ถึงแม้ว่าจะเป็นบุตรของจักรพรรดิ, แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าจะได้เจอเขาทุกวัน ซึ่งเหตุผลนั้นก็ง่ายมาก, มันเป็นเพราะจักรพรรดิที่ปกครองจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้มักจะยุ่งอยู่เสมอ
แทบจะทุกวันจักรพรรดิจะต้องเข้าประชุมกับคณะราชบริพารของเขาและคนที่จะได้เข้าร่วมนั้นก็มีแค่พวกที่อยู่ในตำแหน่งสำคัญเท่านั้น ซึ่งการประชุมนี้ก็คือ ‘การประชุมสภาองคมนตรี’, และในบรรดาลูกๆทั้งหลายของเขาก็มีเพียงคนเดียวที่ได้เข้าร่วมในการประชุมที่สำคัญของจักรวรรดินี้และคนๆนั้นก็คือเจ้าชายลำดับสอง
อย่างไรก็ตาม, ในวันนี้, เจ้าชายกับเจ้าหญิงในเมืองหลวงของจักรวรรดิถูกสั่งให้เข้าร่วมในการประชุมองคมนตรีด้วย
“นี่มันแปลกๆนะครับ สงสัยจังว่าเกิดอะไรขึ้น?”
“มันไม่ได้มีเรื่องแบบนี้กันทุกปี, นี่แสดงว่าต้องมีประกาศอะไรซักอย่างแน่ๆ”
เขาไม่ได้คาดหวังเลยว่าจักรพรรดิจะหยุดสงครามผู้สืบทอดที่เต็มไปด้วยการนองเลือดนี้ จักรพรรดินั้นคิดแค่ว่ามีแค่คนที่ชนะสงครามผู้สืบทอดนี้ได้เท่านั้นถึงจะเป็นคนที่คู่ควรแก่การเป็นจักรพรรดิคนต่อไป
เขาเป็นจักรพรรดิมากกว่าเป็นพ่อคน หรือบางทีก็คงจะพูดได้ว่าหน้าที่ของจักรพรรดินั้นก็คือการเตรียมผู้สืบทอดที่เหมาะสมที่สามารถปกป้องและพัฒนาจักรวรรดิที่กว้างใหญ่นี้ได้ เพื่อสิ่งนี้, เขาจำเป็นต้องทำเป็นมองไม่เห็นสำหรับการเสียสละที่จะเกิดขึ้น
“ประกาศสินะครับ....ข้าหวังว่ามันจะเป็นข่าวดีนะ”
“90%, มันต้องเป็นข่าวร้ายแน่ๆ”
ในขณะที่บทสนทนารูปแบบนี้ดำเนินอยู่, พวกเขาก็มุ่งหน้าไปที่ห้องบัลลังก์
—
“พวกเจ้าทุกคน, ขอบใจที่มานะ”
“พวกเรารู้สึกเป็นเกียรติที่องค์จักรพรรดิเรียกตัวมาครับ”
ทุกคนโค้งคำนับชายผมบลอนด์ที่อยู่บนบัลลังก์
จักรพรรดิองค์ที่ 31 ของจักรวรรดิอาเดรเซีย, โยฮันเนส เลคส์ แอดเลอร์ แม้ว่าเขาจะมีอายุ 51 ปีแล้วแต่เขาก็ยังดูเหมือนอายุ 40 ต้นๆอยู่เลย
เขาคือจักรพรรดิผู้มีอำนาจสูงสุดของจักรวรรดิที่มีอายุกว่า 600 ปีนี้และในขณะเดียวกันก็เป็นพ่อของพวกเขาด้วย
