Chapter 3: สู้
แต่ละโต๊ะทำงานนั้นเป็นโต๊ะเหล็กที่มีความยาวกว่า 1 ม. ที่ปลายของโต๊ะมีแคมป์เพื่อไว้จับงาน อีกช่องว่างเครื่องมือต่างอยู่ที่ส่วนหน้าโต๊ะ เครื่องมือก็มี เลื่อยมือ, ค้อน , สิ่ว ,... อีกด้านของโต๊ะนั้นคือเครื่องตะไบ อีกทั้งยังมีทั่งตีเหล็กวางอยู่ข้างๆ
นี่คือโต๊ะทำงานทั่วไปและมีราคาถูกที่สุดซึ่งมีไว้สำหรับนักเรียน บอกได้เลยว่าโต๊ะทำงานระดับสูงแล้วมันต่างกันลิบลับ สำหรับคนที่มีประสบการณ์ทำงานช่างมาก่อนแล้วโต๊ะทำงานระดับสูงนั้นเพียงพอที่ให้พวกเขาสร้างอะไรขึ้นมาก็ได้
ด้วยความคิดที่มีในหัว จางเทีย ได้เอาชุดช่างขึ้นมาใส่และสวมแว่นตาเข้าไป เขามองไปที่ลวดที่เส้นใหญ่ที่สุด เพราะเขาไม่มีตัวตึงเส้นลวด เขาเลยต้องใช้เครื่องมือที่มีอยู่มาใช้งานแทน หลังจากที่เอาลวดและแผ่นไม้ตรึงไว้ตรงปากจับชิ้นงาน หลังจากที่เช็คดูว่ามันมั่นคงแล้ว เขาก็เริ่มหมุนเกลียวลวดทิศตามเข็มนาฬิกาอย่างระมัดระวัง เขาลองเช็คดูและเมื่อพบว่าไม่มีปัญหาอะไรเขาจึงเริ่มทำมันต่อ
โดยทั่วไปแล้วมันไม่ได้ยากเลย สักพัก จางเทีย ก็เกือบจะทำสปริงอันแรกเสร็จแล้ว เขานับกลียววนของสปริงและตัดส่วนที่เกินทิ้งออกไป เขาเอาปลายทั้งสองฝั่งของสปริงไปตรึงก่อนจะบีบเข้าหากันและในที่สุดสริงเกลียวแบบง่ายก็เสร็จเรียบร้อย เขาลองทดสอบมันดูและพบว่ามันยืดหยุ่นได้ดีจริงๆ กำลังใจของเขาเพิ่มขึ้นซึ่งทำให้เขาทำสปริงอีกสองแบบเสร็จไปได้อย่างง่ายดาย ใช้เวลาอีกสักพักเขาก็ทำตะขอสำหรับสปริงแบบสุดท้ายเสร็จ เทียบกันแล้วในตอนที่ จางเทีย กำลังโฟกัสกับการทำตะขอกลมอยู่นั้นก็ได้มีคนทำสปริงทั้งสามแบบเสร็จแล้ว
ในที่สุดชายหัวล้านก็เดินเข้ามาและตอบคำถามกับนักเรียนแต่ละคนที่ยกมือขึ้น เขาเช็คงานนักเรียนแต่ละคนและอธิบายถึงการรักษาสภาพของสปริงเมื่อโดนความร้อน เขาบอกว่าที่ปลายของสปริงน่าจะกลมและแน่น เขาได้แก้ชิ้นงานของนักเรียนพวกนั้นโดยการใช้เครื่องมือง่ายๆ นักเรียนต่างก็ลองทำกันดูอีกรอบ สามชั่วโมงในคาบเรียนเช้าก็ผ่านไปแบบนี้แหละ...
