“เจ้าชายอาร์โนลด์ เลคส์ แอดเลอร์ สินะคะ ท่านเห็นว่าเป็นเจ้าชายไร้ค่าก็เลยคิดว่าจะทำอะไรก็ได้หรอคะ? นี่ท่านไม่มีความเคารพภัคดีต่อราชวงศ์เลยหรอ?”

 

“มะ, ไม่, มันไม่ใช่แบบนั้นนะครับ......”

 

เขามองฟีเน่

 

มันคงจะไม่ดีแน่ถ้าฟีเน่มาหักหน้ากีโด้ที่นี่ ฟีเน่คือเจ้าหญิงนกนางนวลสีน้ำเงิน จากความจริงที่ว่าเธอมีชื่อเสียงในเมืองหลวงอย่างมาก, แถมยังเป็นที่ชื่นชอบของจักรพรรดิด้วย ดังนั้นมันคงจะเป็นเรื่องง่ายถ้าให้เธอช่วยเขาที่นี่แต่ว่าเขาไม่สามารถยอมให้เธอมาสร้างศัตรูกับกีโด้ได้

 

การสร้างศัตรูโดยไม่จำเป็นนั้นมันไม่มีผลดีอะไร ถ้าเขาปล่อยให้กีโด้ทำตามอำเภอใจและทำร้ายเขาฝ่ายเดียวมันก็จะมีแค่ชื่อเสียงของเขาที่แย่ลง

 

เขาพยายามห้ามเธอด้วยสายตาแต่ดูเหมือนว่าฟีเน่จะไม่ได้สนใจเลย

 

จากนั้นเธอก็พูดอะไรที่อุกอาจออกมา

 

“เอาจริงๆตั้งแต่แรกแล้ว.....นี่ท่านคิดว่าข้าจะมากับเจ้าชายอาร์โนลด์หรอคะ?”

 

“เอ้ะ.....?”

 

ฟีเน่มองตรงมาที่เขา

 

พอรู้ถึงสิ่งที่เธอตั้งใจจะทำ, เขาก็ถอนหายใจออกมา

 

ในเมื่อมันเป็นแบบนี้แล้วก็คงทำได้แค่เล่นตามแผนของฟีเน่

 

“แบบนี้มันจะเป็นปัญหาเอานะครับ, คุณฟีเน่ เห็นท่านบอกว่าไม่อยากให้กลายเป็นข่าวลือ, ก็เลยให้ข้าปลอมตัวเป็นท่านพี่ไม่ใช่หรอ.....”

 

“ขอประทานโทษด้วยนะคะ ท่านลีโอ”

 

“เอ้ะ, เอ, นี่ลีโอนาร์ดหรอ.....?”

 

“ใช่แล้วครับคุณกีโด้”

 

เขาจัดผมและยืดตัวตรง จากนั้นเขาก็ดัดเสียงให้เหมือนลีโอแล้วเปลี่ยนสีหน้าให้ดูอ่อนโยน

 

พอเห็นเขาทำแบบนี้, ใบหน้าของกีโด้ก็ซีดเผือดในทันทีหลังจากที่เขานึกถึงสิ่งที่ตัวเองทำเอาไว้

 

“ละ, ลีโอนาร์ด....มันไม่ใช่แบบนั้นนะ นี่มันคือ.....”

 

“ไม่เป็นไรหรอกคุณกีโด้ ข้ารู้ว่าท่านทำเรื่องแบบนี้กับท่านพี่, ตราบใดที่ท่านพี่ไม่พูดอะไรข้าเองก็ไม่คิดจะเคลื่อนไหวเหมือนกัน และที่ทำกับข้าในครั้งนี้ข้าก็จะยกโทษให้ เพราะข้าอยู่ในระหว่างการพาท่านฟีเน่ชมเมืองอยู่”

 

“ขะ, เข้าใจแล้วหล่ะ.....”

 

กีโด้เดินหนีไปด้วยสีหน้าไม่สู้ดี

 

ถ้าเป็นเขา, ในกรณีที่เกิดเรื่องแบบนี้กับลีโอเขาเองก็อาจจะนำเรื่องความเคารพภัคดีต่อราชวงศ์มาพูดเหมือนกับฟีเน่ ถึงยังไง, ตอนนี้ลีโอก็คือขั้วอำนาจที่สี่ในสงครามผู้สืบทอด ไม่เหมือนกับเขา, ลีโอคือเจ้าชายที่อาจจะกลายเป็นจักรพรรดิ

 

กีโด้เองก็ต้องเข้าใจแน่ๆว่ามันคงจะเลวร้ายขึ้นไปอีกถ้าเขาปล่อยให้สถานการณ์มันแย่ลงกว่านี้ ในตอนที่กีโด้จากไปเขาก็รีบเปลี่ยนรูปลักษณ์กลับเป็นปกติ

 

จากนั้น...

