Chapter 2: โรงเรียนนานาชาติชายล้วน
โรงเรียนนานาชาติแห่งที่เจ็ดในเมืองแบล็คฮ็อตนั้นเป็นโรงเรียนชายล้วน หลักสูตรสำหรับเด็กผู้ชายนั้นแตกต่างกับเด็กผู้หญิงอย่างสิ้นเชิง จุดประสงค์คือเพิ่มประสิทธิภาพในการสอนให้ได้มากที่สุด เด็กชายและเด็กหญิงนั้นจะศึกษาแยกกันหลังจากที่เรียนหลักสูตรพื้นฐานด้วยกันในห้าปีแรก หลักสูตรในโรงเรียนชายนั้นคือการเอาตัวรอด นักเรียนแต่ละคนที่เขามาในโรงเรียนควรเพิ่มทักษะในการเอาตัวรอดของตัวเองให้ได้มากที่สุด ! การจบการศึกษาไปนั้นไม่มีใบรับรองให้แต่อย่างใด ใบรับรองที่ดีที่สุดคือการยังมีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้ได้ ดังนั้นแล้วแต่ละหลักสูตรนั้นจึงเกี่ยวข้องกับการรอดชีวิต ในโรงเรียนชายนั้นนอกจากเรียนภาษาจีนพื้นฐาน,กฎหมายและคำนวณแล้ว พวกเขายังต้องเรียนทักษะการปลูกพืช,และทำให้มันเป็นอาหารด้วย ต่างกันกับการศึกษาโรงเรียนหญิงที่ซึ่งเกี่ยวข้องกับพวกดนตรี, วัฒนธรรม, ทำอาหาร, ศิลปะและเต้นรำ
ทำยังไงถึงเอาของต่างๆมาใช้เป็นเครื่องมือในการเอาตัวรอดได้
ทำยังไงถึงเอาของต่างๆมาเป็นเครื่องอำนวยความสะดวกและสร้างบ้านได้
ทำยังไงถึงหลบเลี่ยงอันตรายจากสัตว์ป่าได้
ทำยังไงถึงปฐมพยาบาลด้วยสมุนไพรป่าได้
รับมือกับอาการติดเชื้อทั่วไปยังไง
ใช้อาวุธยังไง
เพิ่มความแข็งแรงให้ตัวเองยังไง....
หลังจากที่ศึกษามาแปดปี 99% ของคนที่เรียนจบไปจะออกไปเข้าสังคม พวกเขาต้องเริ่มชีวิตของตัวเอง ถ้าคุณเรียนรู้ได้ดีในโรงเรียนคุณอาจได้งานในโรงงานรึเป็นทหาร เป้าหมายของการเรียนนี้คือเพิ่มโอกาสรอดแทนที่จะเป็นอาหารให้พวกสัตว์ป่า
แน่นอนว่าก่อนเกิดภัยพิบัติ การศึกษาในยุคนี้นั้นถือว่าไม่ได้มีประสิทธิภาพเท่าไหร่ หลังจากเรียนจบ 8 ปีแล้วมีแค่นักเรียนเก่งๆไม่กี่คนซึ่งมีฐานะทางบ้านดีรึไม่ก็มีพรสวรรค์เท่นั้นที่จะได้เรียนความรู้ระดับสูง ตามปกติแล้วเมืองแบล็คฮ็อตนั้นไม่ได้มีการศึกษาระดับสูงอยู่เลย เนื่องจากเมืองนี้ก่อตั้งขึ้นมาโดยเจ้าของโรงงาน มันเป็นแค่โรงเรียนธรรมดาทั่วไปที่เหมาะกับคนทั่วๆไป
มีแค่เมืองที่เจริญเท่านั้นที่จะมีมหาลัยแต่พวกนั้นก็มีกฎการรับคนที่เคร่งครัด มีแค่ 1 ใน 1,000 เท่านั้นที่จะได้ เอาง่ายๆเลยคือโรงเรียนนี้น่ะมีนักเรียนเรียนจบ 1,000 คนต่อปี แม้จะเป็นแบบนั้นแต่ 8 ปีรวดโรงเรียนแห่งนี้ก็ไม่มีนักเรียนคนไหนได้เข้ามหาลัย 8 ปีก่อนมีนักเรียนที่มีพรสวรรค์คนหนึ่งที่ชื่อ หลี่ชีเซ็น ที่ถูกเลือกโดยสมาคมการทำยา เขาถูกพาตัวไปหลังจากเรียนจบ ชายคนนั้นคือความภาคภูมิใจของโรงเรียนและด้วยผลลัพธ์นั้นได้มีรูปของเขาประดับอยู่ในห้องประชุม ทุกปีที่จบไปผู้อำนวยการมักจะพูดถึงชายคนนี้ตลอด อีกสองรูปที่ห้องอยู่กับรูปของ หลี่ชิเซ็น เองก็ถือว่าเป็นตำนานที่จบจากโรงเรียนนี้ไป การศึกษาระดับสูงในยุคนี้แน่นอนว่าคือมหาลัย ผิดกับสมัยก่อนที่จะเกิดภัยพิบัติที่มีเด็กสามารถเข้าไปเรียนมหาลัยได้สบายๆ ความรู้ในยุคนี้นั้นเป็นของที่แพงมีแค่พวกรวยๆ,กองทัพ,โรงเรียนที่มีอำนาจ มีแค่พวกระดับสูงจริงๆที่จะได้เรียนรู้ความรู้พวกนั้น
แม้ว่า จางเทีย จะขยันแทบตายแต่เขาก็เป็นนักเรียนชั้นหัวกระทิไม่ได้ คนในครอบครัวของเขาไม่มีใครได้ดิบได้ดีเลย จางเทีย เองก็เป็นแค่คนธรรรมดา เขาไม่ได้แย่,ดีรึรวยอะไร ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปเขาคงเป็นแบบพ่อตัวเอง เขาอาจจะปลอดภัยและได้งานที่มั่นคงหลังจากไปรับใช้กองทัพแล้ว เขาคงเป็นแค่คนงานธรรมดาและแต่งงานกับผู้หญิงหน้าตาธรรมดา เขามีลูกและทำงานหนักเพื่อหาข้าวให้กับครอบครัวจนวันหนึ่งที่เขาเกือบตาย เขาก็จะนึกถึงความหลังและคิดถึงเทพธิดาอย่าง ไดน่า ที่เขาเคยเจอแต่ไม่มีโอกาสที่จะนอนกับเธอเลย จากนั้นเขาคงได้แค่ยกนิ้วกลางให้กับยุคห่านี่ก่อนจะตายลงไป...
จางเทีย อดไม่ได้ที่จะขนลุกเมื่อคิดแบบนั้น เขาเข้าไปในห้องเรียนและสาบานว่าจะไม่ใช้ชีวิตแบบนั้นเด็ดขาด แม้ว่าเขาจะตัดสินใจแบบนั้นมานานแล้วแต่เขาก็ยังย้ำตัวเองเสมอว่าให้มีชีวิตนานพอที่จะหาเงินและนอนกับสาวๆสวยๆได้มากพอ ถ้าวันหนึ่งเขาตายไป จางเทีย หวังว่าจะมีฉากที่สาวสวยจำนวนมากมาร้องไห้เพื่อเขา บางทีอาจจะยอมตายไปพร้อมกับเขาด้วย แต่สำหรับตอนนี้ถ้าเขาตายคงมีแต่คนหัวเราะเยาะเขา
จางเทีย คิดว่าเขาอาจจะใช้ชีวิตสุขสบายได้ในสักวันหนึ่ง – มีกางเกงในหลายตัว, มีรองเท้าหลายคู่ , มีเนื้อให้กินในแต่ละมือและมีคนรับใช้ส่วนตัวซึ่งรูปร่างเซ็กซี่ให้เอา...
จางเทีย คิดแบบนั้นเสมอ เขามักจะคิดว่าไม่มีคนรวยคนไหนจะมากังวลเรื่องอาหารและเสื้อผ้าแต่มันคงเป็นความฝันที่อาจไม่มีวันเป็นจริงที่เป็ดอย่างเขาจะผงาดเป็นมังกรได้
ประมาณ 10 นาทีก่อนคลาสจะเริ่มในตอนที่ จางเทีย เข้าห้องไป เขาได้เจอกับพวกสัตว์หื่นหลายตัวกำลังมองออกไปนอกหน้าต่างพร้อมกับเอาอีกมือหนึ่งสาวๆไปสาวมาใต้กางเกง บางคนถึงกับครางออกมาด้วย จางเทีย มองลอดหน้าต่างออกไปและพบว่าเทพธิดาของเขาที่กำลังเดินผ่านไปพร้อมกับหน้าอกที่กระเพื่อมไปมาตามจังหวะเดิน
จางเทีย ถึงกับกลืนน้ำลาย..
