Chapter 9: ห้องใต้หลังคา
แสงธรรมชาติอย่างเดียวที่ส่องเข้ามาในห้องคือแสงที่ลอดผ่านหน้าต่างมาทางปลายเตียง ในตอนกลางวันมันจะสว่างแค่นิดหน่อย ส่วนเวลาอื่นๆมันก็เหมือนกับตอนนี้
เมื่อพบกับแสงจันทร์ที่สลัวๆกับห้องที่เขาคุ้นเคย จางเทีย ก็ได้จุตตะเกียงขึ้นมา เพื่อที่จะได้ประหยัดน้ำมัน จางเทีย ได้ลดไฟให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ดังนั้นแล้วไฟที่มีขนาดเท่าเม็ดทั่วจึงถูกจุดขึ้นมาให้แสงสว่างและความอบอุ่นแก่ห้องนี้
เมื่อปรับไฟเสร็จ จางเทีย ก็โดดขึ้นเตียงโดยที่ไม่ถอดรองเท้า เขามองไปที่ใยแมงมุมบนปลายหลังคาและเห็นแมงมุมตัวเล็กเขาคิดว่าใยมันคงยากที่จะจับแมลงได้ จางเทีย รู้สึกสงสารมันขึ้นมาทันที
เตียงที่สั่นด้านล่างนั้นดังขึ้นอย่างชัดเจนจนยากที่จะให้เขาหลับได้ เขานอนกระสับกระส่ายพลิกไปมา หัวใจของเขาอย่างกับโดนแมวกำลังข่วนเอาอยู่ เขาเบื่อจนเริ่มนับเสียงสั่นที่ดังขึ้นมาจากชั้นร่าง ในตอนที่ดังถึง 700 เสียงนั่นก็เริ่มเพิ่มความเร็วขึ้นมาและในอีกไม่กี่วินาทีเสียงนั่นก็เงียบลงไป จางเทีย สูดหายใจแน่นและกลับมารู้ตัวแต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ต้องทึ่งเพราะไอ้จ้อนของเขาเองก็แข็งไปด้วย ดูเหมือนว่าเขาเองก็จะช่วยตัวเองไปแบบไม่รู้ตัวด้วย
รึว่านี่คือผลจากการเข้าร่วมองค์กรนั่น ?
เขารีบดึงมือขวาออกจากกางเกงพร้อมกับรีบรวบรวมสติ เขารู้สึกผิดกับการทำเรื่องแบบนี้ พ่อเขาเคยคุยกับเขาเรื่องนี้ครั้งหนึ่งตอนอายุ 12 คนจีนน่ะจะเสียเปรียบเรื่องร่างกายเพราะเตี้ยกว่าและตัวเล็กกว่าแต่ทหารจีนน่ะจะได้เปรียบเรื่องความเร็วและความอึดแทน แต่ในยุคนนี้ดูเหมือนว่าสิ่งเหล่านั้นจะแตกต่างไปแล้ว ดูทหารระดับ 1-3 กับทหารธรรมดาสิ เอา จางเทีย เป็นตัวอย่าง เขาน่ะเป็นคนจีนแต่ในโรงเรียนแล้วเขาถือได้ว่าต่ำกว่ามาตรฐานคนทั่วไป ในองค์กรอแล้ว จางเทีย สูงพอๆกับ แบร์ลี่ และ ชอร์วิน แต่แบร์ลี่ น่ะอ้วนกว่าและแข็งแรงกว่าเขา ชัดเจนแล้วว่าความต่างของสายพันธุ์นั้นจะยิ่งแสดงออกมาในตอนที่เป็นทหาร แม้ว่าพวกตำแหน่งสูงอาจจะไม่ต้องมาลงแรงเท่าไหร่แต่ความแข็งแกร่งทางกายภาพก็เป็นเรื่องที่ยากที่จะเอาชนะได้
ในเมืองแบล็คฮ็อตนั้นเพื่อที่จะได้ลดความต่างทางกายภาพระหว่างของจีนและชาติอื่นๆลง สิ่งที่สำคัญที่สสุดคือต้องรีบเป็นทหารและเพิ่มตำแหน่งเพื่อปกป้องตัวเองไว้ให้ได้ ยิ่งตำแหน่งสูงยิ่งไม่ต้องไปออกแรง ยิ่งไปได้ไกลเท่าไหร่ยิ่งมีโอกาสรอดในโลกนี้เพิ่มมากขึ้นเพื่อที่จะได้เป็นทหารระดับ 1 และเพิ่มตำแหน่งตัวเอง ที่สำคัญกว่านั้นคือต้องปลุกชีพจรในการฝึกตนในแต่ละจุดของร่างกายขึ้นมาด้วย ทุกคนน่ะเคยผ่านเรื่องนี้มาก่อน ในยุคที่แต่ละชาติต้องมาสู้กันเอง มันสำคัญอย่างมากที่ใช้กำลังภายในได้ การช่วยตัวเองนั้นมันจะเป็นผลเสียต่อสุขภาพของเด็กคนนั้นๆ เพราะมันกินพลังงานและความอึดอย่างมากซึ่งจะทำให้เด็กนั่นใช้กำลังภายในได้ยากขึ้นกว่าเดิม วัยรุ่นที่มักจะเคลื่อนที่แบบนั้นมักจะอ่อนแอทั้งด้านร่างกายและจิตใจ
