Chapter 6: เมืองแบล็คฮ็อต
จางเทีย ไม่รู้ว่าเขาจะทนหิวไปได้นานแค่ไหนจนกว่าโรงเรียนจะเลิก เขาอ้วกมื้อเที่ยงออกมาจนหมดเพราะโดนอัดตั้งแต่ตอนบ่าย ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องทนหิวต่อไป ในตอนที่เขาทนหิวไม่ไหวเขาก็จะดื่มน้ำจากก็อกน้ำของโรงเรียน นี่คือทักษะเอาตัวรอดที่เขาได้เรียนรู้จากโรงเรียนนี้ การดื่มน้ำสะอาดนั้นช่วยลดความหิวและลดการเผาผลาญของร่างกายได้ คนที่อยู่โดยไม่มีอาหารและน้ำนั้นจะอยู่รอดได้สองวันอย่างมากแต่คนที่กินแค่น้ำอย่างเดียวจะอยู่รอดได้มากกว่า 3 วัน นี่แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของน้ำแล้ว
ที่ทำให้ จางเทีย รู้สึกว่าเขาโชคดีคือคาบเรียนในตอนบ่ายคือให้การฝึกแทงอาวุธ นี่เป็นคาบที่ใช้พลังงานมากที่สุด ในพื้นที่ฝึกฝนในตอนบ่ายนักเรียนแต่ละคนจะสวมเครื่องแบบและเกราะเบาพร้อมกับแบกหอกที่ยาวกว่า 3 ม.ไว้บนไหล่ในตอนที่ฝึก พวกเขาจะยืนจัดรูปแบบและใช้ดาบปลายปืนแทงเข้าไปตามคำสั่งของผู้ฝึกสอน เพื่อให้เป็นพลหอกระดับ 1 ได้และการได้ตราของพลหอกระดับ 1 นั้นเป็นตัวแทนของการเติบโตเป็นผู้ใหญ่และยังเป็นความฝันของเด็กส่วนมากที่อยากเป็นในตอนที่เข้ากองทัพ พลหอกนั้นเป็นหนึ่งในกองทัพที่ยึดรูปแบบการยืนและการทำงานร่วมกัน พวกเขาอาจะเป็นพวกที่แข็งแกร่งที่สุดรึอ่อนแอที่สุดก็ได้ กองทัพพลหอกระดับแรกนั้นสามารถป้องกันการโจมตีจากศัตรูที่ซึ่งไม่มีรูปแบบกองทัพที่ดีนักและยังสามารถเอาชนะอีกฝ่ายแม้ว่าอีกฝ่ายจะมีจำนวนมากกว่าสามเท่าด้วย
ก็คล้ายๆกัน กองทัพพลหอกระดับห้านั้นก็เป็นส่วนสำคัญของกองกำลังในสนามรบ ด้วยจำนวนของคนในเมือง กองทัพเกราะหนักระดับห้านั้นสามารถตั้งมาได้แค่ 3 กองทัพ นี่คือกองทัพที่ CSIF ใช้ดูแลเมืองนี้
ร่างกายของ จางเทีย นั้นไม่ได้ดีไปกว่าคนอื่น เขาดูผอมและอ่อนแอถ้าเทียบกับคนที่เหลือ เขาดูเหมือนว่าจะไปได้ไม่ดีในด้านนี้ มันคงยากที่เขาจะใช้หอกที่หนักกว่า 10 กก. ได้ ในตอนที่เขารู้สึกว่าตัวเองหมดแรง เขาก็สงสัยว่าเขาจะใช้หอกที่ไร้พลังและช้าของเขาฆ่าใครได้บ้าง ถ้าพูดถึงหอกแล้วแม้แต่ไอ้อ้วน แบร์ลี่ เองยังทำได้ดีกว่าเขา จางเทีย รู้สึกว่าตัวเองเริ่มหมดแรงหลังจากที่จ้วงแทงในครั้งที่ห้าสิบแต่ไอ้อ้วนบ้านั่นไม่ได้ดูหมดแรงเลยสักนิดแม้จะแทงไปกว่า 70 ครั้ง ชัดแล้วว่า จางเทีย น่ะเป็นคนที่อ่อนแอที่สุดในองค์กร