นักเรียนนั้นจะไปกินอาหารที่โรงอาหารของโรงเรียน นี่เองก็คือข้อดีของการมาโรงเรียนแม้ว่าอาหารจะไม่ดีเท่าไหร่ก็เถอะ อาหารพวกนี้แค่พอประทังความหิวได้เท่านั้นไม่เพียงพอที่จะทำให้พวกเขาอิ่มได้ อีกอย่างจำนวนคนที่แห่เข้าไปในโรงอาหารในตอนเที่ยงนี่ก็มหาศาลเลยทีเดียว
ตามตารางของโรงเรียนแล้ว โรงอาหารจะแบ่งออกตามระดับชั้นและจำนวนของร้านอาหารก็มีจำกัด เพราะจำนวนอาหารที่มีให้นั้นน้อยกว่าจำนวนนักเรียนแต่ละชั้นจึงมักมีคนที่โชคร้ายซึ่งไม่ได้กินอาหารในมื้อนั้นเลย ผลก็คือพวกเขาคงต้องไปเป็นลมในคาบฝึกทักษะของกองทัพในตอนบ่าย จางเทีย เองก็เคยเป็นแบบนั้นอยู่สองครั้ง จากนั้นเป็นต้นมาเขาก็เข้าใจกฎข้อแรกของยุคนี้คือต้องเติมเต็มท้องตัวเองให้เต็มอยู่เสมอ
กฎข้อเดียวของโรงอาหารคือต้องต่อคิว ดังนั้นถ้าคุณไม่อยากเป็นคนต้องอดกิน คุณต้องรีบมาต่อคิวให้เร็วที่สุด นอกจากนี้แล้วคุณควรแข็งแกร่งพอถ้าคนอื่นมาใช้ความรุนแรงใส่ แน่นอนว่าโชคเองก็มีส่วนสำคัญอย่างมาก
เช่นตอนนี้เป็นตัวอย่าง
จางเทีย ยืนอยูกลางแถว หลังจากสามชั่วโมงในตอนเช้าแล้วเด็กๆต่างก็หิวโหย แถวตอนนี้ยาวเหยียดในขณะที่ยังมีคนมาต่อคิวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ต้องของบคุณที่ จางเทีย นั้นรีบมาต่อคิวได้อย่างรวดเร็วหลังจากหมดคาบ ไม่อย่างนั้นแล้วเขาคงไม่ได้กินข้าวแน่ในวันนี้ ในตอนที่นักเรียนคนสุดท้ายได้มาต่อแถว คนที่อยู่หัวแถวก็ได้ข้าวไปกินแล้ว ตอนนั้นเองอยู่ๆเสียงพูดคุยในห้องอาหารก็ได้เงียบลง จางเทีย มองกลับไปเจอกับกลุ่มคนที่เดินนำมาโดย เกรซ แม้ว่าพวกนั้นจะมาถึงเป็นพวกสุดท้ายแต่พวกนั้นไม่จำเป็นต้องต่อคิว พวกนั้นแค่เดินตรงไปที่หัวแถว เมื่อเห็นกลุ่มคนพวกนี้ นักเรียนคนที่เพิ่งได้ข้าวมาต่างก็หน้าซีดลง
ไอ้พวกขยะนี่ พวกนี้ทำแบบนี้ทุกวันเลย ! จางเทีย บ่นออกมาในใจ
“ เหอะๆ โทษทีที่รบกวนแกวันนี้นะ ! “ - พวกมันเดินไปอยู่ตรงหน้านักเรียนที่เพิ่งได้ข้าวมา มันพูดออกมาอย่างใจดีแต่กลับแสดงท่าทีหยิ่งทะนง พวกมันยืนกอดอกพร้อมกับยิ้มให้นักเรียนคนนั้น มันมองไปที่เด็กที่ตอนนี้หน้าซีดลงเรียบร้อยแล้ว สถานการณ์ตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับแมวที่วิ่งไล่ต้อนหนูเลย
“ เหี้ยเอ้ย ! พวกห่านี่แมร่งเหี้ยจริงๆ ! “ - จางเทีย บ่นออกมาเบาๆ
“ แกจะทำตัวแบบนั้นได้ถ้าแกอัดคนอื่นได้ ! “
“ มีคนบอกว่า เกรซ น่ะผ่านการทดสอบให้เป็นทหารระดับ 2 แล้ว จุดชีพจรของเขาได้ถูกปลุกขึ้นมาสองอัน โรงเรียนของเราน่ะไม่เคยมีคนแบบนี้มาหลายปีแล้ว ! “
“ มันแค่เกิดมาแข็งแรงก็เท่านั้น มันไม่ได้น่าภูมิใจอะไรเลย พวกมันแค่คนโง่ๆที่ดีแต่ตัว งั้นพวกมันมาเรียนที่นี่เพื่อให้เป็นที่สนใจแค่นั้นเหรอ ? “
“ ฮึ่ม...ฮึ่ม. ไม่ต้องอิจฉาหรอก มันแข็งแรงกว่าเรา เราไม่ควรไปใกล้พวกห่านั่น... “
“ พ่อมันเป็นคนใหญ่คนโตใน CSIF ด้วยนิ ! “
“ คนใหญ่คนโต ? เหอะ ! เขาก็แค่หัวหน้ายาม ! “
“ แต่คนที่พ่อมันอยู่ด้วยก็ใหญ่นะ ! “
“ ฉันจะไม่วันยอมให้คนอย่างไอ้ห่านั่น ! ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็เถอะ ! “
“ พวกมันจะอัดนายตอนนายออกจากโรงเรียนไป และนายคงต้องพักฟื้นสักเดือนกว่าจะลุกขึ้นมาได้ เหตุผลนั่นพอมั้ย ? “
ในตอนที่คนข้างๆ จางเทีย กำลังแอบพูดเสียงเบาๆ เด็กชายผู้โชคร้ายก็เดินผ่านพวกเขาด้วยสีหน้าที่สลด คนอื่นๆทำตัวเย็นชาราวกับไม่รู้ไม่เห็น ไม่มีใครกล้าที่จะไปปลอบพวกนั้น คำพูดสักคำก็ไม่มีให้ได้ยิน เด็กแต่ละคนล้วนแต่หิว นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมโรงอาหารนี้ถึงอาหารหมดเร็วทุกวัน ถ้าแก่งแย่งกันก็ไม่มีวันที่จะได้กินแน่ สำหรับคนที่อ่อนแอแล้วพวกเขาไม่มีตัวเลือกอื่น พวกเขาน่ะต้องยอมแพ้รึต้องโดนเหยียดหยามจากพวกนักเลงห่านี่
ความน่าละอายนี่ทำให้ จางเทีย นึกถึงบางอย่าง ถ้าฉันเป็นพวกนี้แล้วฉันจะทำยังไง ? ถ้าพวกนั้นจับตัวเทพธิดาฉันไปล่ะ ? ฉันจะทำยังไง ? จางเทีย เริ่มกังวลขึ้นมา ดูเหมือนว่าจะมีใบหน้าอันสิ้นหวังของเทพธิดา ไดน่า แว็บขึ้นมาในหัวเขา เขารู้สึกเจ็บแปล๊บขึ้นมาทันที
ไม่มีวัน….