ผู้คนที่อยู่รอบตัวเขานั้นมีแต่ข้าราชการและทหารชั้นสูงทั้งนั้น
สายตาของทุกคนต่างก็มองตรงมาที่พวกเขา, บุตรของจักรพรรดิ ซึ่งวันนี้มีกันทั้งหมดสิบเอ็ดคน
“เจ้าชาย 9 องค์กับเจ้าหญิงอีก 2 องค์ ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครขาดนะ แต่ก็น่าเสียดายใจริงๆที่ลูกสาวคนโตของข้ายังอยู่ที่พรมแดน เอาเถอะ, ไม่เป็นไร ข้ารู้สึกดีใจนะที่ได้เจอพวกเจ้า, ลูกๆของข้า”
ถ้ารวมพี่ชายคนโตที่จากไป, พ่อของเขานั้นมีบุตรทั้งหมด 13 คน
เขามองทุกคนด้วยสายตาพึงพอใจ
คนที่อายุเยอะที่สุดนั้นมีอายุ 28 ปีในขณะที่เด็กที่สุดมีอายุ 10 ปี มันเป็นโอกาสหายากที่ทุกคนได้มารวมตัวกันแบบนี้
ในหมู่พวกเขา, ชายคนนึงที่มีร่างกายใหญ่โตพูดขึ้นมา
“องค์จักรพรรดิ ที่เรียกมาวันนี้มีเหตุอันใดหรอครับ? ถ้ามันเกี่ยวข้องกับสงครามหล่ะก็เชิญส่งข้าไปได้เลย ข้าจะแสดงความยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิเราให้ได้เห็น, และจะกำราบศัตรูเพื่อท่านเอง”
เขาคือชายผมสีแดงที่สวมชุดเกราะหนา เจ้าชายลำดับสาม, กอร์ดอน เลคส์ แอดเลอร์ เขาคือนายพลของจักรวรรดิและในหมู่ ‘เจ้าชาย’, เขาก็เป็นคนที่ครอบครองอำนาจทางการทหารมากที่สุด
บางคนบอกว่าเขาเป็นคนน่ากลัวแต่สำหรับอาร์โนลด์, คำที่เขาจะใช้ก็คงเป็นหยิ่งผยอง เขาเป็นคนที่สำคัญตัวเองมากเกินไป
ฝ่ายผู้เจนศึกและเจ้าหน้าที่ทหารระดับสูงคือพันธมิตรของกอร์ดอน ถ้าเขากลายเป็นจักรพรรดิ, จักวรรดิก็คงจะดำเนินนโยบายขยายอาณานิคมต่อไป เขาอาจจะนำพาอาณาจักรไปสู้กับประเทศมหาอำนาจอื่นๆและอาจจะรวมทั้งทวีปให้อยู่ภายใต้การปกครองของเขาก็ได้ เขานั้นถือเป็นจักรพรรดิผู้ซึ่งกระหายในสงครามซึ่งมันก็ไม่ได้แย่อะไร
อย่างไรก็ตาม, สำหรับพวกที่ไม่ชอบสงครามนั้น, เขาคงจะเป็นจักรพรรดิที่ใกล้เคียงกับคำว่าเลวร้ายที่สุด
“กอร์ดอน เจ้านี่ไม่เคยเปลี่ยนเลยนะ”
“เจ้าหน่ะเอาแต่พูดเรื่องสงคราม นี่ในสมองของเจ้ายังมีเรื่องอื่นเหลืออยู่บ้างรึเปล่า? จักรพรรดิเองก็ลำบากใจกับเจ้าเหมือนกันเจ้าก็คงจะสังเกตเห็นไม่ใช่หรอ?”