แม้ว่าเขาจะไม่ได้เก่งในด้านนี้แต่ จางเทีย ก็ต้องยอมรับทั้งๆที่เขาจะไม่ชอบมันว่ากองทัพพลหอกนี่ทำให้เขารู้สึกปลอดภัยอย่างมาก เมื่อไหร่ก็ตามที่เขายืนอยู่ใจกลายกองทัพและมองไปที่เพื่อนรอบๆ เขาจะรู้สึกว่าตัวเองปลอดภัย แต่เขาก็ยังรู้สึกถึงบางอย่างที่ขัดแย้ง ดูเหมือนว่ามันเป็นเหตุผลว่าทำไมคนตัวเล็กอย่าง จางเทีย ถึงรู้สึกหดหู่ในยุคแบบนี้ มีหลายครั้งที่คุณต้องพึ่งคนที่แม้ว่าคุณจะไม่ชอบหน้ายังไงล่ะ
เมื่อการฝึกตอนบ่ายจบลง จางเทีย รู้สึกว่าท้องของเขานั้นเต็มไปด้วยน้ำ ในตอนที่เขาขยับ น้ำข้างในท้องจะส่งเสียงออกมาซึ่งทำให้เขารู้สึกอึดอัด ในตอนที่เขาทำการโจมตี แต่ละครั้งเขาจะแทงออกไปเบาๆ จางเทีย รู้สึกได้เลยว่าน้ำข้างในท้องน่ะเริ่มพุ่งขึ้นมาถึงลำคอและเขาก็รู้สึกได้ถึงรสชาติแปลกๆในปาก ในตอนที่เหมือนเขาจะอ้วกออกมา มันก็กลับลงไปที่ท้องตามเดิม มือของเขาหมดแรง มีหลายครั้งที่ จางเทีย รู้สึกว่าครูฝึกน่ะมองเขา มันทำให้เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอจากต้องกัดฟันทนต่อไป
ครูฝึกนั้นให้ความสนใจ เกรซ เป็นพิเศษ กองทัพที่มี เกรซ นั้นทำได้ดีที่สุดในบรรดา 6 กองทัพที่ฝึกอยู่ เกรซ น่ะเป็นทหารระดับสอง เขาแสดงให้เห็นถึงความต่างของเขากับนักเรียนคนอื่นๆ เขาสูงกว่า 190 และถือหอกที่หนักกว่า 30 กก.แถมมีธงสีแดงติดไว้อยู่ที่หอกด้วย ด้วยการฝึกสอนของครูฝึกทำให้ เกรซ ทำได้ดีกว่าเดิม เขาร้องออกมาอย่างกับหมาป่าในการจ้วงแทงแต่ละครั้ง ผลก็คือตอนนี้สนามฝึกซ้อมนั้นมีแต่เสียงเขาดังก้องไปทั่ว
แม้ว่า จางเทีย จะรู้สึกสิ้นหวังในตัวเองแต่เขาก็ไม่ปฏิเสธว่าเขาคงโดน เกรซ ฆ่าในการโจมตีไม่กี่ครั้งรึไม่ก็แค่ครั้งเดียว เกรซ น่ะมีสิทธิที่จะภูมิใจในตัวเองได้ นอกจาก เกรซ แล้วเด็กคนที่เหลือน่าจะเป็นได้แค่ทหารสำรอง พวกนั้นคงเป็นทหารระดับ 1 ไม่ได้ด้วยซ้ำ ปกติแล้วคนธณรมดาส่วนมากนั้นจะถูกเลื่อนขั้นเป็นทหารระดับแรกก่อนอายุ 