 

“นี่เจ้าต้องทำแบบนี้จริงๆหรอ?”

 

“ข้าขอโทษค่ะ....”

 

“เห้อ...ช่างเถอะไปกันได้แล้ว”

 

ก่อนอื่น, พวกเขาต้องรีบออกไปจากที่นี่ พวกเขาดึงดูดความสนใจมามากเกินไปแล้ว

 

พวกเขารีบเร่งฝีเท้าไปทางปราสาท แล้วเขาก็หยุดลงในตอนที่ใกล้จะถึงปราสาทและมองตรงไปที่ฟีเน่

 

ฟีเน่เองก็มองเขากลับด้วยใบหน้าที่เหมือนกับอยากจะร้องไห้

 

“...เจ้ารู้ตัวไหมว่าทำอะไรตามอำเภอใจ?”

 

“ข้าขอโทษจริงๆค่ะ....”

 

“ถ้าเจ้าปล่อยเอาไว้มันก็มีแต่จะลดชื่อเสียงของเจ้านั่น แต่การทำแบบนี้, สุดท้ายแล้วเจ้านั่นก็จะกลายมาเป็นศัตรูกับเจ้าและลีโอ ยิ่งไปกว่านั้น, เพราะพวกนั้นมีข้อมูลว่าลีโออาจจะออกมาข้างนอกในขณะที่ปลอมตัวเป็นข้า, ข้อมูลนั้นก็จะทำให้ข้าเคลื่อนไหวได้ยากขึ้นด้วย”

 

“..........”

 

ถ้าเขายังพูดต่อไปในลักษณะนี้เธออาจจะร้องไห้จริงๆก็ได้เพราะน้ำตาได้มารวมตัวกันในดวงตาของฟีเน่แล้ว

 

พอเห็นแบบนี้เข้า, เขาก็เบือนหน้านี้

 

ไม่ว่าตอนนี้เขาจะพูดอะไรกับฟีเน่, มันก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้แล้ว เขาไม่สามารถโทษเธอสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นได้

 

“ถ้าเข้าใจแล้วครั้งหน้าก็อย่าทำเรื่องแบบนี้ด้วยตัวเองอีก แถมมันยังอันตรายกับเจ้าด้วย ,เพราะฉะนั้นห้ามทำเด็ดขาด”

 

“ค่ะ”

 

เธอยังดูเหมือนกำลังจะร้องไห้อยู่

 

พอเห็นฟีเน่คอตก, เขาก็ยอมใจอ่อน สุดท้ายแล้ว, ในเมื่อไม่สามารถทำอะไรได้อีกเขาจึงพูดออกมา

 

“แต่ว่า....ข้าเองก็เข้าใจว่าเจ้าตั้งใจทำแบบนั้นเพื่อข้า ขอบใจนะ”

 

“.....ท่านอัล......”

 

“ขอโทษด้วยนะที่ต้องจบลงเศร้าๆแบบนี้ทั้งที่เจ้ากำลังสนุกอยู่”

 

“มะ, ไม่หรอกค่ะ! มันไม่ใช่ความผิดของท่านอัลเลยนะคะ! ทั้งหมดมันเป็นเพราะข้าคิดน้อยไปต่างหาก! ครั้งหน้าข้าจะระวังตัวให้มากกว่านี้ค่ะ! เพราะฉะนั้น....ท่านช่วยพามาเดินเล่นอีกจะได้ไหมคะ?”

 

“อืม, ครั้งหน้าข้าเองก็จะปลอมตัวด้วยแล้วกัน”

 

พอได้ยินแบบนี้, อารมณ์ของฟีเน่ก็ดีขึ้นในทันทีและเธอก็ยิ้มออกมาอย่างสดใส

 

การได้เห็นรอยยิ้มนี้ก็ถือว่าคุ้มแล้วหล่ะนะที่พาเธอออกมาเดินชมเมือง ด้วยความคิดนี้, เขาก็พาฟีเน่กลับเข้าปราสาท

 

 

 

รีวิวผู้อ่าน