ในตอนที่เห็นรอยยิ้มเจื่อนๆของผู้เป็นพ่อ, ผู้หญิงผมยาวสีเขียวก็พูดออกมา
ร่างกายของเธอนั้นถูกปกคลุมด้วยเสื้อคลุมสีดำ, เธอคือเจ้าหญิงลำดับสอง, ซานดร้า เลคส์ แอดเลอร์ เธอนั้นมีหน้าตาดีแต่สายตาของเธอมักจะส่งบรรยากาศที่ไม่ดีออกมา และก็ต้องขอบคุณตรงจุดนี้, จึงทำให้รู้สึกได้ถึงภาพรวมที่รุนแรงทั้งหมดของเธอ บางทีนิสัยแย่ๆของเธอนั้นก็แย่พอๆกับบรรยากาศที่ออกมาจากสายตาของเธอ อันที่จริง, ความรู้สึกที่ได้จากมันนั้นไม่ได้ผิดไปจากตัวตนของเธอเลย
ในบรรดาพี่สาวของพวกเขา, คนที่มีนิสัยโหดร้ายที่สุดก็คือซานดร้าอย่างไม่ต้องสงสัย บางทีมันอาจจะเป็นเพราะนิสัยเช่นนี้, เธอจึงชอบขลุกอยู่กับเทคนิคเวทมนตร์ต้องห้ามและนำมันกลับมาใช้ทีละบท และนี่เองก็เป็นเหตุผลที่เธอเป็นที่นิยมในกลุ่มนักเวทย์
ถ้าเธอกลายเป็นจักรพรรดินีหล่ะจักรวรรดิจะรุ่งเรืองทางด้านเวทมนตร์อย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม, มันก็อาจจะกลายเป็นประเทศบ้าคลั่งที่การทดลองผิดหลักมนุษยธรรมต่างๆเป็นเรื่องที่ยอมรับได้
“เฮอะ, นักเวทย์อ่อนแออย่างเจ้าคงจะไม่เข้าใจหรอก มันคือเกียรติของนักรบในการต่อสู้และตายไปในสนามรบ ถ้าเจ้าคิดจะลบหลู่เรื่องนี้ข้าจะขยี้เจ้าซะ”
“อุ้ยตาย? พูดอะไรรุนแรงจังเลยนะ ถ้าเจ้าอยากได้เกียรติมากขนาดนั้นให้ข้าเป็นคนมอบให้เจ้าดีไหม?”
บรรยากาศตึงเครียดขึ้นมาในทันที
ไม่ว่าคนไหนก็อันตรายทั้งนั้น เอาแต่พูดว่าจะฆ่าจะแกงกันอยู่นั่นแหล่ะ
เห้อ, นี่จะทะเลาะต่อหน้าองค์จักรพรรดิไปถึงขั้นไหนกันเนี่ย ประสาทของพวกพี่ยังปกติดีอยู่รึเปล่า
ในขณะที่อาร์โนลด์กำลังคิดเช่นนี้อยู่, ชายผมสีน้ำเงินก็กระแอมออกมา
“โปรดอภัยให้กับความไร้มารยาทของน้อยชายกับน้องสาวของข้าด้วยนะครับ, องค์จักรพรรดิ”
พอพูดจบ, เขาก็ก้มหัวลง
ในบรรดาพวกลูกๆ, เขาคือคนที่ใกล้ชิดกับจักรพรรดิมากที่สุด เขานั้นคือชายตัวสูงใส่แว่นที่มีสายตาอันคมกริบ
เจ้าชายลำดับสอง, เอริค เลคส์ แอดเลอร์
คนๆเดียวในกลุ่มพวกลูกๆที่มีสิทธิเข้าร่วมการประชุมสภาองคมนตรี, และดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ, เขาคืออัจฉริยะที่ดูแลเรื่องการทูตของจักรวรรดิ และด้วยความฉลาดนี้เอง, เขาจึงถูกพิจารณาว่าเก่งกว่ามงกุฎราชกุมารที่ตายไปและตอนนี้ก็เป็นชายที่อยู่ใกล้กับบัลลังก์มากที่สุด
ถ้าเขาได้เป็นจักรพรรดิ, จักวรรดิจะปลอดภัยอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม, ผู้คนที่อยู่ภายใต้การปกครองของเขาจะต้องรู้สึกอึดอัดอย่างไม่ต้องสงสัย และสำหรับนายสมบูรณ์แบบคนนี้, เขาจะไม่มีวันปล่อยให้เมล็ดพันธ์แห่งกบฎในอนาคตเติบโตขึ้นอย่างแน่นอน ถ้าชายคนนี้ได้เป็นจักรพรรดิ, พวกเขาจะต้องถูกฆ่าแน่ๆ