18 ปี ในระหว่าง 8 ปีที่รับใช้กองทัพ คนธรรมดากว่า 95% น่าจะลาออกมาตอนอยู่ในระดับ 3 รึ 4 ในขณะที่ส่วนน้อยขึ้นไปถึงระดับ 5 ได้ มีแค่พวกที่ยึดอาชีพทหารเท่านั้นที่จะไปถึงระดับ 6 ทหารที่ถูกเลื่อนขั้นเป็นนักสู้นั้นจะได้รับความเคารพไม่ว่าเขาจะไปอยู่ที่ไหนก็ตาม
ในตอนที่การฝึกจบลง จางเทีย รีบถอดชุดตัวเองออกและแล้วเอามือกุมท้องโดยไม่ได้ไปทักสมาชิกองค์กรที่ซึ่งมี แบร์ลี่ เดินนำมา นี่ทำให้สมาชิกองค์กรรู้สึกอายเพราะพวกนั้นเตรียมตัวที่จะทัก จางเทีย แล้ว ผลก็คือพวกนั้นได้แต่มองหน้ากันอย่างกระอักกระอ่วน
“ เกิดอะไรขึ้นกับเขา ? “ - ชาร์วิน ผู้ซึ่งมีกระบนหน้าและผมสีน้ำตาลเกาหัวตัวเอง
“ ฉันเห็นเขากินน้ำไปตั้งเยอะตอนบ่าย เขาอาจจะทนไม่ได้ก็ได้ ! “ - แบกแดด ตอบกลับ เขาเป็นคนผิวดำ เขาเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในองค์กร การฝึกตอนบ่ายนี้เป็นเรื่องง่ายๆสำหรับเขา ถ้าตามปกติแล้วเขานี่แหละคือคนที่เก่งที่สุดในองค์กร
“ โฮโฮ น่าสงสาร ! “ - ลิท ยิ้ม
“ ฉันต่างหากที่น่าสงสาร ! “- ดั๊ก ยังคงแสดงท่าทีไม่พอใจโดยเฉพาะเมื่อเขาคิดถึงตอนที่เขาโดนอ้วกของ จางเทีย เมื่อตอนบ่าย ดั๊ก น่ะรู้สึกว่าเขากลายเป็นตัวตลก
“ ใจเย็นน่า แบร์ลี่ จะหาเงินมาให้นายเอง ! “ – ฮิสต้า ขยิบตาให้และทำท่าลามกให้ทุกคนได้เข้าใจ เขามองไปที่ แบร์ลี่ แล้วทำท่าดีใจขึ้นมาทันที –“ เราพี่น้องในองค์กรต้องจัดการความซิงของพวกเขาและกลายเป็นผู้ชายที่แท้จริง ! “
“ เชื่อใจฉันได้ นายได้แน่นอน ! “ – แบร์ลี่ ปลอบใจ ดั๊ก ที่เศร้าพร้อมกับตบไหล่ เมื่อเห็นเงาของ จางเทีย หน้าอ้วนๆของ แบร์ลี่ ก็บิดเบี้ยวเพราะนึกไปถึงเงินที่เสียไป เขาส่ายหน้า – “ เป็นคนที่น่าสนใจจริงๆ ! แม้ว่าฉันจะไม่เห็นว่าเขามีความสามารถแต่ฉันว่าเขาฉลาดและไม่ได้นิสัยแย่อะไร เขาน่ะเป็นคนที่พึ่งพาได้ ! อย่างน้อยฉันก็ไม่ต้องกังวลว่าจะโดนหลอก ! “ – เขาเอามือถูคางอ้วนๆแล้วพูดออกมา
นอกจาก ดั๊ก ที่ยังสลดอยู่ คนอื่นๆต่างก็พยักหน้า