เขาตะโกนออกมาในใจ
...
ชั้นสองของโรงอาหารนี้มีไว้สำหรับพวกครู ครูหลายคนได้มองลงมาที่โรงอาหารชั้นล่าง
“ ทหารระดับสอง เขาน่ะแข็งแกร่งเมื่ออยู่ต่อหน้าเด็กพวกนี้ เกรซ น่ะอัดพวกนี้เป็นสิบคนได้สบายๆ เขาน่ะได้เปรียบเรื่องร่างกาย ! “
“ กลุ่มของ เกร๊ซ น่ะมีสี่คน ดูพวกที่ต่อคิวเป็นร้อยๆนั่นสิ พวกเขาน่ะเข้าใจบทเรียนที่เราสอนได้แค่นิดหน่อย พวกนี้แค่เรียนรู้วิธีที่จะสู้เพื่อตัวเองงแต่กลับไม่สนใจบทเรียนที่เหลือ ---ทีมเวิร์คซึ่งมันเป็นส่วนสำคัญอย่างมากในการเอาชีวิตรอดของพวกเขา...”
“ นั่นคือความแตกต่างของมนุษย์และสัตว์ ไม่ว่าพวกมันจะอ่อนแอยังไงเมื่ออยู่ตัวเดียวแต่เมื่อรวมพลังกันแล้วมันอาจจะเอาชนะพวกที่แข็งแกร่งได้ “
“ พวกเขาอาจจะเข้าใจเรื่องนี้ในอนาคตแต่คงไม่ใช่ตอนนี้.... “
“ ฉันจะรอดูว่าใครจะเป็นคนรู้เรื่องนี้ก่อนกัน ! “
แม้ว่า จางเทีย จะไม่พอใจแต่เขาก็ยังคงกินอาหารเน่าๆของเขาอยู่ หลังจากเก็บจานเสร็จเขาก็ยังคงรู้สึกหงุดหงิดอยู่เพราะมีใบหน้าที่สิ้นหวังของ ไดน่า แว็บขึ้นมาในหัวของเขาราวกับมันจะเกิดขึ้นจริง เขาเดินออกไปพร้อมกับก้มหน้าลง เขายิ่งสิ้นหวังมากกว่าเดิมเมื่อมองลงไปเห็นรองเท้าหนังขาดๆที่มีรอยปะอยู่สองรอยของเขา ในตอนที่เขาเดินเข้าไปที่ป่าใกล้ๆโรงเรียน เขาก็เจอคนหลายคนเข้าล้อม
“ เมื่อเช้าแกพอใจมากสินะ ? “ – หมัดพุ่งเข้ามาต่อยที่ท้องของเขาก่อนที่เขาจะรู้ตัว จางเทีย เกือบอ้วกออกมา เขางอตัวด้วยความเจ็บปวด ในที่สุดเขาก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น – “ เหี้ ย ! ฉันโดนล้อม ฉันรู้ตั้งแต่ในห้องเรียนแล้วว่าพวกนี้มันแค้น ฉันไม่น่าลืมเรื่องนี้เลย ! “
“ อัดมัน ! “ - ในตอนที่เขางอตัว จางเทีย ก็ได้ยินเสียงนี้ดังขึ้นมา เขาพบว่ามีตีนหลายตีนพุ่งเข้ามาหาเขา เขารีบคว้าที่เท้านั้นก่อนจะดึงมันล้มลงมา จางเทีย รีบโดดเข้าหาคู่ต่อสู้และต่อยจมูกของเด็กชายคนนั้นก่อนจะตระหนักได้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ผลก็คือเด็กนั่นหน้าหงายลงไปกองกับกับพื้น