และนี่ก็คือเหตุผลที่ทำไมพวกเขาถึงไม่มีทางเลือกนอกจากเข้าร่วมสงครามผู้สืบทอดนี้
เอริคที่ขอโทษแทนกอร์ดอนกับซานดร้าถูกพวกเขามองใส่ แต่ถึงอย่างนั้นเอริคก็ไม่ได้สะทกสะท้านเลย
“เถอะหน่า การแข่งขันเป็นสิ่งที่ดี ข้าเองก็เข้าแข่งเพื่อให้ได้กลายเป็นจักพรรดิเหมือนกันหล่ะนะ”
การแข่งขันนี้สุดท้ายแล้วก็จะจบลงที่การสังหารหมู่
ทุกคนที่นี่รู้เรื่องนั้นดี และถึงแม้จะต้องจบเช่นนั้น, จักรพรรดิเองก็ยังยอมให้มันเกิดขึ้น ซึ่งนี่เป็นเพราะเขาเชื่อว่ามันเป็นผลดีต่อจักรวรรดิ
“ตอนนี้ข้าคิดการแข่งขันอย่างนึงให้กับพวกเจ้าทุกคนขึ้นมาได้ ซึ่งมันก็เป็นเหตุผลที่ข้าเรียกพวกเจ้าทุกคนให้มารวมตัวกันในวันนี้ด้วย”
“ถ้ามันเป็นการแข่งพละกำลังหล่ะก็มันคงเป็นสิ่งที่ข้าต้องการพอดีเลย”
“ใจเย็นหน่อยเถอะกอร์ดอน อย่าคิดอะไรง่ายๆแบบนั้นสิ เจ้าจะทำยังไงกันถ้าต้องแข่งกับน้องชายอายุสิบขวบของเจ้า? เอาหล่ะข้าจะสรุปง่ายๆครั้งนี้ข้ากำลังคิดอยู่ว่าจะจัดเทศกาลที่ถูกทิ้งไปแล้วเป็นสิบๆปีกลับมาใหม่”
“เทศกาลหรอครับองค์จักรพรรดิ?”
พอได้ยินคำถามของเอริค, จักรพรรดิก็พยักหน้าแล้วยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยน
ในสมัยยังหนุ่ม, เขาเคยเป็นนักรบที่มีชื่อเสียงทั่วทุกสมรภูมิ กองทัพที่เขาเป็นแม่ทัพนั้นมีชื่อเสียงจนถูกขนานนามว่าไร้พ่าย ซึ่งตัวเขาในด้านนั้นมักจะมาพร้อมกับรอยยิ้มที่ไร้ซึ่งความหวาดกลัว
“เทศกาลล่าของอัศวิน มันคือเทศกาลที่ภาคีอัศวินหลวงแข่งขันกันด้วยความหายากและขนาดของมอนส์เตอร์ที่ล่าได้ มันคือเทศกาลที่มักจะถูกจัดขึ้นบ่อยๆในสมัยก่อนในตอนที่ยังมีมอนส์เตอร์พลุกพล่านอยู่ในเมืองหลวงเป็นจำนวนมาก ซึ่งทุกวันนี้พวกเราก็ไม่ได้จัดเทศกาลอีกเลยเพราะนักผจญภัยต่างก็มีฝีมือกันจริงๆ ข้านั้นรู้สึกว่าอยากจะจัดเทศกาลนี้ขึ้นมาใหม่”
ภาคีอัศวินหลวงคืออัศวินชั้นสูงสุดของจักรวรรดิ แตกต่างจากอัศวินที่รับใช้ขุนนางศักดินาต่างๆ, พวกเขาคืออัศวินที่ขึ้นตรงกับจักรพรรดิ
พวกเขามีตัวตนเหมือนกับไพ่ตายของจักรวรรดิ ในตอนที่กองทัพกำลังลำบาก, พวกเขาคือกลุ่มคนที่จะถูกส่งออกไปเพื่อรับรองชัยชนะของจักรวรรดิ, พวกเขาคือดาบของจักรพรรดิที่ภัคดีต่อองค์จักรพรรดิเพียงผู้เดียว
ถ้ามันคือเทศกาลที่เรียกรวมพลภาคีอัศวินนี้ได้มันก็ต้องเป็นเทศกาลที่ค่อนข้างใหญ่เลยทีเดียว
“เข้าใจแล้วหล่ะครับ, ถึงยังไงช่วงนี้พวกมอนส์เตอร์ก็ดูคึกคักผิดปกติ ว่าแต่, ทางกิลด์นักผจญภัยจะยอมให้จัดเทศกาลนี้หรอครับ?”