จางเทีย รีบเข้าไปที่ห้งอน้ำและฉี่อยู่นาน ในที่สุดเขาก็สบายตัว ในขณะเดียวกันท้องเขาก็ร้องขึ้นมา เขารีบล้างมือก่อนจะรีบวิ่งออกไปที่หน้าประตูโรงเรียน ด้วยเงิน 4 เงินและ 30-40 ทองแดงที่เขามีในกระเป๋า เขาคงต้องไปหาอะไรกินไม่อย่างนั้นแล้วเขาคงไม่มีแรงพอที่จะเดินกลับบ้านได้
มีร้านขนมปังอยู่ใกล้ๆโรงเรียน ปกติแล้ว จางเทีย น่ะมักจะทำได้แค่กลืนน้ำลายตอนที่เดินผ่านร้านนี่ วันนี้นี่แหละในที่สุด จางเทีย ก็มีความกล้าพอที่จะเข้าร้านขนมปังได้ เขาได้ใช้เงิน 10 ทองแดงเพื่อซื้อขนมปังแถวสีน้ำตาล ในตอนที่เขากินขนมปังอย่างกับหมาป่าที่หิวโหยอยู่นั้น เขาก็เห็น มิสไดน่า
มิสไดน่า น่ะมักจะสะดุดตาเสมอ กัปตันเคอร์ลิน และครูผู้ชายอีกคนกำลังคุยกับเธออยู่ จางเทีย อึ้งทันทีในตอนที่เห็นเธอ กัปตันเคอร์ลิน ไม่ได้มองมาที่เขาด้วยซ้ำ บางทีอาจะเพราะไอ้โหดนั่นคงจะอายถ้าทำท่ารู้จักเขาแต่ จางเทีย ยังไม่รู้เรื่องนั้นจนกระทั่งพวกนั้นเดินจากไป เขาหันหลังกลับและไปมองตัวเองในตู้กระจกตรงหน้า ขนมปังในปากเกือบทำให้เขาสำลัก เพราะการฝึกตอนบ่ายทำให้เลือดของเขายังไม่หยุดไหลและยังมีกระดาษสองก้อนที่อุดไว้ที่จมูกอยู่ ตาของเขาก็บวมเหมือนจะแตกออกมา หน้าของเขาเองก็แสดงให้เห็นว่าเพิ่งโดนอัดมา เขายืนขึ้นอย่างกับคนโง่พร้อมกับเศษขนมปังและน้ำลายที่หยดลงมาจากมุมปาก เขาเห็นตัวเองได้ชัดแล้วว่าเป็นคนงี่เง่าแค่ไหน
มิสไดน่า ควรจะเห็นเขาในสภาพแบบนี้เหรอ ? จางเทีย เริ่มหงุดหงิดขึ้นมา ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเธอถึงไม่มองเขา เขามันไอ้โง่...เขาก้มหน้าลงและเห็นรองเท้าคู่เก่าของตัวเองอีกครั้ง...
เด็กวัยรุ่น 15 ปีผู้สิ้นหวังไม่รู้สึกอะไรนอกจากความโกรธ
เมื่อเห็น มิสไดน่า จากไปแล้ว จางเทีย รู้สึกว่าเงาของเธอยิ่งห่างไกลเขาไปเรื่อยๆ ตอนนี้ จางเทีย รู้สึกว่าเขาคงตามเธอต่อไปไม่ได้ เขาลุกขึ้นเดินออกไปดูเส้นทางที่เธอเพิ่งเดินจากไป ในที่สุดเขาก็กินขนมปังที่เหลือเสร็จและเดินด้วยท่าทีขี้เกียจไปยังเขตศูนย์การค้าที่ซึ่งตั้งอยู่ที่ส่วนทิศตะวันออกของเมือง พ่อแม่เขาหางานพาร์ทไทม์จากคนรู้จักมาให้เขาได้ เขาต้องทำงาน 2 ชม.ต่อวันเป็นเวลา 2 วันต่ออาทิตย์ก่อนที่จะกลับบ้าน.....