“ พวกเหี้ยนี่ ! “
“ ว่าไงเพื่อน ! มาสิ ! มาทำด้วยกัน .... “ - พวกคนที่สาวหนอนหันกลับมาและชวน จางเทีย ‘ อย่างจริงใจ ‘
“ ไม่ ตะกี้ฉันเห็น กัปตันเคอร์ลิน กำลังมาที่ห้องเรา พวกแกสนุกได้ตามสบาย ! “
เมื่อได้ยินแบบนั้นทุกคนหยุดและหน้าซีดทันที หนอนน้อยของพวกมันหดลงมาอย่างรวดเร็ว จากนั้นทั้งห้องก็ได้เงียบ พวกมันรีบรูดซิบจนหนีบหนังไอ้จ้อนตัวเองและยังหนีบขนเข้าไปด้วย จากนั้นพวกมันก็ร้องโหยหวนออกมา พระเจ้าช่วย จางเทีย พนันได้เลยว่า ไอ้โหดนั่นต้องมากระทืบไข่พวกนี้นี้ถ้ารู้ว่าเกิดอะไรขึ้นตะกี้นี้...
ทุกคนรีบกลับไปที่ตัวเองทำท่าว่ากำลังทำธุระตัวเองอยู่ ทันใดนั้นห้องก็ได้เงียบลง จางเทีย เองก็ไปที่โต๊ะตัวเองและทำความสะอาดโต๊ะ เขาเช็คเครื่องมือต่างๆและจัดมันให้เข้าที่ สิบนาทีผ่านไป ในตอนที่ออดดังขึ้นมาก็ได้มีครูเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับอุปกรณ์การเรียน กัปตันเคอร์ลิน ไม่ได้โผล่มา พวกบัดซบนั่นใจเย็นลงและมองมาที่ จางเทีย แต่พวกนั้นก็ไม่กล้าที่จะก่อเรื่องในห้องเรียน
ครูนั้นอายุประมาณ 50 ปีเป็นชายหัวล้าน เขาดูน่ากลัวและพูดน้อยแต่ไม่มีใครกล้าที่จะดูถูกชายคนนี้ ชายคนนี้เคยสร้างเครื่องจักรด้วยเครื่องมือไม่กี่อย่าง นอกจากครูแก่คนนี้แล้วครูทุกคนในยุคนี้ก็เจ๋งจริงๆ
ก็อย่างเล่นเคยเมื่อชายหัวล้านเข้ามาในห้องเขาได้เขียน ‘ การทำสปริง ‘ ขึ้นไว้บนกระด่าน จากนั้นก็เริ่มสอนและคำนวนข้อมูลต่างๆเก่ยวกับสปริงให้ทุกคนได้ดู นักเรียนแต่ละคนจะได้รับลวดเส้นมา งานของพวกเขาเช้านี้คือต้องทำสปริงสามแบบ เมื่อได้รับลวดมาแล้วทุกคนก็เริ่มทำงานของตัวเอง ไอ้บัดซบพวกแรกนั้นแสดงท่าทีจากแต่ก่อนอย่างสิ้นเชิง เพราะจำเป็นต้องศึกษาทักษะพวกนี้เพื่อเอาชีวิตรอด ไม่นานชายหัวล้านเดินออกจากห้องไปพร้อมกับแก้วน้ำในมือ
ความต่างที่ใหญ่ที่สุดระหว่างมนุษย์และสัตว์อสูรอีกทั้งยังพวกเอเลี่ยนคือมนุษย์น่ะรู้จักวิธีการสร้างเครื่องมือ สปริงแม้ว่ามันจะเป็นของเล็กๆแต่มันใช้ได้ในหลายสถานการณ์ ไม่ต้องเดาเลยว่าการสร้างสปริงเองก็เป็นหนึ่งในทักษาะในการเอาตัวรอดด้วย
เมื่อได้ลวดมาแล้ว จางเทีย ก็คิดสักพักและได้ไอเดียขึ้นมา เขาจำรูปแบบไว้ในหัวและวัดแรงดันของสปริงทั้งสามเส้นในความยาวที่ต่างกันไป จากนั้นเขาก็เริ่มคำนวณบนโต๊ะ ในที่สุดเขาก็ได้รูปร่างของสปริงทั้งสามแล้ว ชื่อมันก็ สปริงแถวแบบง่าย, สปริงแบบเว้าปลายและสปริงแถวเกลียวที่มีตะขอ