งานของนักผจญภัยก็คือการปกป้องผู้คนของทวีปนี้จากพวกมอนส์เตอร์ พูดอีกนัยนึงก็คือ, การล่ามอนส์เตอร์เป็นงานของพวกเขา แน่นอนว่า, มันมีคำขออื่นๆอยู่ด้วยแต่ส่วนใหญ่ก็ยังคงเป็นงานที่เกี่ยวกับมอนส์เตอร์อยู่ดี
สำหรับพวกนักผจญภัย, พวกเขาคงไม่รู้สึกว่าเทศกาลที่แย่งงานของพวกเขาไปนั้นจะเป็นเทศกาลที่น่ารื่นรมย์หรอก
“ไม่ต้องห่วง ข้าได้ขออนุญาตจากทางศูนย์ใหญ่ของกิลด์แล้ว ในเมื่อสำนักงานสาขารอบจักรวรรดิของพวกเขาไม่สามารถจัดการกับมอนส์เตอร์หายากที่ปรากฎตัวขึ้นในช่วงนี้ได้, มันก็ดูเหมือนว่าพวกเขาอยากจะยืมมือพวกเรานั่นหล่ะนะ ข้าได้ยินมาว่าดยุคไคลเนลต์เองก็มีปัญหากับมอนส์เตอร์แบบนั้นเหมือนกัน ข้าจึงพิจารณาว่ามันเหมือนกับการร่วมมือระหว่างพวกเรากับกิลด์”
สิ่งที่เขาพูดเกี่ยวกับกิลด์นั้น, มันไม่ใช่สิ่งที่อาร์โนลด์จะยอมรับได้ง่ายๆ
สาเหตุที่ทำไมสำนักงานสาขาของกิลด์ถึงตั้งอยู่ในตำแหน่งที่มีมอนส์เตอร์น้อยก็คือว่าจักวรรดิจะต้องจ่ายค่าบำรุงรักษามัน มันเหมือนกับสมมุติว่าพอมอนส์เตอร์ปรากฎตัวขึ้น, จักวรรดิก็จะบอกว่า: เอ้ามีมอนส์เตอร์นี่ ไปจัดการมันซิ อย่างไรก็ตาม, สำนักงานสาขาในดินแดนของดยุคไคลเนลต์นั้นไม่ได้ทำในสิ่งที่พวกเขาได้รับค่าจ้างให้ทำ ในเมื่อซิลเวอร์ไม่ได้แก้ปัญหานี้ในนามของกิลด์เพราะเขาใช้ลู่ทางอื่นในการทำงาน, มันก็ไม่สามารถพูดได้ว่ากิลด์เป็นคนจัดการ
เมื่อพิจารณาจากเรื่องทั้งหมดนี้, การแลกเปลี่ยนบทสนทนาที่ถูกต้องระหว่างพวกเขาก็คงจะเป็นแบบนี้
‘หมายความว่ายังไงกันที่ไม่สามารถจัดการมอนสเตอร์ตัวเดียวได้แม้ว่าพวกเราจะจ่ายเงินให้เจ้ามากขนาดนี้?’
‘พวกเราขอโทษค่ะ.....’
‘ข้าอยากจะจัดเทศกาลล่ามอนส์เตอร์ขึ้น, เจ้าคงจะเห็นด้วยใช่ไหม?’
‘ไม่นะ, เอ่อ.อ.....คือว่า....การจะให้เห็นด้วยมันค่อนข้างจะ......’
‘หา? ถ้างั้นก็หานักผจญภัยเก่งๆมาให้พวกเราสิ’
‘บะ, แบบนั้นมัน.......’
‘มันอะไร?’
‘.....พะ, พวกเราเห็นด้วยที่จะให้มีการจัดเทศกาลนี้ค่ะ.....’