“ การช่วยตัวเองน่ะจะทำให้ติดเป็นนิสัย ดังนั้นแล้วแม้ว่าคนอื่นทำ นายก็ไม่ควรไปยุ่งเกี่ยวด้วย มีตำนวนได้บอกว่าใครก็ตามที่ทำแบบนั้นบ่อยๆจะทำให้สุขภาพเสีย, โชคร้าย, และมีชีวิตที่ขื่นขม ! “ - นี่คือคำพูดที่พ่อเขาสอนมา
แน่นอนสำหรับเหตุการณ์ที่เขาฝันเปียกเมื่อคืนพ่อเขาได้อธิบายไว้แบบนี้ – “ ในตอนที่ของเหลวนั่นเต็ม มันก็จะล้นออกมาเอง “ – พ่อเขาบอกว่านี่เป็นเรื่องธรรรมชาติและไม่ได้ส่งผลเสียต่อร่างกายอะไรมาก
ในตอนที่คำสอนของพ่อเขาแว็บขึ้นมาในหัว จางเทีย ก็รีบดึงมือออกมาทันที ต้องขอบคุณที่เขายังไม่ได้ฝ่าฝืนกฎไปเต็มๆ เขารีบรวบรวมสติก่อนที่จะลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินไปที่หน้าต่าง เขามองออกไปและพบว่าพี่ชายเขากำลังออกจากบ้านไปพร้อมผู้หญิงคนหนึ่ง พี่เขาได้สวมเครื่องแบบทหารของเมืองไว้และได้ไปส่งผู้หญิงคนนั้นที่บ้าน ตัดสินจากเงาของเธอแล้ว เธอน่าจะเป็นลูกสาวของ คุณหวาง เจ้าของร้านตัดเสื้อที่อยู่ในถนนเส้นนี้
เมื่อรู้สึกว่าโดนคนมองอยู่ พี่ชายเขาได้หันหน้ากลับมาและยิ้มให้กับ จางเทีย ที่ซึ่งแอบมองเขาอยู่ จางเทีย ทำท่าสะบัดมือในตอนที่สองคนั้นเดินจากไป มีทรายคริสตัลที่วางไว้บนจานข้างๆหน้าต่าง คริสตัลสองหัวตอนนี้ได้เปลี่ยนเป็นทรายคริสตัลไปแล้ว คริสตัลน่ะจะเกิดมาตามธรรมชาติและยากที่จะขึ้นเป็นคริสตัลระดับ 2 ได้ มันจะเปลี่ยนเป็นทรายคริสตัลก่อนเหมือนกับแบตเตอรี่ก่อนที่จะเกิดภัยพิบัติแต่มันมีประโยชน์กว่า แม้ว่าคริสตัลสองหัวระดับ 2 นั้นจะไม่มีทางเทียบเท่าอันที่มีพีระมืดที่เขาขายไปในวันนี้ได้แต่มันก็ยังเป็นของที่ดีที่สุดที่ จางเทีย มีซึ่งเอาไว้ช่วยเขาในการบ่นเพาะ
เขากำคริสตัลไว้ในมือและถอดรองเท้าออกก่อนจะไปนั่งขัดสมาธิที่เตียง เขาไม่สนใจกลิ่นแปลกๆที่หึ่งออกมจากเท้าตัวเอง เขาเอามือไปวางที่หน้าท้องตัวเองและเอาปลายคริสตัลเล็งไปที่สะดือของเขา จากนั้นเขาก็ปิดตาและเริ่มบ่มเบาะ
กระบวนการในการบ่มเพาะนั้นง่ายแต่ก็น่าเบื่อ อย่างแรกคนเราต้องค่อยๆหายใจรวบรวมวิญญาณและสติไปที่สะดือ ตามมาด้วยรวบรวมพลังฉี มันจะทำแบบนี้ซ้ำไปเรื่อยๆจนรู้สึกว่าจุดชีพจรในสะดือนั้นสว่างขึ้นมา หลังจากที่รู้สึกได้ถึงจุดนั้นแล้วก็ใจใช้จิตใจและวิญญาณในการประคับประคองมันจนวันหนึ่งจุดชีพจรนั้นจะถูกปลุกขึ้นมา ( ไฟลุกในจุดชีพจรนั้น ) นั่นคือเครื่องหมายว่าคุณได้กลายเป็นนักสู้ระดับ 1 และได้กลายเป็นผู้ใหญ่แล้ว
ในยุคนี้ถ้าใครไม่สามารถปลุกชีพจรตัวเองได้ งั้นพวกเขาก็ดูเหมือนจะไม่มีค่าและเป็นได้แค่ไอ้โง่ นี่คือกฎในการเอาตัวรอดของยุคเหล็กนี้
จางเทีย รู้สึกถึงจุดในสะดือนั้นเหมือนกับเศษทองที่จมอยู่ในทราย ในตอนที่เขาพักฟื้น ตอนแรกเขากวาดทรายพวกนั้นออกเพื่อให้เห็นจุดนั้น สติของเขาก็เหมือนกระดาษทรายซึ่งใช้เพื่อขัดเศษทองนั้นจนวันหนึ่งเขาจะทำให้มันติดไฟขึ้นมาเหมือนกับจุดฟืนธรรมดา จากนั้นเมื่อเขาทำได้แล้ว....