คงจะอะไรประมาณนี้หล่ะนะ, เขาคิด
ถึยังไงเขาก็เป็นพ่อของวายร้ายพวกนี้ มันไม่มีทางหรอกที่เขาจะไม่ใช้สิ่งที่เกิดขึ้นกับดยุคไคลเนลต์เป็นข้อต่อรอง
ศูนย์ใหญ่กิลด์เองก็น่าจะอยู่จุดที่น่าอึดอัดระหว่างนักผจญภัยท้องที่และจักรวรรดิ
เอาเถอะ, มันก็เป็นเรื่องจริงหล่ะนะที่ช่วงนี้มีมอนส์เตอร์ปรากฎตัวขึ้นในดินแดนจักรวรรดิแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน ยิ่งไปกว่านั้น, พวกมันก็เป็นมอนส์เตอร์คลาสสูงด้วย
ถ้าไม่มีมาตรการรองรับหล่ะก็, มันจะเริ่มลุกลามไปจนเป็นปัญหากับผู้คนส่วนใหญ่แน่ๆ, ไม่ว่าจะเป็นพืชผลของพวกเขาหรือแม้กระทั่งนักผจญภัยเอง ในแง่นี้, มันก็ฟังดูเหมาะสมที่จะให้ภาคีอัศวินหลวงทำการล่ามอนส์เตอร์หายากพวกนี้ ถ้าพวกเขาจัดเทศกาลพวกเขาก็จะสามารถทำเงินได้, แถมยังเพิ่มขวัญกำลังใจและผู้คนก็จะรู้สึกวางใจได้ด้วย
สมกับที่เป็นจักรพรรดิ เขาคิดแผนได้ดีจริงๆ
อย่างไรก็ตาม, ปัญหาก็คือว่าเขากำลังวางแผนจะใช้พวกลูกๆในเทศกาลนี้ด้วย
“เข้าใจแล้วครับ พูดอีกนัยนึงก็คือ, ท่านอยากให้พวกข้านำภาคีอัศวินออกล่ามอนส์เตอร์ใช่ไหมครับ?”
“ตามที่เจ้าคิดนั่นแหล่ะ, เอริค เจ้าเดาเก่งนะ ข้าจะจัดสรรอัศวินให้พวกเจ้าแต่ละคนเอง พวกเจ้าจะออกล่าพร้อมกันกับพวกเขาก็ได้, หรือพวกเจ้าจะนั่งรอฟังผลเฉยๆข้าเองก็จะไม่ถือสา แต่ไม่ว่ายังไง, ข้าอยากทำให้เทศกาลครั้งนี้มันดูน่าตื่นเต้น”
พอพูดจบ, จักรพรรดิก็จบการสนทนา เหตุผลที่เขาบอกว่าจะจัดสรรอัศวินด้วยตัวเองนั้นต้องเป็นเพราะเขาอยากป้องกันไม่ให้พวกลูกๆเกณฑ์อัศวินที่เก่งๆเข้าฝั่งตัวเองอย่างแน่นอน
ยิ่งกว่านั้น, สิ่งที่เขาพูดว่าจะออกล่าด้วยกันกับอัศวินหรือทำตัวผ่อนคลายและรอฟังผลลัพธ์ก็ได้นั้น, ตอนแรก, มันอาจดูเหมือนเขากำลังพิจารณาพวกที่ไม่เก่งด้านการนำทหาร อย่างไรก็ตาม, อัศวินจะไม่มีวันสวามิภักดิ์ให้พวกที่ไม่สามารถออกไปแนวหน้ากับพวกเขาได้ ซึ่งมันคือจุดอ่อนร้ายแรงสำหรับพวกที่หวังครองบัลลังก์
จักรพรรดิคงอยากจะสื่อว่าต่อให้เจ้าสู้ไม่ได้, อย่างน้อยเจ้าก็ต้องแน่วแน่พอที่จะยืนบนสมรภูมิเดียวกับพวกเขา ถ้าไม่สามารถแสดงให้เขาเห็นถึงสิ่งนี้ได้ก็คงจะหมดสิทธิเรื่องบัลลังก์ไปเลยสินะ
“องค์จักรพรรดิ ตอนนี้ข้าเข้าใจเรื่องเทศกาลแล้วแต่ข้ามีคำถามนึงขออนุญาตถามได้ไหมครับ”
“ว่าไงหล่ะ? กอร์ดอน”
“รางวัลของผู้ชนะคืออะไรหรอครับ? ถ้ามันเป็นสิ่งที่ไม่คุ้มค่ามันก็อาจจะทำให้ขาดสิ่งกระตุ้นก็ได้นะครับ”
“หึหึ, นั่นสินะ แล้วเจ้าอยากได้อะไรหล่ะ?”
“แน่นอนว่า, ข้าอยากได้ตำแหน่งมงกุฎราชกุมารครับ”
กอร์ดอนพูดอย่างไม่หวั่นเกรง
ซานดร้าจ้องเขาตาเขม็ง ถ้าการมองสามารถฆ่าคนได้ตอนนี้เขาก็คงจะตายไปแล้ว ทางด้านของเอริคเอง, ที่ภายนอกเขานั้นอาจจะยังดูสงบนิ่งแต่ภายในเขาต้องรู้สึกเคืองอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
“เจ้านี่ซื่อตรงจังเลยนะ เอาเถอะ, ข้าเองก็จะตอบตามตรงเหมือนกัน, เพื่อเป็นการเคารพเจ้าด้วย ข้าจะไม่ตัดสินใจเลือกมงกุฎราชกุมารคนใหม่กับเทศกาลแบบนี้หรอก”
“นั่นสินะคะ, ถ้ามงกุฎราชกุมารถูกตัดสินใจด้วยเทศกาลแบบนี้พวกเราก็คงจะกลายเป็นตัวตลกของประเทศอื่นแน่เลยค่ะ”
“ใช่แล้วหล่ะ, ซานดร้า แต่ว่ามันก็ไม่ได้หมายความว่าข้าจะไม่ให้รางวัลอะไรเลยหรอกนะ ในส่วนของรางวัลนั้น, ข้าจะแต่งตั้งให้ผู้ชนะเป็นเอกอัคราชทูตที่มีอำนาจเต็มแทนตัวข้า (ทูต, ที่มีอำนาจเต็มในการกระทำใดๆก็ตามในต่างประเทศอย่างเป็นอิสระแทนองค์จักรพรรดิ) สำหรับประเทศที่ผู้ชนะจะถูกส่งไปนั้นจะถูกตัดสินใจหลังจากที่พิจารณาถึงการเคลื่อนไหวในอนาคตของประเทศอื่นๆ”
ทุกคนถึงกับลืมหายใจ
ถ้าเจ้าชายหรือเจ้าหญิงคนไหนถูกแต่งตั้งให้เป็นเอกอัคราชทูตที่มีอำนาจเต็ม, อย่างน้อยๆพวกเขาก็จะได้รับการปฏิบัติในฐานะผู้สืบทอดอันดับต้นๆในประเทศที่พวกเขาถูกส่งไป และนอกจากนี้คนที่ไปนั้นยังสามารถเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างจักรวรรดิกับประเทศนั้นได้ด้วย
สำหรับพวกที่เข้าร่วมในศึกผู้สืบทอด, มันก็ถือเป็นรางวัลที่ยากจะห้ามใจอยู่
ในฐานะของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศนั้น, มันคงจะไม่ได้มีประโยชน์กับเอริคนักแต่ถึงอย่างนั้น, เขาก็ยังอยากได้ตำแหน่งนี้อยู่ดี เหนือสิ่งอื่นใด, มันคงจะสร้างความด่างพร้อยให้กับศักดิ์ศรีของเขาในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศถ้ามีผู้สมัครคนอื่นมากีดกันอำนาจทางการทูตที่เขาผูกขาดอยู่
ตราบใดที่เขามีสิ่งที่ต้องเสีย, เอริคก็น่าจะจริงจังกับมัน
ภาคีอัศวินคืออัศวินชั้นสูงของจักรวรรดิ อัศวินพวกนี้น่าจะทุ่มสุดตัวไม่ว่าพวกเขาจะถูกมอบหมายให้อยู่กับใครก็ตาม, ดังนั้นในท้ายที่สุด, มันก็ขึ้นอยู่กับการจัดการของตัวเจ้าชายและเจ้าหญิงเอง
ดูเหมือนว่านี่มันจะเป็นปัญหาแล้วสิ
ในขณะที่คิดเช่นนั้น, เขาก็เริ่มวางแผนที่จะทำให้ลีโอชนะในการแข่งครั้งนี้