เขาเรียนรู้วิธีบ่มเพราะมาจากโรงเรียน มันเริ่มสอนตั้งแต่ชั้นประถมที่ซึ่งเรียนมันได้ฟรีๆ ก็อย่างที่ครูบอกไว้จุดชีพจรนี้คือความลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในร่างกายมนุษย์ นอกจากจุดนี้แล้วจุดที่อยู่ส่วนอื่นล้วนแต่มองไม่เห็นและไม่สามารถรู้สึกได้จนกว่าจะอยู่ในระดับสูงแต่ว่าจนถึงตอนนี้แล้วคนเราก็ยังไม่รู้ว่ามีจุดชีพจรกี่จุดกันแน่และมันยังคงเป็นความลึกลับอยู่ที่ว่าจุดชีพจรพวกนี้ใช้ทำอะไรได้บ้าง การไปสำรวจและสัมผัสจุดชีพจรต่างๆก็ยังคงเป็นความลับและการเพิ่มความเร็วในการบ่มเพาะจุดชีพจรนั้นๆก็ยังไม่มีใครรู้ได้ โรงเรียนที่แข็งแกร่งรึพวกที่แข็งแกร่งคนอื่นๆต่างก็เก็บความลับของตัวเองไว้ไม่ให้รั่วไหลออกไป
ประมาณ 1 ใน 5 ของคนในเมืองซึ่งสามารถปลุกจุดชีพจรตรงนั้นได้.....
สำหรับคนทั่วไปอย่าง จางเทีย แล้วมันจากที่จะเข้าสู่การทำสมาธิ เขาลองปรับลมหายใจดูเพื่อว่าจะเข้าถึงมันให้ได้ หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง จางเทีย ก็เข้าสู่การทำสมาธิและสัมผัสได้ถึงจุดขีพจรที่อยู่ตรงสะดือได้ เขาเริ่มใช้วิญญาณและสติของตัวเองปลุกจุดชีพจรตรงนั้นขึ้นมา จางเทีย รู้สึกว่าสะดือเขาค่อยๆร้อนขึ้นช้าๆ จุดชีพจรนั้นเริ่มชัดเจนขึ้นและในที่สุดมันก็เริ่มสว่างขึ้นเรื่อยๆ แสงที่มันส่องออกมาใหญ่พอๆกับเมล็ดข้าวและมีแสงสีฟ้า ในขณะเดียวกันคริสตัลในมมือของเขานัน้ก็ได้เชื่อมต่อกับชีพจนตอนมันถูกปลุกขึ้นมา นี่คือพลังทีน่ปกติเขาจะไม่เคยรู้สึกมาก่อน ตอนนี้พลังานค่อยๆถูกสูบเข้าไปในจุดชีพจร ด้วยวิญญาณ,สติและคริสตัล แสงสีฟ้าตรงชีพจรก็เริ่มสว่างขึ้น แสงนั้นเหมือนกับเทียนที่ถูกจุดขึ้นมาในค่ำคืนที่มืดมิด แม้ว่ามันจะยังดูสลัวๆแต่มันก็ทำให้เขาพอมีหวังได้บ้าง
หลังจากนั้นสักพัก จางเทีย ก็รู้สึกได้ว่าวิญญาณและจิตใจของเขาได้เหนื่อยล้าเต็มที่แล้ว เขามาถึงขีดจำกัดของตัวเองและเขาก็ได้ตื่นขึ้นจากการทำสมาธิ แม้ว่าจะฝึกแบบนี้หลายชั่วโมงต่อวันแต่เขาก็รู้สึกพัฒนาได้เพียงน้อยนิด สำหรับ จางเทีย แล้ว เขาจะไม่รู้สึกว่ามันเปลี่ยนแปลงนอกซะจากว่าจะผ่านไปสักเดือนรึหลายเดือน เขารู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของสีที่จุดชีพจร ในหลายปีมานี้ จางเทีย เคยผ่านสีแดง,ส้ม,เหลือง,เขียวและคราม ในตอนที่บ่มเพาะตอนแรก เขาขึ้นไปถึงสีฟ้าและสีม่วงให้ได้ก่อนจะปลุกจุดชีพจรนั้นขึ้นมา มันคงใช้เวลาสักหนึ่งรึครึ่งปีกว่าจะไปถึงจุดนั้นได้ ความเร็วในการบ่มเพาะของเขานั้นเกือบจะเท่าๆกับคนทั่วไปซึ่งปลุกจุดชีพจรขึ้นมาได้ในปีแรกที่เข้าไปอยู่ในกองทัพซึ่งนั่นคือเวลาที่สำคัญที่สุดในชีวิตของพวกนั้น